ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1813 วันตกปลาในฤดูหนาว

บทที่ 1813 วันตกปลาในฤดูหนาว

“จะห่อหยวนเซียวเองเหรอ?” เมื่อเห็นของที่ฉินสือโอวแบกเข้ามาพี่สาวของฉินสือโอวก็ถามด้วยรอยยิ้ม

ฉินสือโอวพยักหน้า และหลังจากนั้นก็พูดว่า “พวกพี่ไปนอนสักงีบก่อนเถอะ บินมาตลอดทาง บินมาเกือบจะครึ่งโลก ไม่เหนื่อยเหรอ?”

เสี่ยวฮุยที่กำลังเล่นกับพาวลิสและคนอื่นๆ หันกลับมาและพูดว่า “ไม่เหนื่อยครับ เตียงบนเครื่องบินใหญ่มากและนอนสบายมาก เหมือนกับที่บ้านเลย แต่ก็ไม่สามารถวิ่งไปรอบๆ ได้”

ฉินสือโอวถามพี่สาวของฉินสือโอวว่าบินมาครั้งนี้มีเตียงด้วย? พี่สาวของฉินสือโอวพยักหน้า และพูดว่ามันเป็นตั๋วเครื่องบินที่แกจองเองแกไม่รู้เหรอ? เขาไม่รู้จริงๆ ตั๋วเครื่องบินเป็นของที่พนักงานเอ็กซ์เพรสช่วยจองให้ และดูเหมือนว่าตั๋วที่จองจะเป็นห้องวีไอพี

แบบนี้คนจึงเยอะขึ้น ทำงานเร็วขึ้น แต่ก็ลำบากมาก

ถั่วลิสงที่เขาซื้อมาเป็นถั่วลิสงดิบ ต้องคั่วก่อน เรื่องนี้ง่ายมาก เขาขอให้พาวลิสที่เป็นคนเอาจริงเอาจังมาทำงานนี้ ขั้นแรกคือเททรายละเอียดแห้งลงในหม้อ จุดไฟผัดทรายละเอียดให้ร้อน ใส่ถั่วลิสงติดเปลือกลงไปในหม้อและเริ่มผัด พลิกไปมาครู่หนึ่งก็สามารถคั่วได้

ภายในฟาร์มปลามีเครื่องบด หลังจากคั่วถั่วลิสงจนสุกก็จะปอกเปลือกออกและใส่ลงไปบด วัตถุดิบอื่นเช่นงาดำก็ทำเหมือนกัน หลังจากใส่ลงไปก็จะออกมาเป็นผงถั่วลิสงกับผงงาอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ค่อนข้างลำบากคือแป้งของหยวนเซียว แป้งข้าวเหนียวต้องเติมน้ำในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะใช้ได้ ฉินสือโอวไม่เคยทำมาก่อน ผลคือเติมน้ำหลายครั้งไม่น้อยไปก็มากไป สุดท้ายแม่ของฉินสือโอวก็ต้องมาทำ หลังจากเติมน้ำในปริมาณที่เหมาะสมก็เริ่มผสมกัน และแบ่งออกเป็นหลายๆ ชิ้นพี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยและคนอื่นๆ เริ่มม้วนแป้ง

เชอร์ลี่ย์ก็อยากไปม้วนแป้งเหมือนกัน แต่ฉินสือโอวขอให้เธอพามิเชล ไวส์และเสี่ยวฮุยไปเตรียมไส้ ไส้ของหยวนเซียวมีหลายอย่างมาก ถั่วลิสงกับงาเตรียมเสร็จแล้ว และยังสามารถใช้ไส้ผลไม้ได้อีกด้วย ที่ฟาร์มปลามีสตรอว์เบอร์รี แพร์และแอปเปิล ผลไม้พวกนี้ก็สามารถใช้ทำเป็นไส้ของหยวนเซียวได้ทั้งหมด

นอกจากนี้เขายังตั้งใจว่าจะห่อไส้ช็อกโกแลตด้วยส่วนหนึ่ง ตอนอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเขาซื้อช็อกโกแลตมาเยอะมาก หลังจากทำให้ร้อนก็ผสมกับเนย และใส่แป้งข้าวเหนียวลงไปนิดหน่อย รอจนมันแห้งและห่อเข้าไปก็ได้แล้ว

ดังนั้น หลังจากที่ใส่ลงไปในหม้อเนยกับช็อกโกแลตจะละลาย แต่ถ้าผสมกับแป้งข้าวเหนียว ความเหลวของพวกมันจะไม่เข้มข้นมาก พอแป้งหยวนเซียวสุกก็สามารถกินได้เลย

ส่วนผงถั่วลิสงกับผงงาก็ผสมกับน้ำตาลทรายขาว ตอนที่ผสมฉินสือโอวก็เติมเมเปิลไซรัปกับเนยลงไปด้วย ตามจริงควรจะเติมน้ำมันหมู แต่คนแคนาดาไม่กินน้ำมันหมู ในซูเปอร์มาร์เก็ตจึงไม่มีน้ำมันหมูขาย แต่ก็ใช้เนยแทนได้ไม่ส่งผลต่อรสชาติแน่นอน

ทั้งครอบครัวห่อทังหยวนกันอย่างมีความสุข บางคนม้วนแป้งบางคนผสมไส้บางคนห่อเป็นลูกกลมๆ ภายในเวลา 1 ถึง 2 ชั่วโมง ทังหยวนลูกเล็กลูกใหญ่กองโตก็ห่อเสร็จ

คนในบ้านทำกินกันเอง จึงไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้นที่ห่อออกมาจะสวยหรือน่าเกลียดก็ไม่สำคัญ สามารถกินได้ก็พอ

เถียนกวายุ่งตามไปด้วย บนหัวเล็กๆ ของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก เธอก็ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกันแต่ก็จะทำนิดหน่อย วินนี่ทำได้แค่ไล่เช็ดเหงื่อให้เธอเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงไม่เต็มใจ เธอดันมือของวินนี่ออกและพูดอย่างไม่พอใจ “เถียนกวาเป็นเด็กโต ไม่จำเป็นต้องเช็ดเหงื่อให้!”

เธอใช้มือเล็กๆ เช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้าด้วยตัวเอง แต่มือของเธอมีแต่แป้ง และเธอก็เช็ดอย่างรวดเร็วจนหน้าขาววอก

อาหารเย็นก็เป็นทังหยวน ฉินสือโอวแบ่งออกเป็นชุดๆ หลังจากที่หม้อแรกยกลงจากเตาเขาก็ให้พ่อแม่และพี่สาวกินก่อน พ่อของฉินสือโอวตักทังหยวน 4 ลูกมาไว้ในชาม เขาเดินไปที่ประตูแล้วหันไปทางทิศใต้กับทิศตะวันออกและโค้งคำนับ เขาถอนหายใจ “มากราบไหว้พระเจ้ากับพวกปู่ของแกก่อน โดยเฉพาะปู่รอง เราต้องขอบคุณเขา ถ้าเขาไม่ได้ทิ้งที่ดินของครอบครัวผืนใหญ่ขนาดนี้ไว้ให้แก ตอนนี้แกก็คงยังดิ้นรนทำงานอยู่ที่บ้านเกิด”

หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษฟ้าดินเสร็จ เขาก็สามารถกินได้ในที่สุด ฉินสือโอวชิมทังหยวน ซึ่งเป็นทังหยวนไส้ถั่วลิสงกับงา และเพราะใช้เมเปิ้ลไซรัป มันจึงทั้งหวานทั้งหอม แต่แป้งข้าวเหนียวไม่นุ่มพอ กินแล้วรู้สึกแข็งนิดหน่อยในปาก นี่ถือว่ามีจุดบกพร่องนิดเดียว

โชคดีที่พวกเด็กๆ กินกันอย่างมีความสุข เถียนกวากินอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ คาดว่าเธอคงรู้สึกว่าทังหยวนพวกนี้ก็มีผลงานของเธอเหมือนกัน อาหารที่ทำออกมาด้วยตัวเองอร่อยที่สุดเสมอ

หลังจากกินอิ่มดื่มพอแล้ว ทั้งครอบครัวก็กลับมาดูทีวีและคุยเล่นกันในห้องรับแขก ฉินสือโอวคุยเรื่องธุรกิจร้านอาหารในประเทศกับสถานการณ์การเพาะพันธุ์ในอ่างเก็บน้ำกับพี่สาวและพี่เขย เหมือนกับที่เขาคาดการณ์ไว้ การเจริญเติบโตของปลากับกุ้งที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำดีมาก คุณภาพเนื้อก็ยอดเยี่ยมมาก และแน่นอนว่าธุรกิจร้านอาหารก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

สถานที่ตั้งแตกต่างกัน สิ่งที่เห็นก็แตกต่างกัน ปกติพี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตอนที่คุยกันพวกเขาเสนอฉินสือโอวว่าเขาสามารถโอนธุรกิจส่วนหนึ่งของฟาร์มปลาไปที่ประเทศจีนได้

“ตอนนี้เศรษฐกิจระหว่างประเทศค่อนข้างซบเซา แกสามารถเข้าไปที่ประเทศจีนเพื่อแบ่งเบาแรงกดดันได้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศจีนก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน แต่ก็คงจะดีกว่าแคนาดา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คนธรรมดาเขามีเงินแล้ว และใส่ใจความปลอดภัยของอาหารเป็นพิเศษ แกก็เอาปลาน้ำลึกของที่นี่กลับไปขายที่ประเทศจีนมันต้องมีตลาดขนาดใหญ่สนใจแน่นอน เริ่มจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจวและเชินเจิ้น ฉันรู้สึกว่ามันจะคุ้มค่า” พี่สาวของฉินสือโอวดื่มชาและพูด

ฉินสือโอวพยักหน้า “โอเค หลังจากที่พวกพี่กลับไปก็จดทะเบียนบริษัท ทำการค้าสัตว์น้ำระหว่างประเทศ พันธมิตรการประมงของพวกเราก็มีแผนเปิดตลาดที่เอเชียตะวันออกเหมือนกัน ถึงเวลานั้นผมจะมอบสิทธิ์การจัดการในประเทศให้พวกพี่ พวกพี่ก็หาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่มืออาชีพหน่อย ธุรกิจนี้น่าทำมากทีเดียว”

การเปลี่ยนแปลงอย่างมาก พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยเข้าใจจุดนี้ดี พวกเขารู้สึกตื่นเต้น และเริ่มพิจารณาว่าหลังจากกลับไปจะขยายธุรกิจอย่างไร ถ้าพวกเขาร่วมมือกับพันธมิตรการประมงได้สำเร็จ ความมั่งคั่งและสถานะของพวกเขาก็จะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากการเป็นเจ้าของร้านอาหารในตอนนี้!

หลังจากพักผ่อน 2 วัน พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยก็ไปเดินเล่นที่นครเซนต์จอห์น แคนาดาในฤดูหนาวไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสม แต่ไปเพลิดเพลินกับหิมะที่เทือกเขาร็อกกีก็ไม่เลว ทว่าที่นั่นอยู่ไกลมากเกินไป และวินนี่ตั้งครรภ์อยู่ฉินสือโอวจึงไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครไปกับพวกเขาและยังกังวลว่าจะเกิดเรื่องอีก ความคิดนี้จึงถูกยกเลิกไป

ฉินสือโอวเห็นพวกเขาอยากออกไปเที่ยว จึงหาโปรแกรมให้พวกเขา ซึ่งก็คือออกทะเลไปตกปลาในฤดูหนาว

การตกปลาในฤดูหนาวไม่ใช่การตกปลาธรรมดาๆ แต่ต้องรออยู่ในทะเล 2 ถึง 3 วัน พี่สาวของฉินสือโอวกับพี่เขยไม่สนใจเรื่องนี้ และบอกว่ามาทุกครั้งก็ตกปลาไม่มีความรู้สึกใหม่ๆ อยากเปลี่ยนกิจกรรม

ฉินสือโอวอธิบายว่า “ไม่เหมือนกัน ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การตกปลา แต่ยังมีวิวทะเลฤดูหนาวที่เหอชั่งค้างคืนในทะเลอีกด้วย เอาเป็นว่าฟังผมนะ ผมจะพาพวกพี่ไปรู้จักกับทะเลที่ไม่เคยเห็น”

ในความคิดของคนส่วนใหญ่ ทะเลในฤดูหนาวลมทะเลจะแรง คลื่นทะเลก็กระหึ่ม อันที่จริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย ถ้าทะเลในฤดูหนาวมีลมพัดอาจจะเกิดพายุได้ง่ายจริง แต่ถ้าในสถานการณ์ที่ไม่มีลม จะกลายเป็นเงียบสงบเป็นพิเศษ ราวกับทะเลสาบ ไม่มีคลื่น กว้างไกลสุดสายตา และมีความซาบซึ้งเป็นพิเศษ

ฉินสือโอวพาพ่อกับแม่ไปด้วย พ่อของฉินสือโอวถามอย่างเป็นกังวล “บนเรือสามารถอยู่กันได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”

คนเยอะมากจริงๆ เกือบทั้งครอบครัวออกไปเที่ยว ยกเว้นวินนี่ที่ตั้งครรภ์อยู่ในวิลล่า ไวส์กลับไปรวมตัวกับพ่อแม่ของเขาที่ชิคาโก้ คนอื่นๆ รวมทั้งพาวลิสกับเชอร์ลี่ย์ก็รอออกไปเที่ยว

ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่าไม่มีปัญหาแน่นอน เขาเริ่มขยับเรือแฟร์เวล และลากเกาะล่องแก่งที่อยู่ข้างหลังไปด้วย บนเกาะมีกระท่อมทรงไข่ ในกระท่อมพี่สาวของฉินสือโอว พี่เขยและเสี่ยวฮุยสามารถนอนได้ คนอื่นๆ ก็นอนบนเรือแฟร์เวลไม่มีปัญหาแน่นอน

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท