ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1817 ซูเปอร์สตาร์แลบราดอร์

บทที่ 1817 ซูเปอร์สตาร์แลบราดอร์

ยัยตัวเล็กไม่พอใจแล้ว จึงปัดมือน้อยๆ อย่างเอาแต่ใจออกมาเพื่อจะไล่หู่จือกับเป้าจือ แลบราดอร์สองตัวหลับตาขวางอยู่ข้างหน้า เธอจะโวยวายก็โวยวายไป เธอจะมาไม้แข็งก็ไม้แข็งไป อย่างไรก็ไม่ให้เธอไป

เมื่อผลักไปสักพักก็ผลักแลบราดอร์ออกไปไม่ได้ และพอคิดจะเดินอ้อมไปก็ดันวิ่งไม่เร็วเท่าแลบราดอร์อีก ยัยตัวเล็กจึงโกรธนั่งลงกับพื้นแล้วเริ่มเตะขาน้อยๆ งอแงขึ้นมา

หู่จือลืมตามามองไปสองที ขอโทษด้วย จะอ้อนแค่ไหนก็ไม่ได้ผล มันเดินเข้ามาอ้าปากงับปกเสื้อของยัยตัวเล็กไว้ ส่วนเป้าจือก็งับขากางเกงของเธอไว้ เหล่าแลบราดอร์พร้อมใจสามัคคีกัน จึงพาเธอกลับไปอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ฉินสือโอวก็ดีใจสุดขีด หยิบมือถือออกมาถ่ายวีดีโอไว้ เถียนกวานั่งอยู่ข้างขาเขาร้องงอแงไปพลางตบเขาไปพลาง แล้วตะโกนว่า “หนูจะไปเล่น หนูจะไปเล่น หนูจะไปเล่น!”

วินนี่จ้องไปที่ฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เป็นพ่อแท้ๆ หรือเปล่าคะ? คุณยังจะถ่ายอยู่อีก รีบอุ้มลูกสาวขึ้นมาสิคะ”

ณ ตอนนี้ท่านชายฉินไม่กล้าขัดใจภรรยาหรอก วินนี่ใกล้จะคลอดแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้ออกราชโองการมาแล้ว ไม่ว่าวินนี่จะพูดอะไรก็คือถูก วินนี่อยากได้อะไรก็จำต้องให้เธอ ขอแค่วินนี่เป็นคนตัดสินใจ เขาก็จำต้องทำให้ได้ ขอแค่เป็นความต้องการของวินนี่ เขาต้องทำตามสถานเดียว เรื่องนี้ถูกเรียกว่าเป็นนโยบาย ‘สองขอแค่กับสองจำต้อง’ ของฟาร์มปลา

ไม่มีทางเลือก เขาจึงจำเป็นต้องแบกยัยตัวเล็กต่อ ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ แต่ว่ายัยตัวเล็กไม่มีความสุข เธอนั่งควบอยู่บนคอของพ่อแล้วส่ายขาไปมาไม่หยุด มือเล็กๆ ก็จับหูเขาไว้แล้วตะโกนอย่างน้อยใจว่า “หนูจะไปเล่น หนูจะไปเล่น หนูจะไปเล่น!”

ฉินสือโอวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จึงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “อยู่เฉยๆ ขี่ม้าใหญ่แล้วยังจะไม่ดีอีก จะไปเล่นอะไรอีก?”

เถียนกวาได้สืบทอดความกล้าหาญไม่ยอมถอยของวินนี่มา จึงไม่มีความประนีประนอมใดๆ พูดว่า “ไม่ขี่ม้าใหญ่ จะไปเล่น! ไม่ไปเล่น หนูจะดึงผมของพ่อออกให้หมด!”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า “ทำเป็นเก่งเชียว ถ้าเก่งขนาดนี้ทำไมหนูไม่ขึ้นฟ้าล่ะ? พ่อไปซื้อบั้งไฟให้อันหนึ่ง แล้วก็ส่งหนูขึ้นไปบนฟ้าดีไหม?”

เถียนกวากะพริบตาปริบๆ คิดอยู่สักพัก แล้วถามอย่างลังเลว่า “บั้งไฟคืออะไรคะ? ขึ้นไปบนฟ้าต้องนั่งเครื่องบินสิคะ”

ฉินสือโอว “…”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพาลูกสาวไปเล่น แต่ว่าวินนี่ได้นัดตรวจครรภ์กับแผนกสูตินารีโรงพยาบาลแล้ว พวกเขานั่งกันอีกสักพักก็ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว ถ้าตอนนี้ไปเดินเล่นในงาน จากการเบียดกันในตอนนี้ เข้าไปแล้วจะออกมายาก จะทำให้เสียเวลาแล้วเลยเวลานัดได้

ฉินสือโอวแบกลูกสาวไปคุยกับพวกแฮมเล็ตและเอี๋ยนตงเหล่ยสักพัก ได้เวลาแล้ว เขาจึงพาวินนี่นั่งรถไปที่โรงพยาบาล คนขับรถแท็กซี่เห็นว่ามีหมาตามมาด้วยสองตัว จึงไม่อยากรับพวกเขา

ตอนนี้ได้มีรถแท็กซี่อีกหนึ่งคันขับเข้ามา คนขับรถคันนั้นเปิดประตูรถอย่างเป็นมิตรแล้วตะโกนว่า “คุณฉินหรือเปล่าครับ? โชคดีจังเลย ได้มาเจอกับคุณด้วย ว้าว ยังมีหู่เป้าผู้ดุดันซูเปอร์สตาร์ตัวน้อยอีกด้วย มาครับ มารถผมเถอะ ผมยินดีต้อนรับพวกคุณมากครับ”

ฉินสือโอวไม่รู้จักคนขับรถคนนี้ แต่ว่าการที่อนุญาตให้หู่จือกับเป้าจือขึ้นรถ ทำให้เขารู้สึกว่าคันนี้น่าจะเหมาะกว่า

เมื่อฟังคำพูดของคนขับรถที่มาทีหลังแล้ว คนขับรถที่ก่อนหน้านี้ไม่อยากให้หู่จือกับเป้าจือขึ้นรถได้มองฉินสือโอวกับแลบราดอร์สักพัก สุดท้ายก็จำเขาได้ จึงรีบเปลี่ยนท่าทีทันทีเพื่ออยากจะรั้งเขาไว้ แต่พวกของฉินสือโอวได้ขึ้นรถแท็กซี่คันที่มาทีหลังไปแล้ว

เขากับวินนี่และเถียนกวานั่งข้างหลัง หู่จือกับเป้าจือนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับด้วยกัน ท่านั่งเหมือนคนที่ก้นติดกับเบาะ ตัวตรงพิงเบาะไว้ แถมคนขับยังได้รัดเข็มขัดนิรภัยให้พวกมันอีก

คนขับรถคนนี้เป็นแฟนคลับของแลบราดอร์ ก่อนจะออกรถเขาได้ให้ฉินสือโอวดูมือถือของตัวเอง ในนั้นมีรูปถ่ายของหู่จือกับเป้าจืออยู่ แถมมีหลายรูปที่ยังมีโลโก้ของทวิตเตอร์ติดอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าไปคัดลอกมาจากทวิตเตอร์นั่นเอง

หลังจากแสดงออกถึงความคลั่งไคล้ในตัวหู่จือกับเป้าจือแล้ว เขาก็ขอความเห็นจากฉินสือโอว เรื่องที่อยากจะถ่ายรูปคู่กับแลบราดอร์สองตัวนี้

ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ บอกว่าตามสบายเลย แลบราดอร์ไม่กัดคน คุณอยากจะถ่ายแบบไหนก็ถ่ายได้เลย

คนขับรถจึงดีใจขึ้นมา เบียดเข้าไปชิดกับหู่จือแล้วถ่ายเซลฟี่รัวๆ แถมยังลงรถไปถ่ายรูปแลบราดอร์กับรถเขาทั้งทางด้านหน้าและด้านข้างอีกด้วย

ตลอดทาง คนขับรถคนนี้ยังพูดถึงเรื่องความชอบของเขาต่อแลบราดอร์ไม่หยุด แถมยังถามข้อมูลส่วนตัวของแลบราดอร์จากฉินสือโอวอีกด้วย อย่างเช่นอายุของพวกมัน อย่างเช่นช่วงติดสัดของพวกมัน อย่างเช่นพวกมันมีลูกแล้วกี่คอกเป็นต้น

หู่จือกับเป้าจือเบิกตาโตมองไปที่คนขับรถอย่างงงงวย ตอนแรกที่คนขับรถมาถ่ายรูปคู่ด้วย เจ้าตัวเล็กสองตัวยังวางมาดอยู่ ตั้งแต่พวกมันโด่งดังแล้ว ทุกครั้งที่ไปศาลหรือเดินเล่นในเมือง ก็มักจะมีคนมาถ่ายรูปกับพวกมันประจำ ทำให้พวกมันคุ้นเคยกับการถ่ายรูปมาก

แต่ความกระตือรือร้นของคนขับรถในวันนี้ทำให้พวกมันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย ภายหลังตอนที่คนขับรถมาถ่ายรูปคู่ด้วย หู่จือถึงขั้นใช้ขาที่ใหญ่และแข็งแรงนั้นกันเขาไว้ ไม่กล้าให้เขาเข้าใกล้ตัวเอง กลัวว่าจะถูกทำร้าย อย่างเช่นถูกนำไปต้มกินอะไรเทือกนี้ เพราะว่าพวกมันสามารถรับรู้ได้ ว่าความรู้สึกกระตือรือร้นที่คนขับรถมีให้พวกมันไม่ปกติ เป็นความกระตือรือร้นแบบไม่ปกติที่พวกมันมีให้กับกระดูกซี่โครงอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากรถแท็กซี่จอดที่โรงพยาบาลแล้ว คนขับรถก็ลงรถไปกอดหู่จือกับเป้าจือแล้วเริ่มถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งอีก แถมยังขอให้ฉินสือโอวมาช่วยถ่ายรูปให้เขาด้วย โดยให้ถ่ายหน้าตรง

ท่าทีของหู่จือและเป้าจือน่าสนใจมาก พวกมันสองตัวตัวแข็งทื่อ ขาทั้งสี่ก็ยืนได้ตรงมาก กล้ามเนื้อเกร็งแน่น หูก็เก็บไปด้านหลังอย่างแนบแน่น พร้อมเบิกตาโตราวกับบื้อไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

รอจนคนขับรถจากไป ฉินสือโอวก็พูดกับวินนี่ว่า “ดูท่าว่าเจ้าเด็กสองตัวนี้จะมีความทุกข์จากการมีชื่อเสียงแล้วล่ะ ดูสิว่าพวกมันยังจะกล้าอวดตัวเองเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือเปล่า?”

แลบราดอร์ความคิดเรียบง่าย พอแผลเป็นหายแล้วก็ลืมเรื่องที่เคยเจ็บไปด้วย ก่อนจะเข้าโรงพยาบาลพวกมันสองตัวยืนนิ่งแล้วพากันเลียขนบนตัวให้กันและกัน ราวกับกำลังจัดทรงให้ตัวเองอยู่ พอขนบนตัวเรียบและเงางามแล้ว จึงค่อยยืดอกแล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาล

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกหมดคำจะพูดจริงๆ พูดว่า “พระเจ้า เจ้าเด็กสองตัวนี้ทำไมถึงขี้อวดอย่างนี้นะ?”

วินนี่มองตาขวางให้เขาทีหนึ่ง แล้วพูดแดกดันเขาไปทีว่า “พวกมันโตมากับคุณนี่คะ คุณว่าพวกมันไปเลียนแบบการขี้อวดแบบนี้มาจากใครล่ะ?”

ในโรงพยาบาลเซนต์แมรี่ หู่จือกับเป้าจือก็ยังเป็นซูเปอร์สตาร์อยู่ เหล่าพยาบาลไม่ว่าจะเป็นคุณป้าผิวดำเอวหนาหรือสาวน้อยผมทอง ก็ล้วนชอบมาเล่นกับเจ้าตัวเล็กแสนรู้สองตัวนี้กันทั้งนั้น

ตอนที่วินนี่คลอดเถียนกวาจะต้องมาตรวจครรภ์เดือนละครั้ง ถ้าฉินสือโอวอยู่บ้านเขาจะมาด้วย ถ้าเขาไม่อยู่บ้าน วินนี่ก็จะพาแลบราดอร์สองตัวมาเป็นเพื่อน ส่วนแลบราดอร์ก็รู้งาน พวกมันสามารถไปรับคิว ต่อคิว คาบใบสั่งยาไปรับยาที่ห้องยาได้ด้วย ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนสายตาก็คนก็ตามไปที่นั่นด้วย

ครั้งนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น หลังเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว ฉินสือโอวไปถามประชาสัมพันธ์เรื่องห้องของผู้เชี่ยวชาญที่เขานัดไว้ จากนั้นเขาก็ชี้ตำแหน่งห้องตรวจให้กับหู่จือ หู่จือก็รีบวิ่งไปกระโดดขึ้นนั่งตรงเก้าอี้หน้าประตูทันที มันหาเก้าอี้ตัวที่ใกล้ประตูที่สุดแล้วนั่งลงไป แน่นอนว่ามาเพื่อต่อคิวนั่นเอง

ก่อนหน้าคิวของฉินสือโอวและวินนี่มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว ผู้หญิงที่ท้องอยู่คนนั้นได้ตบหู่จือที่นั่งอยู่ข้างๆเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าตัวน้อย นายลัดคิวแล้ว คุณแม่นายเป็นคิวต่อจากฉันนะ”

หู่จือมองดูฉินสือโอว ฉินสือโอวชี้ไปตรงที่นั่งข้างผู้หญิงคนนั้น หู่จือจึงละจากที่ที่ใกล้ประตูที่สุด ไปนั่งข้างหลังผู้หญิงคนนั้น แล้วก็จ้องไปที่ประตูห้องตรวจอย่างตั้งใจ

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท