ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1790 ซื้อข้าวของเพิ่มเติม

บทที่ 1790 ซื้อข้าวของเพิ่มเติม

เขารู้ว่า เพราะส่งพลังแห่งโพไซดอนให้มากเกินไป ฟาร์มปลาถึงขั้นดึงดูดปลากับกุ้งเข้ามาไม่น้อย นี่ทำให้โกลเด้นเบย์เป็นฟาร์มปลาที่ไม่เลว ถ้าเขาทำความสะอาดสาหร่ายทะเลและจับปลากับกุ้งเป็นพิเศษ และพึ่งพาการเก็บเกี่ยวก็สามารถขายในราคาดีๆ ได้แล้ว

ความจริงพลังแห่งโพไซดอนที่เขามีในตอนนี้อุดมสมบูรณ์มาก แม้ว่าพื้นที่ของโกลเด้นเบย์จะเพิ่มเป็นสองเท่า และปริมาณสาหร่ายที่ปลูกไว้จะเยอะขึ้นอีกเป็นสองเท่าเขาก็สามารถแบกรับไว้ได้ แต่บริเวณรอบๆ ไม่มีฟาร์มปลาที่เหมาะสมจะขยาย ถ้าฟาร์มปลาหมายเลข 3 ที่รัฐโนวาสโกเชียก็ใช้สำหรับการเพาะปลูกสาหร่าย มันจะได้ไม่คุ้มเสียเกินไป

สาหร่ายทะเลกับพืชน้ำสำหรับฟาร์มปลาถือเป็นดาบสองคม พวกมันเป็นอาหารหลักของปลากับกุ้ง ถ้าไม่มีสาหร่ายทะเลเพียงพอ นั่นก็ทำได้แค่พึ่งอาหารปลามาเลี้ยงปลากับกุ้ง และจะไม่สามารถเก็บปลากับกุ้งได้ แต่ในกรณีที่ปริมาณของสาหร่ายทะเลมีมากเกินไปกลับจะเปลี่ยนเป็นเก็บเกี่ยวได้ยากลำบากแทน และไม่สามารถตกปลาได้เลย สาหร่ายทะเลจะกีดขวางหรือพันรอบอวนจับปลา

ดังนั้นปริมาณสาหร่ายทะเลในฟาร์มปลาต้าฉินจึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ฉินสือโองยังหวังว่าฟาร์มปลาหมายเลข 3 จะกักตุนสินค้าทางทะเลไว้บ้าง และการใช้มันทำฟาร์มสาหร่ายทะเลก็สิ้นเปลืองเกินไปนิดหน่อยเหมือนกัน

ตั้งแต่ซื้อฟาร์มปลาหมายเลข 3 ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว ฉินสือโอวใช้ประโยชน์จากมันมาโดยตลอด หนึ่งคือเพราะฟาร์มปลาแห่งนั้นถูกทิ้งไว้นานแล้ว เขาปลูกสาหร่ายกับพืชน้ำไว้ในปริมาณที่เหมาะสม และต้องใช้เวลาปรับปรุงสภาพแวดล้อมของฟาร์มปลา สองคือเขาไม่มีกำลังคนมาจัดการฟาร์มปลาทั้งสองแห่งมากพอ เขาหวังว่าเกิง จุนเจี๋ยชาวประมงหน้าใหม่กลุ่มนี้จะเติบโตขึ้น และให้พวกเขาไปเป็นผู้นำจัดการฟาร์มปลาหมายเลข 3

หลังจากตรวจสอบสต๊อกของอาหารปลากับสต๊อกของสาหร่ายป่น ฉินสือโอวก็ไปโรงงานผลิตเพื่อดูการผลิตอาหารปลาอีก เขาเดินไปหาคนงานและถามถึงความเข้มข้นของงาน คนงานคนนั้นยิ้ม “งานนี้สบายมาก แม้ว่าจะทำงานล่วงเวลา 4 ชั่วโมงก็ไม่เหนื่อย ทุกคนทำงานไม่มีปัญหา บอสไม่ต้องกังวล”

เขาสุ่มถามคนงานอีกจำนวนหนึ่ง และคำตอบที่ได้มาก็คล้ายๆ กัน ทุกคนพูดว่างานนี้ไม่เหนื่อย ดังนั้นเขาจึงวางใจ และเตรียมซื้อเรือเก็บสาหร่ายทะเลเพิ่มอีกลำหลังจากนั้นก็ขยายสายการผลิตต่อ อย่างไรก็ตามริมฝั่งที่ฟาร์มปลายังมีพื้นที่ว่าง ถ้าไม่ใช้ประโยชน์ก็น่าเสียดายมาก

สิ่งแรกที่ต้องทำคือสั่งซื้อเครื่องผลิตกับขยายโรงงาน ซึ่งต้องพัวพันกับปัญหาชุดหนึ่งแน่ เมื่อคนงานเยอะ หอพักก็ต้องเพิ่ม สถานบันเทิงก็ต้องเพิ่ม พื้นที่โรงอาหารก็ต้องเพิ่ม จำนวนของพ่อครัวก็ต้องเพิ่มอีกเช่นกัน

ต่อมาถึงจะซื้อเรือเก็บสาหร่ายทะเล ตอนนี้ฟาร์มปลามีเรือเก็บสาหร่าย 2 ลำ แต่ทุกลำเป็นเรือที่เขาเช่ามา สถานการณ์การขายอาหารปลาก่อนหน้านี้ไม่แน่นอนนัก เขาก็เลยไม่กล้าซื้อเรือเก็บสาหร่ายทะเลในทันที ไม่อย่างนั้นถ้าความเป็นจริงพิสูจน์ว่าความคิดที่จะพัฒนาของเขาเป็นไปไม่ได้ เรือเก็บสาหร่ายทะเลก็จะไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงขอให้เรคช่วยเขาเช่าเรือ 2 ลำ ตอนนี้สถานการณ์แน่นอนแล้ว เขาสามารถซื้อเรือเก็บสาหร่ายทะเลได้แล้ว และต้องซื้อทั้งหมด 4 ลำ

เรือเก็บสาหร่ายทะเลจัดเป็นเรือประเภทพิเศษ ปริมาณการซื้อน้อยมาก ปกติมีแค่รัฐบาลซื้อมาใช้เพื่อกวาดสาหร่ายทะเลที่น่านน้ำโดยเฉพาะ นอกจากจัดการปัญหาสาหร่ายทะเลล้น โอกาสในการใช้เรือเก็บสาหร่ายทะเลประเภทนี้ก็มีไม่มากนัก ไม่มีตลาดก็ไม่มีความมีชีวิตชีวา อู่ต่อเรือที่ต่อเรือเก็บสาหร่ายทะเลมีค่อนข้างน้อย ถ้าอู่ต่อเรือที่นครเซนต์จอห์นไม่ต่อ ก็ต้องไปซื้อที่แฮลิแฟกซ์

แต่ระยะห่างจากโกลเด้นเบย์ถึงแฮลิแฟกซ์ไม่ไกล ที่นี่ก็ต้องสั่งซื้อเหมือนกัน อู่ต่อเรือของนิวฟันด์แลนด์ ก็อยู่ห่างออกไป 8 ร้อยกิโลเมตร ขับเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำเล็กไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็บินถึงแล้ว

เรือเก็บสาหร่ายทะเลประเภทนี้ไม่มีชิ้นส่วนทางเทคโนโลยีอะไร ราคาค่อนข้างต่ำ เรือเก็บสาหร่ายทะเลหนึ่งลำเก็บสาหร่ายทะเลได้ 2 ร้อยตันต่อวันและราคาแค่ 1 ล้าน 5 แสนดอลลาร์แคนาดา 4 ลำรวมแล้วก็ 6 ล้าน

หลังจากฉินสือโอวเลือกแบรนด์ของชิ้นส่วนหลักๆ เช่นเครื่องยนต์กับแขนจักรกลสำหรับเก็บให้เรือเก็บสาหร่ายทะเลแล้ว ส่วนที่เหลือก็คืออู่ต่อเรือเริ่มต่อ เขาจ่ายเงินล่วงหน้าก้อนแรกก่อน 15 เปอร์เซ็นต์หรือ 9 แสนดอลลาร์แคนาดา ฉินสือโอวจ่ายเงินอย่างมีความสุข เขาซื้อเรือเก็บสาหร่ายทะเลแบบนี้ ความรู้สึกคล้ายกับตอนซื้อคอมพิวเตอร์เลย

ตาข่ายเก็บเกี่ยว เครื่องเก็บเกี่ยว และเครื่องบดที่เรือใช้ต้องซื้อเพิ่ม สิ่งนี้ไม่ต้องให้เขาทำด้วยตัวเอง เขาบอกความต้องการของเขาให้เรคฟัง บิ๊กฟุตเรคก็จะช่วยเขาซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกที่แมทช์กันพวกนี้ให้ในราคาที่เหมาะสมที่สุด ขอแค่เขาจ่ายเงินก็พอ

การทำงานด้วยเงินถือเป็นการอำนวยความสะดวก แม้แต่การเตรียมการขยายสายการผลิตรวมถึงซื้อเรือเก็บสาหร่ายทะเลและอุปกรณ์เสริม ก็ใช้เวลาแค่ 2 วันเท่านั้น นี่ยังเป็นเพราะการบินกลับจากแฮลิแฟกซ์มันเสียเวลา ไม่อย่างนั้นวันเดียวก็สามารถแก้ปัญหาได้

วันต่อมาหลังจากกลับมาถึงโกลเด้นเบย์ เรือขนส่งของเดวิสก็มาถึงฟาร์มปลาแล้ว แลนซ์ที่แต่งตัวโอ่อ่าต้องรับเขาด้วยใบหน้าจริงจัง เดวิสถามว่าเขาสามารถซื้ออาหารปลา 200 ตันได้หรือไม่ แลนซ์ผายมือ “ที่นี่ผมไม่ได้รับผิดชอบการขาย เพื่อน ผมรับผิดชอบแค่ผลิตกับขนส่งสินค้า คุณให้ตั๋วอาหารสัตว์ผม จำนวนที่ระบุในตั๋วคือเท่าไหร่ ผมก็ให้คุณได้เท่านั้น”

ตั๋วอาหารสัตว์ก็คือตั๋วเบิกอาหารปลาที่ฉินสือโอวออกให้ ด้านการซื้ออาหารปลา เขาใช้วิธีการซื้อขายแบบช่วงพิเศษช่วงนั้นหลังจากการก่อตั้งประเทศจีน การซื้อของไม่เพียงแค่ต้องใช้เงิน ยังต้องใช้ตั๋วอีกด้วย ไม่มีตั๋วมีแค่เงินก็ไร้ประโยชน์ ตั๋วสำหรับซื้ออาหารเมื่อตอนนั้นเรียกว่าตั๋วปันส่วนข้าว ตั๋วที่ใช้ซื้อน้ำมันเรียกว่าตั๋วน้ำมัน แน่นอนตั๋วที่ใช้ซื้ออาหารปลาก็เรียกว่าตั๋วอาหารสัตว์

เดวิสส่งตั๋วอาหารสัตว์ให้แลนซ์อย่างเศร้าซึม โควตาที่ระบุไว้ด้านบนคือ 1 ร้อยตัน หลังจากที่แลนซ์ตรวจสอบก็เซ็นชื่อลงด้านบน เดวิสจ่ายเงินให้ คนงานที่อยู่บนเรือขนส่งจึงขับเรือไปขนอาหารปลาขึ้นมา หลังจากยุ่งอยู่พักหนึ่งทั้งสองฝ่ายก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหา เรือขนส่งขับออกไปทันที ผ่านไปไม่นานก็มีเรือขนส่งมาอีกลำ แน่นอนว่าก็เป็นคนที่มาซื้ออาหารปลา

มันเป็นเวลาเลิกงานตอนเย็นพอดี พวกคนงานจึงขับรถออกจากโรงงานไปกินข้าวที่โรงอาหาร เขาเห็นว่าแลนซ์กำลังยุ่งและเพลิดเพลินอยู่กับงาน จึงไม่ได้เรียกแลนซ์ ไปเปิดเตาเล็กๆ แต่ให้เบิร์ดหาอุปกรณ์ทานอาหารที่สะอาดชุดหนึ่งมาให้เขา และก็ตามไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วย

ฉินสือโอวไม่ขาดแคลนเงิน ดังนั้นเขาจึงเลี้ยงดูคนงานในทุกๆ ด้านอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่นการจ่ายค่าประกันสังคม เขาซื้อประกันทั้งหมดที่กระทรวงแรงงานกำหนดให้พนักงาน แบบนี้เมื่อไหร่ที่พวกพนักงานป่วย ถ้าไปหาหมอก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน

อีกตัวอย่างเช่น อาหารของพนักงานที่ฟาร์มปลาใช้เงินทุนเป็นจำนวนมหาศาลมาโดยตลอด อาหารทุกมื้อจะมีอาหารให้เลือกอย่างน้อย 10 อย่าง อาหารทะเล 4 อย่าง อาหารมังสวิรัติ 4 อย่างและอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติอีก 2 อย่าง หลังอาหารยังมีของหวานกับสลัดผลไม้ให้กินอีกด้วย

ภายในอาหารพวกนี้ อาหารทะเลไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เพราะตอนนี้โกลเด้นเบย์มีปลากับกุ้งมากมาย ถึงอย่างไรก็มีเรือเก็บสาหร่ายทะเลออกทะเลทุกวัน ตอนที่กลับมาก็มีตกปลามาด้วย วันนั้นเก็บอะไรมาวันต่อมาก็กินสิ่งนั้น อาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติปกติจะเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่และเนื้อเป็ด เนื้อพวกนี้ที่แคนาดาราคาก็ไม่แพงเหมือนกัน แต่ผักกับผลไม้ราคาก็ไม่ได้ต่ำ ทว่าฉินสือโอวยังคงยืนกรานที่จะซื้อผักกับผลไม้สดๆ ให้คนงานกิน

ตอนนี้ฟาร์มปลามีพ่อครัวในโรงอาหารทั้งหมด 3 คน เชฟอาหารจีน 2 คน และเชฟอาหารฝรั่ง 1 คน อาหารที่ทำจึงใช้อาหารจีนเป็นหลัก แม้ว่าจะเป็นอาหารหม้อใหญ่ แต่เพราะวัตถุดิบสดใหม่และอุดมสมบูรณ์บวกกับทักษะการทำอาหารของพ่อครัวก็ไม่เลว อาหารทั้ง 10 จานที่ทำจึงมีสีสันและกลิ่นที่หอมหวน

ฉินสือโอวตามไปเข้าแถว เขาเป็นคนกินเยอะ จึงสั่งอาหาร 4 อย่างคือนักเก็ตปลาทอด หมูผัดซอสแดง โคลสลอว์และผัดถั่วแขก อาหารหลักมีขนมปัง พิซซ่ากับข้าวสวย ทั้งหมดเป็นของที่ทำในวันเดียวกัน เม็ดข้าวสีขาวและมีกลิ่นหอม ขนมปังคายความร้อนและส่งกลิ่นหอมรุนแรง พิซซ่ารสชาตินุ่มๆ ทุกอย่างล้วนเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยม

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท