ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1584 เมื่อไรจะโต

บทที่ 1584 เมื่อไรจะโต

ในป่าสาหร่ายสีน้ำตาลขนาดใหญ่นี้ มีปลาทะเลขนาดเล็กใหญ่อาศัยอยู่ พวกมันเป็นปลาธรรมดาที่ฉินสือโอวเห็นบ่อยๆ อย่างปลาเล็กๆ อย่างพวกปลาซาบะ ปลาแฮร์ริ่งซะส่วนใหญ่ ส่วนปลาค็อดแอตแลนติกและปลาอลาสก้าพอลล็อคก็สามารถพบเห็นได้เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ยังมีปลาหมาป่า ปลาขี้ตังเป็ด ปลาโอขาวและปลาแฮลิบัตพวกนั้นอีกด้วย

ปลาเหล่านี้อยู่อย่างสันโดษและอยู่กันเป็นฝูง พวกมันว่ายน้ำไปในป่าสาหร่ายทะเลอย่างไม่รีบร้อน เมื่อจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเคลื่อนตัวลงไปลึกอีกนิดหน่อย ก็เจอเข้ากับฝูงฉลาม พวกมันคือฉลามวัวผู้แข็งแกร่ง

เห็นได้ชัดว่าเหล่าฉลามไม่ค่อยเหมาะแก่การอยู่ในป่าสาหร่ายสีน้ำตาลเท่าไร ร่างกายอันใหญ่โตของพวกมันทำให้พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระ เพราะว่าฉลามเป็นสัตว์ที่ใจร้อน ร่างของพวกมันจะถูกสาหร่ายพันได้ง่าย แม้ว่าจะหลุดพ้นแล้ว ก็อาจจะทำให้เปลืองแรงเป็นพิเศษ

สำหรับนักล่าตามธรรมชาติแล้ว พลังงานที่สูญเสียไปอย่างสูญเปล่าไม่ใช่เรื่องที่พึงปรารถนา

การมีอยู่ของสาหร่ายทะเลยังมีประโยชน์อยู่อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือมันสามารถปกป้องทรัพยากรประมงของฟาร์มปลาจากเหล่าฉลามที่ล่าเหยื่อได้ ฉลามไม่ใช้วาฬ แม้ว่ามันจะมีขนาดของหลังที่ใหญ่โต แต่ส่วนใหญ่วาฬเป็นสัตว์มังสวิรัติหรือไม่ก็กินเฉพาะสัตว์ตัวเล็กๆ จำพวกลูกปลาลูกกุ้ง

นอกจากนี้ วาฬไม่สามารถอยู่นิ่งใต้ทะเลเป็นเวลานานได้ พวกมันอาศัยอยู่ทั่วน่านน้ำทะเลทั่วโลก

แต่ฉลามไม่เป็นเช่นนี้ พวกมันชอบที่จะกินปลาที่มีขนาดใหญ่ เช่นปลาค็อด ปลาทูน่า เมื่อพวกมันจับฝูงปลาในทะเลได้แล้ว พวกมันก็จะปักหลักใช้ชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนั้นทันที

ดังนั้นฉลามจึงสร้างความเสียหายได้มากกว่าวาฬ แต่การมีอยู่ของสาหร่ายสีน้ำตาลสามารถปกป้องทรัพยากรปลาได้ พวกฉลามที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่สามารถหาอาหารได้ สุดท้ายแล้วพวกมันก็จะจากไปด้วยความจำใจ

เช่นเดียวกับฉลามวัวพวกนี้ หลังจากที่พวกมันเข้ามาในดงสาหร่ายสีน้ำตาลได้สักพัก เมื่อไม่เจอกับเหยื่อ พวกมันก็ทำได้เพียงออกจากฟาร์มปลาไปยังน่านน้ำทะเลที่ลึกกว่าที่นี่

ฉินสือโอวเพิ่มพลังโพไซดอนให้แก่สาหร่ายสีน้ำตาล อย่างไรก็ตามตอนนี้พลังของหัวใจโพไซดอนนั้นบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นผลดีกับสาหร่ายสีน้ำตาล

สาหร่ายสีน้ำตาลได้ปรับปรุงคุณภาพน้ำและดินโคลนของฟาร์มปลาให้ดีขึ้น นี่เป็นการดีที่จะลงมือปลูกสาหร่ายอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพวกตะไคร่น้ำสีน้ำตาล สาหร่ายสีแดงและสีเขียว สาหร่ายอุลวา สาหร่ายโมโนสโตรมา สาหร่ายไส้ไก่ คอลเรลล่าและอื่นๆ ก็สามารถปลูกได้

การพัฒนาฟาร์มปลาอยู่ในการควบคุมอยู่ ดังนั้นฉินสือโอวจึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ

เมื่อตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า เขาไม่ได้ออกไปวิ่งก่อน แต่เขากลับไปหาหู่จือและเป้าจือแทน

แลบราดอร์สองตัวและสาวสวยอีกสี่ตัวกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้า ในตอนที่ฉินสือโอวเข้าใกล้พวกมัน พวกมันก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา นอกจากนี้เขาก็ยังเห็นร่องรอยของการต่อสู้เมื่อคืนว่าดุเดือดเพียงไร แลบราดอร์พวกนี้คงจะเสียพลังงานไปมากแน่นอน

พวกมันทั้งหกตัวนอนด้วยกัน ฉินสือโอวคิดไปคิดมาก็รู้สึกรับไม่ได้ พระเจ้า มันจะมั่วเกินไปแล้ว วงจรนี้อุบาทว์เกินไปแล้ว เขารู้สึกว่าเมื่อคืนวานแลบราดอร์พวกนี้ต้องทำอะไรที่ไร้ยางอายและเปิดเผยเป็นแน่

ฉินสือโอวเดินออกมาช้าๆ เขาไปทำความสะอาดคอกม้าก่อน ม้าพันธุ์อเมริกันเพนต์ทั้งสองตัวโตแล้ว พวกมันกินเยอะและถ่ายออกมาเยอะมากในทุกๆ วัน ฉินสือโอวเก็บสิ่งปฏิกูลใส่รถเข็น

เปากงชะโงกหัวออกมามองฉินสือโอว ฉินสือโอวลากรถเข็นพลางพูดออกมาว่า “ดูนายสิ เมื่อตอนเย็นถ่ายออกมาเยอะอะไรขนาดนี้? ต่อไปกินให้มันน้อยๆ หน่อย โอเคไหม? นายทำตัวดีฉันก็รู้สึกดีด้วยนะ”

ราวกับมันฟังที่เขาพูดรู้เรื่อง เปากงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ หลังจากนั้นมันก็ทำเสียงร้องในลำคอและชะโงกหัวออกมาถูหน้าเขา แล้วยังแลบลิ้นมาเลียหน้าเขาอีก

ท่านชายฉินหัวเราะออกมาเมื่อถูกเปากงอ้อน เขาเล่นกับเปากงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหยิบแครอท แล้วส่งให้มันกิน

‘กรวบๆ’ เปากงกินแครอทอย่างออกรส แครอทนี้ถูกเลี้ยงโดยพลังโพไซดอน รสชาติเลยอร่อยเป็นพิเศษ

เมื่อให้อาหารเปากงเสร็จเขาก็เดินไปหาตี้หลู ตี้หลูอ่อนโยนกว่าเปากงมาก มันมีนิสัยเชื่องมากกว่า ก่อนหน้านี้ในตอนที่ฉินสืโอวให้อาหารเปากงอยู่ มันก็จะอดทนรออย่างตั้งใจ ตอนนี้พอฉินสือโอวเดินมาพร้อมกับแครอทที่อยู่ในอ้อมแขน มันก็ชะโงกออกมาสัมผัสกับหน้าอกของฉินสือโอวอย่างอ่อนโยน

ฉินสือโอวยกมือขึ้นลูบหัวตี้หลู ในตอนที่เขากำลังให้อาหารมัน เชอร์ลี่ย์ก็เดินเข้ามา

โลลิต้ามักจะเข้ามาในช่วงที่ได้จังหวะอยู่เสมอ ท่านชายฉินอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าเธอแอบส่องกล้องส่องทางไกลคอยดูสถานการณ์รึเปล่า รอจนเขาทำความสะอาดและให้อาหารพวกมันเสร็จเธอถึงจะเดินเข้ามา

เพราะต้องเดินจูงม้าในตอนเช้า โลลิต้าถึงสวมสูทเดนิม และหมวกคาวบอย ผมสีบรอนด์ถูกรวบเป็นหางม้าตรงยาว เธอสวมรองเท้าบูตสำหรับขี่ม้า ซึ่งมันทำเธอดูเหมือนวีรสตรีที่มีเสน่ห์ที่สุด

ฉินสือโอวมองดูเชอร์ลี่ย์ ดวงตาของเขามองอยู่ที่ขาสวยที่เรียวยาวเป็นพิเศษเพราะกางเกงสกินนี่

เด็กหญิงมีสัมผัสที่ไว้ต่อการจ้องมองแบบนี้เป็นพิเศษ พอเขามองนิดหน่อย เชอร์ลี่ย์ก็หันมามองเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตทั้งสองข้างโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เธอหัวเราะคิกคักออกมาแล้วถามว่า “ฉิน คุณมองอะไรอยู่เหรอคะ?”

ฉินสือโอวทำเสียงดังให้เธอกลัว “มองอะไร? มองขาเธอน่ะสิ ฝึกโยคะให้มากขึ้นหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นขาเธอจะงอได้นะ”

เชอร์ลี่ย์ยืนด้วยเท้าซ้ายอย่างมั่นคงแล้วยกขาข้างขวาขึ้น จากนั้นเธอก็ใช้มือขวาดึงขาของเธอให้ชี้ขึ้นฟ้า พลางพูดออกมาอย่างภูมิใจว่า “ไหนที่บอกว่าขางอคะ?”

ฉินสือโอวชูนิ้วโป้งให้พลางพยักหน้า เขาพูดออกมาว่า “การฝึกของเธอไม่มีประโยชน์เลย มีแรงรึเปล่า?”

“แน่นอนสิ” เชอร์ลี่ย์ตอบพลางพยักหน้า หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา “คุณอยากลองไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาเหมือนกัน “ลองก็ลองสิ มา ดันรถเข็นคันนี้เพื่อที่จะเทขี้ม้าข้างในทิ้ง ฉันจะดูว่าเธอจะดันรถเข็นได้เร็วแค่ไหน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าขาเธอมีแรงหรือเปล่า”

เชอร์ลี่ย์โมโหขึ้นมานิดหน่อย เธอกลอกตาขาวไม่หยุด เธอจูงตี้หลูและเปากงออกมา แล้วปล่อยเปากง จากนั้นเธอก็เหยียบที่ขึ้นมาพร้อมเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังของตี้หลู แล้วกุมบังเหียนให้ตี้หลูวิ่งผ่านฉินสือโอวไป

ในขณะที่กำลังผ่านฉินสือโอว เธอก็ยกขาขึ้นเตะเข้าที่ไหล่ของฉินสือโอว จากนั้นเสียงหัวเราะใสราวกับกระดิ่งก็ดังขึ้น “ฮิฮิ คุณรู้สึกถึงแรงของฉันไหมล่ะ?”

เปากงเลียนแบบเชอร์ลี่ย์ เมื่อตอนที่มันวิ่งผ่านฉินสือโอวมันก็อยากที่จะยกเท้าหลังแตะฉินสือโอวเช่นกัน ตอนนั้นท่านชายฉินตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ถึงกับหลุดปากด่าออกมา “ทำแม่งอะไรเนี่ย เด็กโง่ แกคิดจะทำอะไรฮะ?”

เมื่อโดนฉินสือโอวตะคอกใส่ เปากงก็ตกใจกลัว มันรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อทำความสะอาดเสร็จ ฉินสือโอวก็ไปออกกำลังกายต่อ เหมือนที่ทำมาเสมอ จากนั้นก็ไปอาบน้ำทานข้าวเช้า

วินนี่ทอดไข่ดาวเป็นจำนวนมาก ฉินสือโอวหยิบขึ้นมาหวังจะทานทันที แต่กลับโดนวินนี่ตีมือเสียก่อน เธอพูดอย่างโมโหว่า “คุณนี่โลภจริงๆ นี่ไม่ได้มีไว้ให้ทาน นี่เป็นของบำรุงหู่จือและเป้าจือต่างหาก”

หู่จือและเป้าจือนั่งอยู่ด้านนอกห้องครัวพลางดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมา พวกมันคาบจานข้าวของตัวเอง ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความหวัง

กอร์ดอนเดินลงมาด้วยท่าทางขี้เกียจ เมื่อได้ยินวินนี่พูดแบบนั้นจึงถามออกมาว่า “ทำไมวันนี้ต้องบำรุงหู่จือและเป้าจือด้วยล่ะครับ? บำรุงผมบ้างได้หรือเปล่า?”

วินนี่โมโหกับคำพูดของเขาเป็นอย่างมาก เธอตอบกลับว่า “จะเรื่องมากไปทำไม รีบมาที่โต๊ะ แล้วมาดื่มนมของเธอซะ!”

กอร์ดอนรู้สึกมึนงง เขาพูดออกมาอย่าง งงๆ ว่า “ปกติอาจารย์บอกว่าถ้าไม่เข้าใจอะไรให้ถาม ผมไม่เข้าใจก็เลยถามออกมา นอกจากพวกพี่จะไม่ตอบผมแล้ว ยังว่าผมอีก…”

เคอร์ สเตราส์หัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วพูดออกมาอย่างมีความสุขว่า “เพื่อนยาก คำถามนี้รอนายโตขึ้นก่อนว่ากันแล้วกันนะ”

กอร์ดอนถามออกมาอย่างคาดหวังว่า “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะโตล่ะครับ? ตอนนี้ผมเจ็ดขวบแล้ว ยังไม่โตอีกเหรอ?”

โคลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่กลับถามกลับว่า “นายชอบฤดูร้อนหรือว่าฤดูหนาวกันล่ะ?”

มิเชลที่อยู่ข้างๆ ชิงตอบขึ้นมาว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นฤดูหนาวสิ ฤดูหนาวมีหิมะ หิมะทั้งสวยและบางทีมันก็ทำให้ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ใช่ไหมล่ะ?”

กอร์ดอนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ๆๆ”

เคอร์ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “เมื่อไรที่นายชอบฤดูร้อน ตอนนั้นแหละคือตอนที่นายโตแล้ว”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท