ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1752 กลัวจนฉี่ราด

บทที่ 1752 กลัวจนฉี่ราด

เรือสปีดโบ๊ทของชาวเอธิโอเปียสองลำแล่นเข้ามาที่ท่าเรือทีละลำ จากนั้นพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีตำรวจหลายสิบคนที่จับปืนอยู่บนเอวของพวกเขา กำลังเฝ้าดูพวกเขาอย่างระแวดระวัง

“รีบกลับลำ รีบไป!” ชายผิวดำที่แข็งแรงคนหนึ่งตะโกนขึ้น

เรือสปีดโบ๊ทสองลำหันหัวกลับทีละลำ ดังนั้นสิ่งที่ชาวเอธิโอเปียเห็นคือเรือลำใหญ่ที่เต็มไปด้วยหัวกะโหลกและมีคนตายห้อยอยู่ตรงหัวเรือขวางทางอยู่ มีกลุ่มชายที่แข็งแรงถือขวานและมีดยาวกำลังเฝ้ามองที่พวกเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

ชายผิวดำที่แข็งแกร่งบนเรือสปีดโบ๊ทคว้าชายหนุ่มที่สวมหมวกใบเล็กๆ อยู่ข้างๆ เขาอย่างหมดหวังและตะโกนว่า “ไอ้บ้าเอ๊ย นิกก้านี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่มันเรื่องอะไรกัน? นายไม่ได้บอกหรอกเหรอว่าที่เมืองนี้มีแต่คนผิวขาว? แล้วไอ้คนพวกนี้คืออะไร?!”

ชายหนุ่มตกตะลึง อ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ไม่พี่คัมมิงส์ ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้ เห็นชัดๆ อยู่ว่าที่นี่ควรจะมีแค่พวกผิวขาวที่อ่อนแออยู่ถึงจะถูกสิ พวกเขา พวกเรา ไม่ ฉันหมายถึง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ!”

พอเป็นแบบนี้สถานการณ์รอบๆ ท่าเรือจึงแปลกไป ขอทานคนหนึ่งรีบวิ่งออกไปพร้อมกับชามแตกในมือและฝ่าแนวป้องกันของตำรวจออกไป เขาชี้นิ้วกลางไปที่เรือสปีดโบ๊ทเอธิโอเปียและตะโกนว่า “พวกเชี่ย มานี่สิ มาหาแดดดี้ฮิวจ์สิ แดดดี้จะให้พวกนายกินขี้!”

แบทแมนและฟอลคอนบินลอยมาจากท้องฟ้า และไล่ตามไปที่เรือเร็วอย่าวว่องไว ด้านหลังยังมีชายหนุ่มที่เหยียบดาบยาวยักษ์ ชาวเอธิโอเปียมองดูคนที่บินได้เหล่านี้ด้วยความสยดสยอง

ยังมีเด็กวัยรุ่นบางคนในชุดเกราะหรือเครื่องแบบทหารกระโดดขึ้นไปบนเรือสปีดโบ๊ท เรือสปีดโบ๊ทลำหนึ่งได้รับการตกแต่งเป็นเรือติดอาวุธในหนังเรื่อง 007 แล่นไปตามผิวน้ำท่ามกลางกระแสลมและคลื่นที่ซัดเข้าหาทะเล ร้องดังกระหึ่มใกล้เข้ามา

เรือโจรสลัดและเรือเดรดนอทล้อมปิดจากด้านหลัง บนเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่มีร่างกายแข็งแรงและยังมีคนที่ถือปืนคาบศิลาอยู่ในมือ เล็งไปที่พวกเขา

ชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งบนเรือสปีดโบ๊ทตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “ไม่อนุญาตให้ใช้ปืนในที่สาธารณะไม่ใช่เหรอ? คนพวกนี้เอาปืนมาจากไหน? พวกเรารีบไปกันเถอะ รีบไปกันเร็ว!”

บนฝั่ง ผู้คนที่มาเข้าร่วมงานต่างสนอกสนใจกับสิ่งตรงหน้า พวกเขาเห็นคนในเมืองไปไล่ล่าเรือเร็วสองลำนั้นกันหมด จึงเริ่มพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจ “เอ๋ เกิดอะไรขึ้นกับเรือลำนี้?” “ไม่ใช่แค่ลำเดียวนะ สองลำ เรือเร็วสีขาวสองลำนั้น พวกเขามาทำอะไรกัน?” “เป็นผู้รุกรานจากองค์กรในเมืองหรือ? ฉันได้ยินมาว่างานนี้มีช่วงรายการที่ร่วมกันปกป้องเกาะด้วย ตอนนี้เริ่มแล้วหรือเปล่า?”

“มีช่วงแบบนี้ด้วยเหรอ? พวกเราทุกคนช่วยกันปกป้องเกาะจากการรุกรานของคนเหล่านั้นอย่างนั้นเหรอ?”

“ไม่น่าหรอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงมีแค่เรือเร็วสองลำล่ะ?”

“โถเพื่อน มันก็แค่การแสดงไง อีกอย่าง พวกเขาอาจจะประเมินจำนวนผู้คนที่มาร่วมงานต่ำไป หรือไม่พวกเขาก็จัดให้ตัวเอง”

“ถ้าอย่างนั้นจะต้องพูดอะไรอีก? ก็แค่เรือสองลำนี้ พวกเราก็ไปเข้าร่วมด้วยเถอะ เดี๋ยวสักพักพวกเขาถูกโจมตี พวกเราก็อดร่วมด้วยหรอก”

จากนั้น ข่าวนี้ก็แพร่กระจายออกไป กลุ่มคนที่แต่งตัวในรูปแบบต่างๆ ขึ้นเรือของตัวเอง เร่งไล่ล่าเรือสปีดโบ๊ทของชาวเอธิโอเปียไปทีละลำ

หลังจากเห็นเครื่องแต่งกายของคนเหล่านี้ชาวเอธิโอเปียก็เข้าใจ ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนว่า “อ๋อ ฉันเข้าใจแล้วพวกโง่พวกนี้กำลังเล่นคอสเพลย์อยู่ พวกคุณรู้หรือเปล่า? เป็นที่นิยมมากตอนนี้ แล้วที่พวกเขาถืออยู่ก็เป็นแค่อุปกรณ์ประกอบ แค่ขู่พวกเราให้กลัวเฉยๆ!”

ด้วยความนิยมของโลกการ์ตูนอะนิเมะที่มีไปทั่วโลก กิจกรรมที่เกี่ยวกับคอสเพลย์จึงเริ่มแพร่หลายมากขึ้น พวกชาวเอธิโอเปียพวกนี้ค่อนข้างอนุรักษนิยม จึงไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมแนวนี้ ดังนั้นตอนแรกพวกเขาถึงตกใจกลัว ตอนนี้พอเริ่มมีสติกลับมาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ในเวลานี้ เรือโจรสลัดได้ทิ้งเรือเร็วยาวลำหนึ่งออกมา บนเรือเร็วลำนั้นมีชายวัยกลางคนหนวดเฟิ้มใส่ชุดคลุมยาวสีขาวเทาถือมีดอยู่แล้วตะโกนขึ้นว่า “หลีกไป ไม่อย่างนั้น…รีบหลีกไป อย่าขวางทาง อย่าวิ่งเข้ามาชนมีดของเรา!”

เดิมทีเขาอยากจะข่มขู่คนบนเรือ อยากจะพูดว่าแทงพวกแกตาย แต่ก็นึกถึงสาเหตุที่เขาเคยติดคุกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือการที่เข้าเอาความตายมาข่มขู่คนอื่น ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปลี่ยนคำพูดอย่างไม่เต็มใจ

เรือประมงมีขนาดใหญ่กว่าเรือเร็วมาก บูลใช้โอกาสที่ได้เปรียบ เอาโซ่ค้อนมาจากเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขา โซ่ค้อนก็คือแท่งเหล็กที่เชื่อมต่อด้วยโซ่และค้อนขนาดใหญ่ที่หนามแหลมเต็มไปหมด ซึ่งของเล่นนี้ก็คล้ายๆ กันกับกระบองสองท่อน เป็นตัวละครเอกในสนามรบในยุคกลางของยุโรป ครั้งหนึ่งพวกมันเคยเป็นอาวุธหลักในสนามรบที่อัศวินและพวกทหารใช้กัน ทรงพลังมหาศาล

บูลหยิบค้อนโซ่ขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มแสยะบนใบหน้า จากนั้นหมุนไปสองสามครั้งแล้วโยนมันออกไป ค้อนเหล็กขนาดใหญ่กระแทกเข้าไปในห้องคนขับของเรือสปีดโบ๊ทพร้อมกับเสียงโหยหวนราวกับดาวตก เสียงดังขึ้น ‘เพล้ง’ ทุบส่วนห้องโดยสารด้านหน้าแตกกระจาย

ชายหนุ่มสองคนที่เบียดกันในห้องคนขับถูกตีด้วยค้อน พวกเขาได้รับบาดเจ็บเลือดออกในทันที กอดแขนที่ได้รับบาดเจ็บพร้อมร้องไห้ระงมด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวเอธิโอเปียคนอื่นๆ ก็ตกใจกลัว มีคนร้องตะโกนเหมือน…”โอ้ว พระอัลเลาะห์ นี่ไม่ใช่คอสเพลย์หรอกเหรอ? อาวุธของพวกเขาเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม!”

แน่นอนว่ามันเป็นของจริง ห้องคนขับถูกทำลาย ไม่สามารถขับเรือสปีดโบ๊ทลำนี้ได้แล้ว ชาวเอธิโอเปียหลายสิบคนได้แต่นิ่งงันอยู่ในทะเลด้วยความงุนงง

บูลและคนอื่นๆ ปีนบันไดลงไป และขึ้นไปที่เรือสปีดโบ๊ทอย่างระมัดระวัง

เรือสปีดโบ๊ทลำเล็กๆ ทำไมถึงจุคนได้เยอะขนาดนี้? เดิมทีแค่ชาวเอธิโอเปียหลายสิบคนบนเรือก็เบียดเสียดกันมากพอแล้ว เมื่อชาวประมงขึ้นไปอีกก็กลายเป็นเหมือนปลากระป๋อง

ชายผิวดำบนเรือตื่นตระหนกและหยิบอาวุธจำพวกมีดและแท่งเหล็กออกมา บูลยิ้มเย็นและยกโล่ขึ้นในมือซ้าย ขณะที่มือขวาถือขวานสองคมไว้ อาวุธของชาวประมงคนอื่นๆ ก็ดูทรงพลังมากเช่นกัน และมีคนเสียบขวานสั้นเป็นแถวไว้อยู่ที่เอว ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นขวานขว้างในกลุ่มโจรสลัดไวกิ้ง เป็นอาวุธขว้างที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

อาวุธของโจรสลัดไวกิ้งส่วนใหญ่จะเน้นขวานเป็นหลัก ได้แก่ ขวานโทมาฮอว์ค ขวานด้ามยาว ขวานสองคม ขวานสั้น และขวานยาวที่รวมกับหอก ขวานชนิดนี้ก้านจะยื่นออกมาส่วนหนึ่งและส่วนขยายที่ยื่นออกมาคือหอกยาว

เมื่อเทียบกับพวกเขา อาวุธในมือของคนผิวดำก็ดูจะไม่เพียงพอ ฉินสือโอวยืนมองอยู่บนเรือ ในใจรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย บ้าเอ๊ย นี่มันมาเฟียเจอองค์กรก่อการร้ายหรืออย่างไร ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะด้วยอาวุธหรือขนาดร่างกายก็แตกต่างกันมาก

มีชาวประมงเพียงสี่คนที่ขึ้นไปบนเรือสปีดโบ๊ท แต่มีอย่างน้อยสี่สิบคนบนเรือโจรสลัด ผู้คนจำนวนมากจากที่สูงมองลงไปที่ชาวเอธิโอเปีย ถ้าพวกเขายังกล้าลงมืออีกพวกเขาก็เทวดาแล้ว

มีเรือมากมายจากด้านหลังล้อมเอาไว้ พวกคนเหล่านี้คิดว่ามันเป็นกิจกรรม พอวิ่งขึ้นมาก็ตะโกนว่า “เพื่อความรุ่งเรืองของอาณาจักร! ฆ่าพวกมัน! ฆ่าพวกมัน!”

“หลบไป มีดเล่มใหญ่ของฉันกระหายเลือดมานานแล้ว!”

“พระเจ้าลงโทษพวกมัน! พวกครูเสด ตามฉันมาและขับไล่พวกมันลงนรกไปซะ!”

เมื่อเห็นฝูงชนที่แสดงออกอย่างบ้าคลั่งล้อมรอบพวกเขา บวกกับเรือและเรือลำเล็กๆ ที่ยังเขยิบใกล้เข้ามาทางนี้อีกมากมาย ในที่สุดชาวเอธิโอเปียก็ยอมแพ้ พวกเขาโยนอาวุธออกไปอย่างรวดเร็วและตะโกนด้วยความสิ้นหวัง “พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้! สันติภาพ! สันติภาพ! สันติภาพ!”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท