ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1848 ซื้อเรือประมงเพิ่ม

บทที่ 1848 ซื้อเรือประมงเพิ่ม

สำหรับของขวัญ แน่นอนว่าพาวลิสและชาร์คน้อยพอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพาวลิส หลังได้บัตรสมาชิกสโมสรกิลเลส วิลล์เนิฟก็ตื่นเต้นดีใจมาก ถามว่า “นี่เป็นก้าวแรกสู่เส้นทางรถแข่งของผมใช่หรือเปล่า?”

ฉินสือโอวโอบกอดเขา คนดำโตเร็ว กระดูกก็ใหญ่ พาวลิสที่อายุ 16 ปีก็จะสูงและแข็งแรงว่าเขาแล้ว ที่ปากก็มีหนวดขึ้นแล้ว ท่าทางเป็นลูกผู้ชายเต็มวัยโดยสมบูรณ์แล้ว

ด้วยแบบนี้ พาวลิสถึงได้ไม่มีชะตากับนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันมืออาชีพ เพราะว่าเขาเริ่มตอนนี้มันช้าเกินไปจริงๆ

บางเรื่องต้องพูดแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะพาวลิสที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ในอเมริกาเหนือได้รับใบขับขี่ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นเขากอดพาวลิสไว้แล้วพูดว่า “เพื่อน พูดตามตรงนะ ฉันหวังว่านายจะประสบความสำเร็จบนนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันได้ แต่ว่ามันยากมาก”

พาวลิสมีสีหน้าเสียใจเผยออกมา จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมรู้ครับ ฉิน ผมรู้ถึงความยากในการเข้าแข่งขันรถสูตรอาชีพ อันที่จริงผมไม่คาดหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์เหมือนแฮมิลตัน บางทีผมสามารถเป็นนักแข่งสูตรธรรมดาคนหนึ่ง บางทีก็สามารถเป็นคนอุ่นเครื่องของทีมฟอร์มูล่าวันคนหนึ่งก็ได้ คุณว่าแบบนี้ผมจะมีโอกาสไหม?”

ดูท่าทางดวงตาที่เปล่งประกายของพาวลิสตอนที่พูดถึงฟอร์มูล่าวันและการแข่งรถสูตรอาชีพ ฉินสือโอวและวินนี่รู้ว่าเขาหลงใหลในการแข่งขันนี้มากจริงๆ มีความสนใจแบบนี้เป็นแรงผลักดัน บวกกับการปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายจากพลังโพไซดอน ถ้าหากพาวลิสได้เข้าโรงเรียนรับความรู้เร็วกว่านี้หน่อย ไม่แน่เขาอาจจะกลายเป็นดาวในฟอร์มูล่าวันได้

ตอนนี้ดูแล้วเป็นดาวคงจะยากแล้ว แม้กระทั่งเข้าสู่การแข่งฟอร์มูล่าวันมืออาชีพก็ยากมาก แต่ถ้าหากเขาแค่อยากเข้าสู่การแข่งรถสูตรธรรมดาอย่างเช่นพวกการแข่งขันฟอร์มูล่าเรโนลด์ การแข่งขันรถฟอร์มูล่า 3 หรือเอฟ 2000 ก็ยังมีโอกาสอยู่

สำหรับการฝึกฝนในทิศทางนักกีฬาแข่งรถเตรียมฟอร์มูล่าวัน การแข่งรถสูตรธรรมดาแบบนี้เป็นรายการที่พวกเขาต้องเข้าร่วมในช่วงอายุ 16 ถึง 20 ปี ซึ่งก็คือ พาวลิสอาจจะเข้าสู่การแข่งขันพวกนี้ตอนอายุ 24-25 ปี แต่คนอื่นเขาได้เลื่อนระดับเข้าสู่ฟอร์มูล่าวันตอนอายุ 20 ปีแล้ว

ถ้าหากพาวลิสทำผลงานโดดเด่นเป็นที่จับตาในการแข่งรถสูตรพวกนี้ ถ้าอย่างนั้นบางทีก็อาจถูกทีมรถฟอร์มูล่าวันมองเห็น และกลายเป็นคนทดสอบรถของทีมรถฟอร์มูล่าวัน

สำหรับนักกีฬารถแข่งที่มาเริ่มกลางทางแล้วล่ะก็ สามารถกลายเป็นคนทดสอบรถของทีมรถฟอร์มูล่าวันเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดแล้ว และคนหนึ่งในหมื่นที่สามารถประสบความสำเร็จแบบนี้ได้

พาวลิสมีความมั่นใจในตัวเอง เขาเข้าใจสภาพร่างกายและความสามารถในการเรียนรู้ของตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองสามารถเดินไปถึงจุดนั้นได้

ในขณะที่วางแผนให้ตัวเอง เขาก็บอกอย่างกระตือรือร้นว่า “ถ้าหากสามารถกลายเป็นคนทดสอบรถได้ บางทีผมยังมีโอกาสเข้าแข่งฟอร์มูล่าวันนะ แม้ว่าจะไม่ได้ ผมก็สามารถฝึกฝนลูกๆ ของผมให้สัมผัสถึงวัฒนธรรมพวกนี้ได้ ผมคิดว่าถ้าหากเขาชอบรถเหมือนกันกับผม นั่นจะทำให้เขากลายเป็นดาวฟอร์มูล่าวันคนหนึ่งได้ในอนาคต”

คนทดสอบรถของฟอร์มูล่าวันไม่มีหน้าที่แข่งขัน นอกจากเป็นผู้เล่นสำรองตอนที่นักแข่งตัวจริงได้รับบาดเจ็บหรือไม่สามารถแข่งได้ หน้าที่ของคนทดสอบรถคือขับรถแข่งฟอร์มูล่าวันอย่างต่อเนื่อง ให้ความเห็นกับนักออกแบบรถแข่ง เพื่อยกระดับรถแข่งให้สูงขึ้น

ชาร์คน้อยหัวเราะถามว่า “ถ้าลูกของนายไม่ชอบรถยนต์ล่ะ?”

พาวลิสยักไหล่ว่า “ถ้าหากลูกชายคนแรกของฉันไม่ชอบรถยนต์ ถ้าอย่างนั้นฉันก็มีอีกคน ถ้าหากคนที่สองยังไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็มีอีกคน จนกว่าจะมีเด็กคนหนึ่งที่ชอบรถยนต์เหมือนฉัน”

วินนี่ถอนหายใจว่า “ให้ตาย ฉันเป็นกังวลแทนภรรยาในอนาคตของนาย หวังว่าเขาจะเป็นผู้หญิงที่ชอบเด็กเหมือนกับฉันนะ” จากนั้นเขามองไปถามฉินสือโอว “ที่รักคะ คุณไม่มีความชอบหรือความฝันที่อยากจะให้ลูกสานต่อเหรอคะ?”

ฉินสือโอวยักไหล่ว่า “ไม่ ผมไม่มี”

วินนี่ยิ้มขึ้นมา ท่านชายฉินพูดต่อว่า “ผมไม่มีความชอบหรือความฝันที่อยากให้ลูกสานต่อ ผมหวังแค่ว่าลูกของผมจะตั้งทีมฟุตบอลได้หนึ่งทีม!”

วันนี้ชาร์คน้อยและพาวลิสได้รับใบขับขี่แล้ว วินนี่ฟื้นฟูหลังคลอดได้ค่อนข้างดี ฉินสือโอวจึงจัดปาร์ตี้ฉลองในสวนหย่อม ปาร์ตีเล็กๆ มีเพียงวัยรุ่นในบ้านและครอบครัวมารวมตัวกัน

ปาร์ตี้ครั้งนี้ก็เป็นปาร์ตี้อำลาด้วย พี่สาวฉินสือโอวและพี่เขยจะพาเสี่ยวฮุยกลับประเทศแล้ว ฉินสือโอวแนะนำให้เสี่ยวฮุยเข้าเรียนที่แคนาดา พวกพี่สาวฉินสือโอวสองคนปฏิเสธหลังปรึกษากันแล้ว บอกว่าถึงเวลาให้เขามาเรียนมหาลัย แต่ชั้นมัธยมเรียนที่ประเทศจีนจะเหมาะสมกว่า สามารถเรียนรู้ความรู้ได้เยอะกว่า

ซึ่งก็ใช่ ตอนนี้พวกพาวลิสข้ามชั้นถึงชั้นมัธยมปลาย เสี่ยวฮุยเพิ่งจะขึ้นมัธยมต้น แต่เรื่องความรู้ทั่วไปล่ะก็ พวกเขารวมกันก็สู้เสี่ยวฮุยไม่ได้

หลังงานปาร์ตี้ ฉินสือโอวส่งบ้านพี่สาวขึ้นเครื่องบิน ร้านอาหารทะเลต้าฉินกำลังจะเข้าสู่ประเทศจีน ทั้งสองจะเข้าไปเป็นคนบริหารจัดการ แต่มีเงื่อนไขคือพวกเขาต้องทดลองบริหารก่อน ถ้าหากทำงานแบบนี้ไม่ได้ ก็กลับไปดูแลร้านอาหารทะเลและอ่างเก็บน้ำ

ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว ฟาร์มปลาต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตจำนวนมาก ดังนั้นฉินสือโอวไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนวินนี่ที่นครเซนต์จอห์นได้ เขาต้องกลับไปสั่งการเหล่าชาวประมงในการเก็บเกี่ยว งานนี้เขาจำเป็นต้องไปทำเอง

แม้ว่าปกติแล้วตอนที่เหล่าชาวประมงออกเรือจะทำการรวบรวมข้อมูลสถิติให้ฟาร์มปลาโดยละเอียดตลอด แต่ว่าสถิติพวกนี้ไม่แน่นอน ฝูงปลามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เครื่องตรวจหาปลาทำได้เพียงตรวจหาปลาทะเลที่อยู่น่านน้ำชั้นบน ตั้งแต่ชั้นกลางเช่น ปลาทูน่า กุ้งมังกร ปู ปลาลิ้นหมา ปลาจะละเม็ดและอื่นๆ ไม่สามารถตรวจสอบเจอได้ แบบนี้ทำให้เรือหาปลากำหนดเป้าหมายได้ยาก

ฉินสือโอวสั่งการเรือประมงหาปลา มีเป้าหมายชัดเจน เขาใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเลือกตำแหน่งการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม จากนั้นปล่อยอวนลงจากเรือ แบบนี้ก็จะเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลงานมาก

หลังจากฟาร์มปลาขยายการจับปลาออกไป อาศัยแค่เรือปริ้นเซสเมล่อนไม่ค่อยพอแล้ว เรือลำนี้ค่อนข้างใหญ่จริง บรรทุกน้ำหนักได้เยอะ อุปกรณ์การแบ่งแยกแช่แข็งข้างในก็ค่อนข้างก้าวหน้า แต่ว่าประสิทธิภาพการเก็บเกี่ยวไม่ค่อยดี เจาะจงเป้าหมายไม่ได้

ชาร์คและเหล่าชาวประมงจึงรายงานปัญหานี้ให้กับฉินสือโอว ดังนั้นก่อนจะกลับจากนครเซนต์จอห์น เขาพาเหล่าชาวประมงไปยังอุตสาหกรรมต่อเรือโพไซดอนนครเซนต์จอห์น ใช้บัตรเครดิตจองเรือไปสี่ลำ

ชาร์คแนะนำเขาส่งเรือกำปั่นทะเลสี่ลำกลับโรงงานไปซ่อมครั้งใหญ่ เปลี่ยนเป็นเรือประมง แบบนี้ก็สามารถประหยัดงบได้ส่วนหนึ่ง

ฉินสือโอวปฏิเสธไป เรือกำปั่นทะเลสี่ลำเป็นเรือยนต์ความเร็วสูง ใช้สำหรับคุ้มกันให้กับเรือประมง ประสิทธิภาพของพวกมันต่างกับเรือประมงมาก ถ้าหากปรับปรุงแก้ไขใหญ่ จะต้องใช้เงินจำนวนมาก บวกกับต้องบำรุงรักษาเรือทั้งสี่ลำ เงินที่ต้องเสียรวมแล้วก็ไม่น้อยไปกว่าการซื้อเรือประมงสี่ลำ

แม้ว่าเรือทั้งสีลำนี้จะใช้ประโยชน์ได้ไม่มากแล้ว แต่ว่าถ้าจะเปลี่ยนเป็นเงิน ก็ยังเปลี่ยนเป็นเงินได้ไม่น้อยเลย ฟาร์มปลาที่เป็นสมาชิกพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์จะเจอกับเรื่องการขโมยปลา เรือกำปั่นทะเลสามารถให้พวกเจ้าของฟาร์มปลายืมไปใช้สำหรับป้องกันโจรขโมย แบบนี้เขายังซื้อใจของเจ้าของฟาร์มปลาได้เยอะเลย บุญคุณพวกนี้สำคัญกว่าเงินทองมาก

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท