ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1583 อ่าวสาหร่ายสีน้ำตาล

บทที่ 1583 อ่าวสาหร่ายสีน้ำตาล

การปรากฏตัวของพวกมันทั้งสองตัวทำให้เคอร์มีความสุข เขาเดินเข้ามากอดพวกมันทั้งสองตัว แล้วพูดออกมาด้วยความรักว่า “สองสามวันนี้พวกนายต้องสู้ๆ นะ ต้องให้สาวสวยทั้งสี่นี้ตั้งท้องกับพวกนายให้ได้ล่ะ พอถึงเวลานั้นฉันจะพาพวกเขากลับมาหาพวกนายบ่อยๆ”

สุนัขสาวทั้งสี่ตัวไม่ได้คิดอะไรมากมาย เมื่อเห็นแลบราดอร์ทั้งสองตัวพวกเธอก็ขยับเข้าไปหาทันที

หู่จือและเป้าจือถือเป็นสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่มีความสง่างาม ด้วยหัวที่มีขนาดใหญ่ เส้นโค้งของใบหน้าชัดเจนไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ฟันขาวแข็งแรงเรียงตัวกันอย่างสวยงาม และใบหูทั้งสองข้างที่สะบัดไปมานั้นช่างน่ารักเหลือเกิน นอกจากนี้ พวกมันยังมีสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเฉียบคม ร่างกายเห็นส่วนโค้งได้ชัดเจน ขนสั้นตรงและหนานุ่ม ขาทั้งสี่ข้างแข็งแรงนับได้ว่าเป็นสุนัขหนุ่มหล่อเลยทีเดียว

ฉินสือโอวกวักมือเรียกพวกมันทั้งสองตัวให้มารับภรรยาของตัวเอง แต่ท่าทางของพวกมันที่ตื่นตัวเมื่อสองวันก่อนได้เปลี่ยนมาเป็นเขินอายซะได้ ไม่ว่าฉินสือโอวจะกวักมือเรียกเท่าไรพวกมันก็ไม่ยอมขยับตัว แม้ว่าสาวๆ จะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อย่างไร พวกมันก็จะหลบหัวลงและก้าวถอยหลังหนีไป

เคอร์ที่รู้สึกขบขัน พูดขึ้นมาอย่างมีความสุขว่า “ไปกันเถอะ ฉิน ที่นี่ปล่อยให้หนุ่มหล่อกับสาวๆ จัดการกันเองเถอะ พวกเราไม่ต้องชักจูงให้พวกมันสนิทกันหรอก พวกมันทำได้เองตามธรรมชาติ”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “บางทีหู่จือและเป้าจือก็รู้สึกเขิน ให้ฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนพวกมันดีกว่าไหม?”

เคอร์ส่ายหัว “ถ้าหากว่าฉันและนายอยู่ด้วย พวกมันก็ยิ่งเขินน่ะสิ เด็กสองตัวนี้มีความเคารพตัวเอง ไม่เหมือนกับสุนัขทั่วไป ดังนั้นฉันเลยชอบพวกมันยังไงล่ะ”

ท่านชายฉินไม่อยากไปจากตรงนี้ เขาอยากจะอยู่ที่นี่ ตอนนี้ท่าทีของหู่จือและเป้าจือเปลี่ยนไปนิดหน่อย ราวกับลูกชายที่พึ่งแต่งงาน ราวกับว่าหากเขาไปแล้ว หู่จือและเป้าจือจะไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป

แต่ในที่สุดเขาก็ต้องจำใจเดินออกมา ที่เคอร์พูดไม่ผิดเลย พวกมันทั้งสองตัวอายเขา มันปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมกับสาวๆ เมื่ออยู่ใกล้กับคนพวกมันก็จะวิ่งหนี แต่เมื่อพวกมันได้อยู่ด้วยกัน หากเทียบกับมนุษย์ ก็เรียกได้พวกมันกำลังตกหลุมรัก

ฉินสือโอวกลัวว่าพวกมันจะมีวิวัฒนาการเหมือนกับบีน ตอนนี้ยังดี มีช่วงหนึ่งที่บีนวันๆ เอาแค่ขึ้นขี่ไอซ์สเกตหรือไม่ก็คิดแต่จะขี่ไอซ์สเกตอย่างเดียว วันเหล่านั้นช่างมืดมนเสียจริง

หลังจากที่กลับมาที่วิลล่า ฉินสือโอวก็แอบมองดูพวกมันที่ประตู ปรากฏว่าเมื่อเขามองออกไป เขาก็เห็นว่าหู่จือและเป้าจือกำลังจ้องมองมายังประตูเขม็ง และแน่นอนว่าพวกมันมองมายังเขา

ไม่ได้การ เขาทำได้เพียงกลับไปพร้อมกับอารมณ์โมโห หลังจากนั้นเขาก็แอบมองผ่านหน้าต่างไป

ตรงนี้ก็ยังไม่ใช่ที่ที่ดี หู่จือและเป่าจือมองมายังหน้าต่างอย่างหวาดระแวง สายตาของพวกมันมองไปยังพื้นที่ของวิลล่าทุกส่วนที่สามารถมองเห็นพวกมันจากด้านในได้ นั่นทำฉินสือโอวหมดหนทาง

การที่เคอร์มาครั้งนี้เขาถือโอกาสมาพักผ่อนที่นี่ด้วย ฉินสือโอวเตรียมห้องไว้ให้เขาแล้ว พอดีกับที่เขาพึ่งตกปลาบรีมมาได้ เขาจึงได้ทำปลาย่างถ่านให้เคอร์ได้ลิ้มรส

สำหรับเบียร์แล้ว เคอร์ไม่ค่อยชินกับรสชาติของมันเท่าไร หลังจากที่เขาดื่มไปได้สองสามอึกเขาก็ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เพื่อน ไม่ว่าฟาร์มปลาของนายจะทำอะไรก็สุดยอดไปหมดเลยนะ อาหารอร่อย ผลไม้ก็อร่อย อาหารทะเลยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ แต่ทำไมเบียร์กลับใช้ไม่ได้เลยล่ะ รสชาติแย่มาก”

เคอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะว่าเบียร์นี้ทำจากมอลต์ที่ซื้อจากด้านนนอกกลับมาหมัก ไม่ได้รับการปรับปรุงรสชาติโดยพลังโพไซดอน แต่การทำเบียร์ของเขาไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอะไรทั้งสิ้น ปรากฏว่าเบียร์ต้มที่เมื่อเทียบกับเบียร์ที่เคอร์ดื่มบ่อยๆ แล้วถือว่ารสชาติแย่มาก

แต่ว่าฉินสือโอวนั้นดื่มจนชินแล้ว พวกชาวประมงชินยิ่งกว่าเขาเสียอีก ขอแค่มีเบียร์ให้ดื่มพวกเขาก็พอใจแล้ว

ฉินสือโอวทำได้เพียงเปลี่ยนจากเบียร์เป็นไอซ์ไวน์ให้เขา นี่เป็นไวน์ที่ตาแก่ฮิคสันทำขึ้น องุ่นที่นำมาหมักล้วนมาจากฟาร์มปลา เมื่อเคอร์ดื่มเข้าไปเขาก็พยักหน้า แล้วบอกว่าหากมีโอกาสจะขอไปเยี่ยมฮิคสันเสียหน่อย เขารู้สึกว่าชายแก่คนนี้เป็นอาจารย์ในด้านการทำเบียร์คนหนึ่ง

เย็นวันนั้น หู่จือและเป้าจือไม่ได้กลับมาบ้าน ก่อนที่ฉินสือโอวจะนอนเขาได้ตะโกนเรียกให้พวกมันกลับบ้าน วินนี่ถามออกมาอย่างงัวเงียว่า “คุณตะโกนเรียกอะไรน่ะ? วันนี้เป็นวันดี วันเข้าเรือนหอของเด็กๆ อย่าไปกวนพวกมันเลย”

ฉินสือโอวตอบกลับอย่างงงวยว่า “งั้นทำไมผมไม่เห็นพวกมันมาคำนับพ่อแม่เลยล่ะ”

วินนี่กลอกตาอันสวยงามใส่ฉินสือโอว จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “แล้วเมื่อปีก่อน ตอนที่คุณอยู่ที่โรงแรมที่คอร์เนอร์ บรูค คุณได้คำนับพ่อแม่ก่อนที่จะทำอะไรไม่ดีกับฉันหรือเปล่าล่ะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะหึหึออกมา เขามองไปร่างที่อวบอิ่มของวินนี่และท่าทางอ่อนโยนของเธอ เขามีความรู้สึกต้องการที่จะมีลูกเพิ่ม

วินนี่ผลักเขาออกแล้วบอกไม่ให้เข้ามายุ่ง ฉินสือโอวบอกว่าเขาไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามเสียหน่อย ตอนที่คุณอยู่บนเครื่องบินคุณยังบอกเลยว่าคุณอยากมีลูกสามสี่ห้าคน

เมื่อทำกิจกรรมของสามีภรรยาเสร็จสิ้น จนเมื่อวินนี่หลับไป ฉินสือโอวก็ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในทะเลด้วยความเคยชิน

ตอนนี้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างรวดเร็ว เขาสามารถลาดตระเวนฟาร์มปลาได้ไม่เพียงแต่ฟาร์มปลาของเขาเองเท่านั้น แน่นอนว่าจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่ฟาร์มปลาของเขา เมื่อฟาร์มปลาต้าฉินถูกสำรวจจนหมดแล้ว เขาก็ไปสำรวจฟาร์มปลาแห่งที่สองและแห่งที่สาม

ฟาร์มปลาแห่งที่สามไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะว่าหลังจากที่ซื้อมาเขายังไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ส่วนฟาร์มปลาแห่งที่สองเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก มีสาหร่ายจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นที่อ่าว สาหร่ายที่นี่ได้ดูดซับพลังโพไซดอนและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พวกมันจึงเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากปลูกสาหร่ายสีน้ำตาลได้ไม่นาน รูปร่างขนาดใหญ่ของพวกมันก็ได้ปรากฏขึ้น ความยาวของสาหร่ายมีมากกว่าสามสิบเมตร บางต้นยาวไปถึงห้าสิบเมตรด้วยซ้ำ!

เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก และขนาดของมันก็น่าตกใจเช่นกัน!

ต้องรู้ก่อนว่า หากพวกมันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สาหร่ายสีน้ำตาลสามารถโตได้ตั้งแต่สามสิบเมตรถึงหกสิบเมตร พวกมันสามารถยาวได้มากที่สุดถึงสี่ร้อยเมตร ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ขอเพียงแค่น้ำอยู่ในอุณหภูมิที่อุ่นพอเหมาะ มีสารอาหารเพียงพอ พวกมันสามารถโตเพิ่มขึ้นได้วันละประมาณสองเมตร และสามารถเติบโตได้ตลอดทั้งปี!

อย่างไรก็ตาม นี่คือขนาดของมันภายใต้เงื่อนไขที่เป็นปกติ แต่ที่ฟาร์มปลาต้าฉิน เมื่อพวกมันดูดซับพลังโพไซดอนเข้าไปเกรงว่าพวกมันจะสามารถโตได้ถึงหลายพันเมตร น่านน้ำบางแห่งที่มีความลึกหนึ่งกิโลเมตร รากของสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลจะหยั่งลึกลงไปในดิน และยอดปลายของมันจะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำได้!

ณ ตอนนี้ที่ฟาร์มปลาแห่งที่สอง สาหร่ายทะเลสีน้ำตาลจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทอดยาวไปทั่ว ราวกับว่านี่คืออาณาจักรใต้น้ำขนาดใหญ่ตามตำนานที่เล่าขานกันมา เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่นๆ สาหร่ายขนาดใหญ่มหึมานี้เริ่มโตจากราก มายังลำต้นและใบ รากของพวกมันมีชื่อเรียกพิเศษว่า เครื่องยึดเหนี่ยว เครื่องยึดเหนี่ยวที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งเมตรสามารถยึดสาหร่ายเข้ากับโขดหินโสโครกได้ และรากของพวกมันฝังแน่นมาก

กระดูกสันหลังของสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลก็คือก้าน ลำต้นหนึ่งต้นมีการเกิดใหม่นับร้อย เหมือนกับการแตกกิ่งใบ กิ่งก้านหนึ่งกิ่งก็มีใบออกมาเหมือนกัน ใบบนกิ่งก้านพวกนี้จะมีความยาวมากกว่าหนึ่ง และมีความหนาที่หนามาก

ใบทุกใบมีถุงลมอยู่ ถุงลมพวกนั้นสามารถสร้างแรงลอยตัวได้ หลังจากนั้นใบของสาหร่ายสีน้ำตาลหรือแม้แต่ลำต้นก็มันก็จะลอยตัวขึ้น สาหร่ายสีน้ำตาลเคลื่อนไหวไปมาใต้น้ำ ก็เพราะว่าอาศัยอวัยวะนี้

ถุงลมจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเรียงกันอย่างสวยงามทั้งสองข้างของกิ่งก้านสาหร่าย การมีอยู่ของพวกมันทำให้ใบและลำต้นของสาหร่ายบางส่วนลอยขึ้นไปใกล้ผิวน้ำ ทำให้พวกมันกำลังลอยอยู่บนผืนน้ำหลายร้อยตารางกิโลเมตร พวกมันคือสาหร่ายสีน้ำตาล ฉินสือโอวเชื่อว่า หากตอนนี้มองลงมาจากท้องฟ้าในเวลานี้ มันจะต้องเป็นภาพที่อลังการมากแน่ๆ!

สาหร่ายทะเลเป็นผู้ที่สร้างฟาร์มปลาได้ดีที่สุดและเป็นแบบนั้นเสมอมา สาหร่ายสีน้ำตาลพวกนี้ปรากฏตัวออกมาได้ไม่กี่สิบวัน น้ำที่ฟาร์มปลาแห่งที่สองก็ถูกทำให้เป็นน้ำบริสุทธิ์ ทะเลแห่งนี้ไม่ได้เป็นสีดำเขียวอันมืดมนเหมือนตอนที่เขาซื้อมันมาครั้งแรกอีกต่อไป ตอนนี้น้ำทะเลเป็นสีเขียวใสสวยงาม

นอกจากนี้ สารที่ลอยอยู่ในน้ำทะเลก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด พวกมันถูกสาหร่ายสีน้ำตาลดูดซับเข้าไป ทำให้ฟาร์มปลาแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวทรัพยากรประมงก็อุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเลยเช่นกัน

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท