ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1777 กระต่าย กระต่าย

บทที่ 1777 กระต่าย กระต่าย

พวกสุนัขพิตบูลนั้นฉลาดมาก ฉินสือโอวชี้นิ้วออกไป พวกมันก็รู้ความหมายทันที พวกมันรีบเห่าออกมาพลางวิ่งไปข้างหน้า หาเล็กๆ ของมันสะบัดไปมา ร่างที่แข็งแกร่งและใหญ่โตทะยานไปข้างหน้า!

แต่ว่า ฉินสือโอวไม่รู้ว่าพวกมันจะสามารถไล่กระต่ายพวกนั้นได้ ในทางตรงกันข้ามกระต่ายถือว่าเป็นรถเอฟวันในสนามการแข่งขัน รถถังสามารถบดขยี้รถแข่งได้ในการแข่งขัน แต่ไม่มีทางที่จะไล่ตามทันได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตั๋วตั่วเห็นเหล่าพิตบูลวิ่งไล่ตามกระต่าย เธอก็ตะโกนตามหลังไปว่า “ต้าหวา เอ้อร์หวา พวกแกวิ่งช้าๆ หน่อย อย่าฆ่ากระต่ายเชียวนะ!”

วินนี่ที่อยู่ด้านหลังยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ดูเหมือนว่าเธอจะพอใจกับการสั่งสอนของตัวเองมาก

อันที่จริงแล้วตั๋วตั่วไม่ต้องตะโกนเตือนเลย เพราะแม้ว่าท่าทางของพวกพิตบูลจะดูร้ายกาจ แต่ว่าพวกมันตามไม่ทันกระต่ายอยู่แล้ว พวกพิตบูลมีแรงในการกัดที่มหาศาลเป็นอย่างมาก แต่ความเร็วของพวกมันไม่ได้โดดเด่น หลังจากที่พวกกระต่ายปรากฏตัวขึ้นพวกมันก็หายไป พวกพิตบูลนั้นจึงทำได้เพียงกลับมาอย่างไม่มีความสุข

แต่ว่าพิตบูลนั้นฉลาด พวกมันจับกระต่ายไม่ได้ แต่พวกมันนำซังข้าวโพดขนาดใหญ่กลับมา มันคาบซังข้าวโพดมาเต็มปากแล้วมาวางอยู่หน้าฉินสือโอว จากนั้นก็หัวเอาถูกับขากางเกงของเขาด้วยความเชื่อง

“เจ้าพวกนี้ฉลาดจริงๆ” ฉินสือโอวยิ้มพลางเอื้อมมือออกไปลูบคอของมัน พิตบูลตัวนี้นั่งลงที่พื้นด้วยท่าทีสบาย มันหรี่ตาลงและส่งเสียงร้อง ‘งิ๊งๆ ‘ ออกมา ส่วนพิตบูลอีกตัวนั้นเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจ มันจึงวิ่งไปคาบซังข้าวโพดมาบ้าง

เหมาเหว่ยหลงตะโกนออกมา ด้วยความโมโหว่า “รีบไปจับกระต่ายเร็วเข้าสิ!”

ฉินสือโอวโบกกางมือออกแสดงท่าทางหมดหนทางพร้อมกับพูดว่า “สุนัขของแกไม่แข็งแรงพอ ไม่สามารถหวังให้จับกระต่ายมาได้เหรอนะ?”

เหมาเหว่ยหลงลงมาจากรถแทรกเตอร์ แล้วพูดว่า “ฉันจัดการพวกมันเอง แกไปขับรถไล่กระต่ายออกมาแทนนะ”

รถแทรกเตอร์นั้นขับง่ายมาก ฉินสือโอวหมุนพวงมาลัยและขับไปรอบๆ ไร่อย่างไร้ทิศทางแน่นอน ไม่นานพวกกระต่ายก็ตื่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

ครั้งนี้พวกพิตบูลเข้าใกล้กระต่ายมากขึ้น พวกมันสับขาวิ่งไล่กระต่าย แต่ความเร็วของพวกมันเร็วไม่พอ แต่ก็ถือว่าทำได้ดี ไม่นานพิตบูลพวกนั้นก็ไล่ตามกระต่ายทัน

เมื่อเห็นว่าสุนัขพิตบูลกระโจนเข้าจับกระต่ายได้ เป็นผลให้กระต่ายพวกนั้นเปลี่ยนทิศทางหนีอย่างชาญฉลาด แต่เพราะว่าขนาดตัวของพิตบูลนั้นใหญ่ และอยากที่จะหยุดได้ทัน ร่างของพวกมันจึงพุ่งไปข้างหน้า ทำให้หัวของพวกมันทิ่มลงพื้น

เพราะแบบนี้ เหล่าพิตบูลจึงกลับมาด้วยความเขินอาย พวกมันก้มหัวซุกอยู่ที่ใต้ก้านข้าวโพด ก้นชี้โด่อยู่ที่พื้นไม่ขยับไปไหน หากไม่ใช่เพราะหางที่กำลังสะบัดไปมา เหมาเหว่ยหลงคงคิดว่าพวกมันหัวโม่งพื้นตายไปแล้ว

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “โคโกโร่แกเลี้ยงอะไรกันเนี่ย สุนัขพวกนี้ดุมากนะ แต่แม้แต่กระต่ายก็จับไม่ได้ มันจะมีอะไรที่เลวร้ายไปมากกว่านี้ไหม? หัวหน้าเป็นอย่างไรลูกน้องก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…อ่า ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นต่างหาก”

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “แกนี่จะทำเกินไปแล้ว สุนัขของฉันจับกระต่ายเก่งมาก….”

ฉินสือโอวพูดอย่างเหนือกว่าว่า “แน่นอนสิ ฉันไม่ได้โม้นะ หู่จือและเป้าจือของฉัน จับกระต่ายได้อย่างราบรื่นเลยล่ะ อย่าว่าแต่กระต่ายเลย อันที่จริงถึงให้จับหมูป่าก็ไม่มีปัญหา คำเดียวที่จะอธิบายถึงพวกมันได้ก็คือ กล้ามาก!”

“ไปไกลๆ เลย สุนัขแกเก่งแค่ไหนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไร มาคิดวิธีจับกระต่ายกันดีกว่านะ” เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น มาถึงตรงนี้เขาต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะว่าเขาเคยเห็นหู่จือและเป้าจือบนเขา แต่ว่าแลบราดอร์และพิตบูลนั้นถ้ามองในมุมถือว่าไม่ยุติธรรม พิตบูลไม่เหมาะที่จะจับกระต่ายอยู่แล้ว

ฉินสือโอวลงมาจากรถแทรกเตอร์ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง แกไปขับรถเถอะ ไม่มีใครวิ่งทันกระต่ายได้หรอก”

เหมาเหว่ยหลงมองไปยังเขาด้วยความสงสัย “แกจะวิ่งไล่เองงั้นเหรอ? วิ่งไล่แบบสี่ขาน่ะเหรอ? ไม่ได้หรอก ต่อให้แกมีห้าขาก็ไม่สามารถวิ่งไล่พวกมันได้”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาพลางผลักเขาเบาๆ หนึ่งที “ไปเลย ลูกสาวฉันอยู่ที่นี่ อย่าพูดอะไรไร้สาระ แกไปเถอะ ฉันมีของ ดูฉันไว้นะ” พูดจบ เขาก็เอานิ้วเข้าปากและผิวปากออกมา

เสียงผิวปากดังขึ้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหมาเหว่ยหลงมองไปยังฉินสือโอว เถียนกวาก็มองไปยังปะป๊าของตัวเอง ตั๋วตั่วมองไปยังพ่อบุญธรรม มีเพียงวินนี่เท่านั้นที่อมยิ้มอยู่ข้างๆ

“แกทำอะไรน่ะ?” เหมาเหว่ยหลงสบถถามออกมา

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาแล้วตอบกว่า “ให้ตายสิ เฟอเรททั้งสองตัวของฉันอยู่ไหนเนี่ย? นับวันยิ่งไม่เชื่อฟังนะ เป็นลูกชายและลูกสาวที่ดื้อรั้นจริงๆ ชักจะโมโหแล้วสิ!”

พี่น้องเฟอเรททนไม่ได้กับคำสบประมาท พวกมันกำลังนอนอาบแดดอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ วินนี่ทั้งสองข้าง สำหรับเสียงผิวปากของฉินสือโอวแล้วพวกมันไม่สนใจ เพราะว่ามันเป็นเสียงเรียกสุนัขเข้าใจไหม และพวกมันไม่ใช่สุนัข!

ฉินสือโอวชี้ไปที่พี่น้องเฟอเรทอ เถียนกวารีบวิ่งมาจับพวกมันไว้ทันที พี่น้องเฟอเรทหมุนตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย สิ่งที่จะช่วยลดความขมขื่นหลังจากที่ถูกจับได้

เถียนกวาส่งเฟอเรททั้งสองตัวให้ปะป๊าอย่างมีความสุข ฉินสือโอวลูบขนยาวๆ ของพี่น้องเฟอเรท สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนมาก พี่น้องเฟอเรทรู้สึกดีประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันคิดว่าจะต้องมีการสมรู้ร่วมคิดอะไรบางอย่างกันอยู่แน่ๆ

และพวกมันก็เดาถูก เมื่อกระต่ายปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ฉินสือโอวก็ชี้ไปยังกระต่ายพวกนั้น แล้วตะโกนออกมาว่า “ไปจับมัน!”

พี่น้องเฟอเรทมีน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม แต่กระต่ายป่าพวกนั้นหนักห้าถึงหกกิโลกรัม ทางมุมมองทางกายภาพกระต่ายมีข้อได้เปรียบเป็นอย่างมาก แต่ฉินสือโอวเชื่อใจในพวกมันเต็มเปี่ยม เฟอเรทแบลคฟุตเป็นนักล่ามือฉมัง แม้ว่าพวกมันจะชอบล่ากระรอกดินและหนูในป่าแต่ว่ากระต่ายพวกนี้พวกมันก็ไม่ปฏิเสธ เฟอเรทแบลคฟุตเป็นนักฆ่าที่ยอดเยี่ยม!

นอกจากพลังของพวกมันแล้ว ความเร็วและความยืดหยุ่นของเฟอเรทแบลคฟุตถือว่าน่ากลัวเป็นอย่างมาก พวกมันจับกระต่ายในพื้นที่ทุรกันดาร แม้ว่าจะไม่ได้จับมาเพื่อกิน แต่ก็เพื่อความสนุกสนานและเป็นการฝึกทักษะในการล่าสัตว์ พี่น้องเฟอเรทแม้ว่าจะไม่เคยจับกระต่ายมาก่อน แต่ทักษะการล่าสัตว์อันยอดเยี่ยมของพวกมันได้ถูกถ่ายทอดมาทางสายเลือด

ฉินสือโอวชี้ไปที่กระต่าย พี่น้องเฟอเรทก็รีบทะยานไปข้างหน้าตามคำสั่งทันที ร่างของพวกมันปรากฏขึ้นในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไม่กี่วินาทีพวกมันก็ปรากฏตัวใกล้ๆ กับกระต่าย

โดยสัญชาตญาณแล้ว กระต่ายจะสลัดศัตรูที่อยู่ด้านหลังด้วยการเปลี่ยนทิศทาง แต่ว่าพวกเฟอเรทนั้นตัวค่อนข้างเล็ก การเปลี่ยนทิศทางจึงมีความคล่องตัวมากกว่า ยังดีที่กระต่ายตัวนี้ไม่หันกลับมา มันยังคงรักษาความได้เปรียบจากการวิ่งไปข้างหน้า การเปลี่ยนทิศทางในตอนนี้จะทำให้เสียเวลา จากนั้นเฟอเรทพี่ชายก็กระโดดขึ้นทันที ไม่นานกระต่ายป่าก็ล้มลงกับพื้น ปากเล็กๆ ของเฟอเรทพี่ชายอ้าออกจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ มันสะบัดหัวไปมาหมายจะฉีกคอของกระต่าย…

กระต่ายดิ้นรนอย่างหนัก เฟอเรทพี่ชายไม่สามารถหยุดมันไว้ได้ แต่เพราะกระต่ายบาดเจ็บสาหัส ทำให้มันลุกขึ้นวิ่งนี้ได้ไม่กี่ก้าวก็เสียชีวิตลง เฟอเรทพี่ชายวิ่งไปลากคอกระต่ายกลับมา กระต่ายตัวนี้หนักมาก เฟอเรทตัวน้อยลากมันมาได้ไม่เท่าไรก็เหนื่อยจนต้องนั่งพัก มันหายใจแรงขึ้นเพราะเหนื่อย

จากนั้นกระต่ายอีกตัวก็ปรากฏตัวขึ้น ในฟาร์มมีกระต่ายพวกนี้อยู่จำนวนมาก ครั้งนี้เฟอเรทน้องสาวออกโรงบ้าง เพราะความเร็ว และความยืดหยุ่นของมัน ทำให้มันตามกระต่ายได้อย่างรวดเร็ว และมันก็ทำให้กระต่ายล้มได้ด้วยวิธีเดียวกัน

พี่น้องเฟอเรทลากกระต่ายมาไม่ไหว ฉินสือโอวไปหยิบกระต่ายป่าขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่เถียนกวาส่ายหัวไปมา “ไม่ใช่ๆ กระต่ายวิ่งได้ กระต่ายวิ่งได้!”

………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท