ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1589 วันที่หนึ่ง

บทที่ 1589 วันที่หนึ่ง

วิลหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “จำนวนคน เพื่อน ฉันไม่ได้บอกถึงจำนวนคน ลูกน้องของฉันที่สร้างบ้าน รวมกันทั้งหมดแล้วมีแปดคน แปดคนนี้เป็นคนรับผิดชอบในการสร้างอาคารหนึ่งหลัง แล้วชาวประมงของนายมีกันกี่คน? ทั้งหมดสามสิบคนใช่ไหม?”

“สามสิบสองคน…”

“ถ้าหากว่าพวกเขารู้วิธีการใช้เครนขนาดเล็กและอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ ได้ การก่อสร้างตึกหนึ่งตึกภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรเลย อีกอย่าง นายอย่าไปดูถูกชาวประมงเลย พวกเขาเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับคนงานของฉันถือว่าพวกเขายังขาดประสบการณ์ แต่พวกเขาเคยผ่านการสร้างบ้านมาก่อนแน่นอน”

พวกเขาใช้เวลาอีกหนึ่งวัน ในการโปรยเมล็ดสาหร่ายทะเลและสปอร์ลงไปในฟาร์มปลา จนน้ำทะเลที่สาหร่ายสีน้ำตาลเปลี่ยนมันให้ใสสะอาดกลับมาขุ่นอีกครั้ง สปอร์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกโปรยไปทั่วฟาร์มปลา เมื่อพวกมันดูดซับพลังโพไซดอนไปแล้วพวกมันก็เริ่มแตกหน่อและเจริญเติบโต

พอตกกลางคืน ชาร์คและบลูก็พากันขึ้นมาบนเรือขนส่ง บนเรือลำนี้นอกจากจะมีไม้กระดานชนิดต่างๆ และคานไม้แล้ว ยังมีเครื่องมือในการทำงานสำหรับคนหนึ่งคน ในเครื่องมือเหล่านั้นมีเครนขนาดเล็กและกลาง เครื่องตอกตะปูสองล้อ สว่านและอื่นๆ อีกมากมาย มองดูเหมือนจะเป็นการเป็นงานจริงจัง

เจ้าของร้านและคนงานขนย้ายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ไปยังรอบๆ ฐานของอาคารที่ต้องการสร้าง เขาส่งใบเสร็จให้ฉินสือโอว จากนั้นก็ให้ฉินสือโอวจ่ายเงินกลับมา

ฉินสือโอวมองดูใบเสร็จ ครั้งนี้พวกเขาทั้งสองคนซื้อแต่ไม้มาเท่านั้น แต่ไม่ได้ซื้อประตูหน้าต่างมาเลย

บ้านที่แคนาดาส่วนใหญ่ทำจากไม้ทั้งหมด สาเหตุไม่ได้เป็นเพราะไม้ในท้องถิ่นมีเยอะจนสามารถเลือกมาใช้ได้ แต่ไม้ส่วนใหญ่ที่ใช้สร้างบ้านในแคนาดาทั้งหมดส่งมาจากอเมริกาใต้ พวกเขาจึงให้ความสำคัญในการตัดไม้และเลื่อยไม้เป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่อนุญาตให้ทำลายสิ่งแวดล้อม

เมื่อเทียบกับการใช้อิฐแล้ว ไม้เบากว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ง่ายต่อการก่อสร้างมาก นอกจากนี้หากเกิดปัญหาอะไรก็ยังสามารถนำไม้มาต่อเพิ่มเติมได้อีกด้วย

แน่นอนว่า บ้านไม้ไม่แข็งแรงและทนทานเท่ากับบ้านอิฐ แต่ชาวแคนาดาไม่ได้ต้องการให้บ้านมีความแข็งแรงทนทานมาก เรื่องนี้ไม่เหมือนกับประเทศจีน โดยเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นจากข้อกำหนดที่ต่างกันของทั้งสองประเทศ

คนจีนไม่ชอบย้ายบ้าน พวกเขาจะคิดถึงความแข็งแรงก่อนเสมอ หากคุณอาศัยอยู่ที่ที่หนึ่งเป็นเวลานาน คุณจะรู้สึกผูกพัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างบ้านให้แข็งแรง ยิ่งไปกว่านั้น การซื้อบ้านที่เมืองจีน ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเงินเลย เนื่องจากโดยทั่วไปค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะถูกจ่ายไปในปีแรก และจากนั้นก็สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ได้เลย

แต่คนแคนาดาไม่เหมือนกัน อันดับแรกคนแคนาดาไม่ชอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ อาจพูดได้ว่าพวกเขามี ‘จิตวิญญาณแห่งการผจญภัย’ อยู่ หรือพูดได้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการเล่นมากเกินไป ดังนั้นจึงสามารถเห็นผู้คนขับรถเคลื่อนย้ายบ้านไปมาบนท้องถนน เมื่อดูแล้วว่าที่เหมาะแก่การอาศัยอยู่ พวกเขาก็จะอาศัยอยู่ที่นั่น

เพราะแบบนี้ บ้านไม้เนื้อแห้งนั้นเหมาะแก่การสร้างบ้านโดยอิฐมากกว่า เนื่องจากการสร้างบ้านจากอิฐแล้วไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้

นอกจากนี้ยังมีเรื่องภาษีทรัพย์สินในแคนาดาอีกด้วย โดยในทุกปีต้องจ่ายภาษีร้อยละสามของมูลค่าบ้าน ดังนั้นหากใช้อิฐในการสร้างบ้านก็จะทำให้มูลค่าบ้านเพิ่มขึ้น และทำให้ต้องจ่ายค่าภาษีเพิ่มขึ้นทุกปีเป็นธรรมดา การสร้างบ้านจากไม้จึงทำให้ราคาบ้านถูกกว่า ด้วยวิธีนี้ค่าภาษีที่เหลือก็จะยังสามารถนำไปใช้ในการบำรุงรักษาได้

การซ่อมแซมบ้านอาจจะลำบาก แต่ชาวแคนาดาไม่กลัวการที่จะต้องดิ้นรนตลอดเวลา พวกเขาชอบที่จะใช้ชีวิตด้วยการทำงานด้วยตัวเอง และการบำรุงรักษาบ้านก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ทำให้พวกเขาตามเทรนด์เสมอและไม่ล้าสมัย

นอกจากนี้เหตุผลที่สำคัญอีกอย่างก็คือ อิฐที่แคนาดานั้นแพงมาก หากสามารถสร้างบ้านด้วยอิฐนั้นคนนั้นจะถือว่าเป็นคนรวย บ้านหรูหลายหลังภายนอกดูเหมือนกำแพงอิฐ แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาแค่ใช้อิฐตบแต่งด้านนอกเท่านั้น เช่นวิลล่าของฉินสือโอวที่ฟาร์มปลา ที่ด้านในเป็นไม้และแปะทับด้วยกระเบื้องด้านนอก

ไม้ที่นี่ค่อนข้างถูก อเมริกาใต้เป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้มากที่สุดในโลก ต้นไม้ในป่าในอเมซอนนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน และอเมริกาเหนือก็เป็นเพื่อนบ้านและพี่ใหญ่ของอเมริกาใต้ ดังนั้นจึงได้ไม้ที่ราคาถูก จนสุดท้ายคนก็ไปซื้อกันเองตามป่าธรรมชาติและได้ราคาที่ถูกลงมาอีก

ใบเสร็จที่อยู่ในมือของฉินสือโอว ไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสูงสี่เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางเมตรครึ่งมีราคาเพียงหนึ่งพันดอลลาร์เท่านั้น สิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศจีน สำหรับไม้อัดแข็งสำหรับสร้างบ้านนั้นราคาถูกกว่านี้ ไม้กระดานหนาสิบสองเซนติเมตร มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ตารางเมตรละห้าร้อยดอลลาร์

แต่ว่าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปบางอย่างก็มีราคาแพงกว่าที่จีน เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็สามารถนำเข้ามาวางในบ้านพร้อมกับสร้างบ้านได้เลยในเวลาเดียวกัน เช่นตู้ไม้ขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้เมเปิล และตู้เสื้อผ้าที่ชาร์คซื้อมา ทั้งสองอย่างนั้นราคาสี่พันแปดร้อยดอลลาร์ เคานเตอร์หินแกรนิตที่ใช้ในครัวยิ่งแพงเข้าไปใหญ่ ราคาห้าพันดอลลาร์ บันไดอันงดงามในตึกเล็กๆ นี้ ราคาสองพันแปดร้อยดอลลาร์ ยังไม่รวมราวบันได ดังนั้นจึงต้องเสียค่าราวบันไดอีกสองพันสองร้อยดอลลาร์

นอกจากโคมไฟก็ถูกซื้อมาล่วงหน้าแล้ว ชาร์คซื้อตามแบบที่ฉินสือโอวต้องการ โคมระย้าสำหรับห้องโถง หนึ่งพันห้าร้อยดอลลาร์ ไฟสปอตไลท์แบบกลมอีกสิบสองดวง หนึ่งพันสี่ร้อยดอลลาร์ พื้นห้องน้ำและห้องครัวต้องปูด้วยกระเบื้อง ห้องละหกพันดอลลาร์

แต่เมื่อรวมราคาทั้งหมดแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แพงเลย ของทั้งหมดรวมกันอยู่ที่หนึ่งแสนแปดหมื่นดอลลาร์เท่านั้น

หลังจากที่เขารูดบัตรจ่ายเลยแล้ว เจ้าของร้านก็เอ่ยขอบคุณ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าหากต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ให้มาหาเขาได้ก่อนจะจากไป ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านจะดูไม่แปลกใจกับการสร้างบ้านด้วยตัวเองเลย

แน่นอนว่า ตอนกลางคืนพวกเราจะต้องยังนอนในเต็นท์ แต่เช้าตรู่วันต่อมาก็มีเสียงตะโกนของชาวประมงและเสียงเครื่องจักรทำงานดังอยู่ด้านนอก ตอนที่ฉินสือโอวสะลึมสะลือขึ้นมาดูเวลา พึ่งจะตีห้าเอง

เขาเปิดเต็นท์ออกแล้วมองไปข้างนอก เหล่าชาวที่เปลือยท่อนบนทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยอมตื่นเช้าเพื่อมาทำงาน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาขี้โม้ไปหน่อยเรื่องการสร้างบ้านภายในหกวัน ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องเริ่มงานโดยด่วน

ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เขาตั้งใจที่จะทำลายสมาธิของชาวประมง หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ เขาก็ออกมาทำอาหารจนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว อันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแค่ทำข้าวโอ๊ตต้มนม ผัดไส้กรอกชิ้นเล็กๆ ในห้องครัวบนเรือ รวมถึงเบคอน และเนื้อจำพวกสเต๊ก นอกจากนี้ไข่เป็ดและอาร์ติโชคดองและอื่นๆ อีกมากมาย

เหล่าชาวประมงนั้นเป็นพวกชอบทานอาหารอยู่แล้ว เมื่อพวกเขาคุ้นเคยกับการรับประทานอาหารเช้าแบบจีน พวกเขาชอบไข่เป็ดเค็มและอาร์ติโชคเป็นพิเศษ พวกเขาชอบทานของที่มีน้ำมันเยอะ และยังชอบทานอาหารเช้าเบาๆ ที่รสชาติอร่อยพวกนี้ด้วย

แต่ว่าชาวประมงไม่หลงกล พวกเขาแทบจะกลืนอาหารลงไปทันทีตอนที่ทานอาหารเช้า แม้กระทั่งว่าสุดท้ายมีคนหยิบอาร์ติโชคไปสองสามอันก่อนจะวิ่งกลับไปทำงาน ดูเหมือนว่าการพนันที่มีผลต่อเงินเดือนจะเป็นสิ่งล่อลวงพวกเขาได้ดี

ฉินสือโอวตามไปดูงานก่อสร้าง เขาก็อยากเรียนรู้วิธีการสร้างบ้านของคนแคนาดาเช่นกัน

ฐานของบ้านเป็นพื้นที่ทำจากคอนกรีต ชาร์คพาใครบางคนมาแบ่งพื้นที่โดยใช้สีสเปรย์ออกเป็นสัดส่วนเรียบร้อยตามแบบที่วางไว้ เขาแบ่งห้องออกมาเป็นหลายห้อง มีทั้งโรงจอดรถ ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ ทุกห้องถูกแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน

หลังจากที่เขาแบ่งห้องเสร็จแล้ว ก็มีคนเข้ามาใช้ปืนตอกตะปูลงบนแผ่นซีเมนต์ทันที เขาตอกตะปูเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนพื้น จากนั้นก็มีคนเจอกับผนังรับน้ำหนัก พวกเขาเปิดเครื่องจักรดึงไม้กระดานที่หนาและแข็งแรงนี้ขึ้นตั้ง พวกเขาให้เสาที่สูงและแข็งแรงทั้งสองเสาทำเป็นเสาสำหรับวางผนัง เพื่อแบ่งห้องอย่างชัดเจน

เมื่อผนังได้ถูกสร้างขึ้น แล้วเพิ่มแผ่นไม้เข้าไป โครงสร้างบ้านก็ถูกปิดทับอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ตรงนี้กลายเป็นกรงไม้ขนาดใหญ่

…………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท