ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1828 ไอเดียใหม่ที่มาจากการลองผิดลองถูก

บทที่ 1828 ไอเดียใหม่ที่มาจากการลองผิดลองถูก

ภาพอันตระการตาของระเบิดน้ำได้ทำสะกดใจผู้ที่มามุงดูอย่างมาก มองดูปลาน้อยที่ลอยท้องหงายอยู่บนผิวน้ำแล้ว ชาวประมงในเมืองก็พากันส่ายหัวไม่หยุด บอกว่าคิดไม่ถึงว่าทะเลสาบเฉินเป่าจะมีปลาคาร์ฟเอเชียมากขนาดนี้

แต่ที่ฉินสือโอวเห็นมีมากกว่านี้อีก ปลาคาร์ฟเอเชียเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ปลาคาร์ฟเอเชียที่หลบซ่อนอยู่ในโคลนกับสาหร่ายนั้นมีมากกว่าที่เห็นบนผิวน้ำมาก อีกทั้งมีปลาส่วนหนึ่งที่แค่มึนไปชั่วคราว พอพวกมันตื่นแล้วก็ถือโอกาสที่ยังไม่โดนจับ เริ่มส่ายหัวสะบัดหางหนีไป

เรือที่บรรทุกปลาคาร์ฟเอเชียแต่ละลำได้ถูกส่งไปบนฝั่ง ฮานี่ย์ได้เตรียมกล่องและถุงที่จะใส่ปลาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ว่าจำนวนไม่เพียงพอ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นบนพื้นก็ได้เกิดเป็นกองภูเขาปลาขึ้นมา

เหล่านักท่องเที่ยวทะยอยเข้าไปถ่ายรูป มีคนที่คาดว่าน่าจะทำอุตสาหกรรมการประมงในจีน เขาส่ายหัวอย่างเสียดาย พูดว่า “อั้ยหยา ถ้าสามารถส่งปลาพวกนี้กลับไปได้ก็ดีสิ ล้วนเป็นปลาตัวใหญ่จากธรรมชาติทั้งนั้นเลยนะ ขายให้โรงแรมกับร้านอาหารนี่รวยเลยนะเนี่ย”

แน่นอนว่าปลาพวกนี้ไม่สามารถส่งกลับไปที่ประเทศจีน ปลาคาร์ฟเอเชียจำพวกปลาเฉาฮื้อ ปลาคาร์ฟ ปลาซ่ง กับปลาทองนั้นเหมาะกับกินตอนสดๆ หลังจากปลาตายแล้วรสชาติจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แถมถ้าจะส่งกลับจากแคนาดาไปประเทศจีนทางเรือแล้วล่ะก็ เวลาในการแช่แข็งจะนานเกินไป แม้ว่าจะเป็นปลาตามธรรมชาติ แต่กลับไปก็ไม่มีคนซื้อ

นอกเหนือจากนี้ แม้ว่าจะส่งผ่านทางเรือก็เถอะ ค่าส่งของปลาพวกนี้ก็ไม่ถูกเลย แคนาดากับประเทศจีนห่างกันไกลเกินไป แถมเห็นได้ชัดว่ามูลค่าของปลานี้ไม่เพียงพอต่อค่าขนส่งด้วยซ้ำ ธุรกิจที่ไม่ทำกำไรแบบนี้ใครเขาจะทำกันล่ะ?

ความจริง ฉินสือโอวมีวิธีที่จะทำเงินจากปลาคาร์ฟเอเชียวิธีหนึ่ง นั่นก็คือทำลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นปลาระดับสูงที่ขายในตลาดจีนล้วนนำเข้ามาจากประเทศเกาหลี หากว่าเขาสามารถส่งล็อตใหญ่ไปได้ ก็จะสามารถยึดพื้นที่ในตลาดได้ส่วนหนึ่ง

รสชาติปลาคาร์ฟเอเชียในทะเลสาบเฉินเป่าดีกว่าปลาตามธรรมชาติทั่วๆ ไปมาก อย่างไรเสียพืชน้ำที่พวกมันกินก็มีพลังโพไซดอนอยู่ด้วยนี่นา เมื่อเป็นแบบนี้ พอเอามาทำเป็นลูกชิ้นปลาแล้วแน่นอนว่ารสชาติก็ต้องอร่อยด้วย

แต่ว่าธุรกิจนี้ทำเงินได้ไม่มากเท่าไร เขาในตอนนี้พึ่งแค่รายได้จากร้านค้าและร้านขายของชำในต่างประเทศก็สามารถทำเงินได้ถึงหลักล้านเหรียญต่อปี แถมยังมีหุ้นของบอมบาร์เดียร์และทิฟฟานีอีก? และยิ่งไปกว่านั้น ร้านอาหารต้าฉินของเขาก็กำลังจะขยายกิจการไปที่อเมริกาเหนือแล้วด้วย

ในสายตาของคนจีนบางคน ปลาพวกนี้เป็นความร่ำรวย ในสายตาฮานี่ย์ ปลาพวกนี้ล้วนเป็นขยะ แถมยังเป็นขยะที่เก็บกวาดยากอีกด้วย

ปลาเยอะขนาดนี้ หากว่าจัดการไม่ดีเกิดการเน่าเสียขึ้นมา ก็จะเป็นการสร้างมลภาวะให้กับสภาพแวดล้อมอย่างมาก ถึงขั้นทำให้เกิดเชื้อโรค ไวรัสระบาดได้ แคนาดาได้มีการเข้มงวดในด้านนี้มาก ใครสร้างมลภาวะคนนั้นก็ต้องจัดการ จัดการไม่ได้ก็รอรับบทลงโทษทางกฎหมาย กฎหมายแคนาดาในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาตินั้นคือเด็ดขาดและโหดร้ายมาก

ฮานี่ย์มองไปยังภูเขาปลาที่ตั้งสง่าอยู่ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเทศบาลท้องถิ่นคนหนึ่งปลอบเขาว่า “ตอนนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังเย็นมากอยู่ ตอนกลางคืนสาดน้ำให้มันเสียหน่อยก็น่าจะกลายเป็นน้ำแข็งได้ เท่านี้พวกเราก็มีเวลาหาวิธีมาจัดการปลาพวกนี้แล้วครับ”

ฉินสือโอวถามว่า “ไม่หรอกมั้ง เพื่อนทั้งหลาย พวกคุณคงไม่ได้ไม่คิดมาก่อนใช่ไหมว่าจะจัดการกับปลาที่ระเบิดขึ้นมาอย่างไรน่ะ?”

ฮานี่ย์ถอนหายใจพูดเสียงเอื่อยว่า “แน่นอนว่าคิดมาก่อนแล้วครับ พวกผมวางแผนกันว่าจะฝังเสีย แต่ใครจะคิดว่าจะระเบิดขึ้นมาได้เยอะอย่างนี้กัน? พระเจ้า ทะเลสาบเฉินเป่าในตอนนี้ถูกปลาคาร์ฟเอเชียยึดครองไปแล้วเหรอเนี่ย? พวกมันขยายพันธุ์โดยไม่เลือกเพศเหรอ?”

ฉินสือโอวคิดสักพัก หัวเราะแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมมาจัดการเอง ผมหาคนมานำปลาส่งไปที่โรงงานผลิตอาหารปลาของผม หลังจากแยกน้ำเอามาทำเป็นผงแล้วค่อยเอามาทำเป็นสารปรุงแต่งให้อาหารปลา”

ฮิวจ์เบิกตาโตแล้วพูดว่า “ชิท นั่นโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า ที่ให้ปลาที่น่าสงสารกินศพของพวกเดียวกันกับพวกมัน? แบบนี้ปลาที่เลี้ยงออกมาจะเอามากินได้อย่างไร?”

“งั้นนายมาคิดวิธีไหม?” ฉินสือโอวถามต่อ

ฮิวจ์ยิ้มเบิกบานพูดว่า “ฉันคิดไว้ว่านะ ถ้าส่งไปที่เทือกเขาร็อกกี้ให้กับเผ่าซูเพื่อนรักของฉัน พวกเขาจะต้องดีใจมากแน่นอน แต่จะส่งไปบนเขาได้อย่างไรล่ะ?”

ฉินสือโอวมองค้อนเขาไปที พูดว่า “ก็ถ้านายไม่มีวิธีที่ดีกว่าแล้ว งั้นวิธีของฉันก็คือวิธีที่ดีไง”

“ใช่ วิธีของฉินเป็นวิธีที่ดีอย่างแน่นอน ขอบใจนะ ฉิน นายได้จัดการปัญหาใหญ่ให้กับเมืองเราแล้ว” ฮานี่ย์พูดด้วยความดีใจ

พูดตามตรง หากว่าปลาพวกนี้สามารถกำจัดได้หมดแล้วล่ะก็ ฉินสือโอวก็ไม่อยากยุ่งด้วยเลย แม้ว่าได้ปลามาโดยไม่ต้องเสียเงิน แต่ว่าตอนนำมาจัดการนั้นกลับใช้เงินไม่น้อยเลย หากทำได้ไม่ดียังทำให้ทั้งสกปรกและวุ่นวายได้ด้วย

เขาเสียเงินไปจ้างรถกระบะในเมืองทั้งหมดที่ยอมช่วยเหลือ เขาออกค่าน้ำมัน โดยแต่ละครั้งที่รถกระบะขนปลามาจะจ่ายให้ครั้งละ 50 เหรียญ แล้วให้ชาวประมงในเมืองช่วยกันขนปลาไปส่งที่ฟาร์มปลาให้

ในฟาร์มปลา ดีที่ช่วงตรุษจีนได้ให้วันหยุดเหล่าชาวประมงไปจึงไม่ได้เก็บเกี่ยวปลาไว้จำนวนมากนัก มีห้องแช่แข็งห้องหนึ่งที่ว่างไว้ เขาจึงนำปลาคาร์ฟเอเชียพวกนี้ใส่เข้าไป

จากนั้น ก็ใช้ไลน์ผลิตปลาโอแถบ เขาให้เหล่าชาวประมงทำงานล่วงเวลากันเพื่อนำปลาคาร์ฟเอเชียไปแยกน้ำอบให้แห้ง พอทำเป็นปลาแห้งแล้วค่อยเอามาทำเป็นสารเติมแต่งจำพวกโปรตีนให้กับอาหารปลาแล้วส่งไปที่ฟาร์มปลาเบอร์สอง

ปลาพวกนี้เหมาะที่จะนำมาทำเป็นสารเติมแต่งโปรตีนอย่างมาก เพราะว่าเป็นปลาเล็กที่กินพืชน้ำที่ผสมพลังโพไซดอนเข้าไป ทำให้ในร่างกายของพวกปลาคาร์ฟเอเชียมีพลังโพไซดอนอยู่บ้าง แถมร่างกายพวกมันเองก็เป็นพวกปลาโปรตีนสูงไขมันต่ำอยู่แล้ว หลังจากผสมลงไปในอาหารปลาแล้วยังสามารถยกระดับคุณภาพของอาหารปลาได้อีกด้วย

รถกระบะกว่ายี่สิบคันเริ่มเรียงแถวกันทำงาน ปลาตัวใหญ่เต็มรถคันแล้วคันเล่าได้ถูกส่งเข้าไปในห้องแช่แข็ง พี่สาวกับพี่เขยฉินสือโอวรับผิดชอบในการช่วยจดจำนวนครั้งที่รถมาส่งของ เมื่อเห็นปลาอ้วนพวกนี้จะกลายไปเป็นอาหารปลาแล้ว สีหน้าของทั้งสองคนก็เสียดาย พูดว่า “ถ้าเกิดว่านี่เป็นปลาในอ่างเก็บน้ำของพวกเราก็ดีเลย สามารถทำเงินได้เท่าไรกันเนี่ย”

ฉินสือโอวถอนหายใจว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งหวังจะทำเงินเลย ไม่ขาดทุนก็ถือว่าไม่เลวแล้วครับ ”

ไลน์การผลิตปลาโอแถบสองสายของฟาร์มปลาได้เริ่มทำงานกัน เพราะว่าจะเอามาทำอาหารปลา ดังนั้นปลาจึงไม่ต้องแห้งและแข็งเหมือนปลาโอแถบก็ได้ แค่แยกน้ำออกแล้วนำไปอบสักพักก็พอแล้ว

ไลน์การผลิตปลาโอแถบสะอาดมาก ปลาแห้งที่ผลิตออกมาสามารถนำมารับประทานได้เลยทันที มีคุณภาพระดับสูงมาก เมื่อเป็นแบบนี้ปลาคาร์ฟเอเชียแห้งที่ผลิตออกมาจึงสะอาดมากเช่นกัน

หน้าตาของปลาคาร์ฟเอเชียแห้งที่ได้ออกมานั้นไม่เลวเลย สีเป็นสีขาวทอง หลังจากผ่าเกล็ดปลาออกเผยให้เห็นเนื้อปลาข้างในแล้ว ยังสามารถได้กลิ่นของความสดของปลาอีกด้วย

พี่สาวฉินสือโอวหยิบปลาคาร์ฟแห้งที่มีความยาวประมาณหนึ่งแขนขึ้นมา เธอออกแรงฉีกเนื้อแห้งออกมานิดหน่อยแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวดู ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ปลาแห้งพวกนี้ อื้ม รสชาติดีมาก นี่ยังไม่ได้เอาไปย่างหรืออบเลย รสชาติยังเต็มไปด้วยความสดและความหอมแล้ว แถมยังมีรสหวานนิดๆ ด้วย ถ้าเอาไปย่างเสียหน่อย น่าจะดีกว่านี้”

คนที่รู้จักพี่สาวมากที่สุดก็ไม่แคล้วเป็นน้องชาย ฉินสือโอวพอจะเดาความคิดของพี่สาวออก พูดว่า “พี่คงไม่ได้คิดว่าจะเอาปลาแห้งพวกนี้กลับไปขายที่ประเทศจีนใช่ไหมครับ?”

พี่สาวฉินสือโอวมองตาขวางพูดว่า “ใช่ไง ทำไม ไม่ได้เหรอ?”

ฉินสือโอวยิ้มแห้งๆ พูดว่า “ค่าส่งไม่ถูกเลยนะ อีกอย่าง ผมกะว่าจะให้พวกพี่เป็นผู้จัดการร้านอาหารต้าฉินในโซนประเทศจีนด้วย พวกพี่จะมาขายปลาแห้งอะไรอีกทำไมครับ?”

พี่สาวฉินสือโอวฟังแล้วก็พยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “แต่ปลาแห้งพวกนี้รสชาติดีมากจริงๆ นะ ถ้าเอากลับไปขายที่ประเทศจีน การจะขายได้กำไรนี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว นี่น่ะเป็นถึงปลาน้ำจืดแห้งระดับสูงเลยนะ ในเมืองของเราเองก็มีให้เห็นได้น้อยมาก!”

พี่เขยของฉินสือโอวก็พูดว่า “ใช่ พี่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเสี่ยวหลานนะ ถ้าเอาปลาแห้งพวกนี้กลับไปที่ประเทศจีน ไม่เพียงแต่สามารถเอามาย่าง ยังสามารถเอามาปรุงรสให้กับน้ำซุปได้ด้วย เหมือนกับปลาโอแถบนั่นแหละ ต้องมีตลาดอย่างแน่นอน เสี่ยวโอว ถ้านายมีเพื่อนนักเรียนที่อยากจะหาเงินบ้างแล้วล่ะก็ ให้พวกเขาทำอันนี้เถอะ จะต้องได้เรื่องอย่างแน่นอน!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท