ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1855 หลัวปอหายไปแล้ว

บทที่ 1855 หลัวปอหายไปแล้ว

มีขนมและของว่างมากมายในวันพืชผัก ฉินสือโอวพาเถียนกวาเดินเล่นไปรอบๆ พร้อมกับซื้อของมามากมาย บางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก เพราะพ่อค้าที่ขายของกินพวกนี้ส่วนมากมาจากเมืองเซนต์จอห์น ดูเหมือนว่ากิจกรรมในเมืองเล็กๆ จะดึงดูดใจพ่อค้าได้มากทีเดียวอยู่

หลังจากพาเถียนกวากลับมา ฉินสือโอวก็ยื่นแพนเค้กทอดกรอบชิ้นหนึ่งให้พ่อและแม่ “อันนี้อร่อยมากเลยครับ พ่อกับแม่ลองชิมดูสิ”

พ่อฉินเช็ดมือตัวเองให้สะอาดแล้วหยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง พอกำลังจะกิน ฉินสือโอวก็ยื่นเมเปิลไซรัปให้เขากล่องหนึ่ง แล้วพูดว่า “จิ้มน้ำเชื่อมแล้วกินดูครับ นี่เป็นแพนเค้กของนิวฟันด์แลนด์ ในแป้งจะมีผลไม้สดและผลไม้แห้งผสมอยู่ พอจุ่มในน้ำเชื่อมแล้วรสชาติจะหวานขึ้น แล้วเนื้อก็นุ่มมาก พ่อกับแม่ลองชิมดูนะ”

พอเห็นพวกเขากำลังกินอยู่ อีวิลสันก็เบิกตากว้างแล้วหันกลับไปมอง เขาไม่กล้าขอโดยตรง จึงได้แต่เบิกตานั่งมองอยู่ข้างๆ

ฉินสือโอวเตรียมอย่างอื่นไว้ให้เขาแล้ว มีคนมาขายขนมปังไรย์สอดไส้เนื้อวัว ขนมปังไรย์หอมกรุ่นกับเนื้อหมักเครื่องเทศพร้อมมัสตาร์ดและแตงกวาดองแก้ความหิวได้ดีเหมาะกับตัวกินจุอย่างอีวิลสัน

พอได้ขนมปังไรย์ อีวิลสันก็ยัดเนื้อหมักและแตงกวาดองเข้าไปเต็มๆ แล้วก็เอาเข้าปากเคี้ยวหนึบหนับ กินจนหน้าเบิกบานยิ้มแฉ่งจนลืมว่ามาขายแก่นตะวันย่าง

นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีพายชนิดต่างๆ เช่น พายแอปเปิล พายกล้วยหอม พายสับปะรด และพายไอศกรีม เป็นต้น

คนแคนาดาทนต่อความหนาวได้ดีมาก นี่ก็อาจจะเป็นนิสัยที่เคยชินของคนผิวขาว กินไอศกรีม ดื่มน้ำเย็นตลอดทั้งปี อย่างชาวประมงในฟาร์มปลา ไม่ว่าอากาศจะหนาวเพียงไหน แต่เบียร์ที่ดื่มจะเป็นเบียร์จากในตู้เย็น ใช้ฟันแงะฝาออกแล้วดื่มพรวดเทลงในปาก แข็งแรงเหลือเกิน

และแน่นอนว่าเครื่องดื่มที่ออกมาขายมากที่สุดก็คือเครื่องดื่มเย็น ฉินสือโอวซื้อไอศกรีมชนิดหนึ่งมาที่มีลักษณะคล้ายกล้วยหอม ซึ่งเคยเป็นขนมนำสมัยที่นิวยอร์ก ไอศกรีมกล่องหนึ่งเยอะมากสามารถกินได้ทั้งครอบครัว

เถียนกวาเล่นกับเชอร์ลี่ย์ กอร์ดอนและบูลน้อยมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ จะกินจะดื่มก็ทำแบบคนผิวขาว อากาศยังคงแปรปรวนแต่เธอก็เริ่มกินไอศกรีมคำใหญ่ พ่อฉินและแม่ฉินพอเห็นก็รู้สึกตกใจกลัว พวกเขาอยากจะรั้งห้ามไว้ แต่ฉินสือโอวโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ไอศกรีมที่แคนาดาไม่เย็น เด็กๆ ก็กินแบบนี้ทั้งนั้นครับ”

ทั้งสองมองไปที่เด็กบนถนนมีไอศกรีมถืออยู่ในมือจริงๆ แล้วก็ส่ายศีรษะ พ่อของฉินสือโอวพึมพำว่า “ลำไส้ของเด็กฝรั่งพวกนี้ทำจากเหล็กหรือยังไงนะ? นี่ก็เท่ากับกินมั่วซั่วไม่ใช่เหรอ? สุขภาพเสียจะทำอย่างไร?”

ฉินสือโอวยิ้ม มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอน สุขภาพจะเสียได้อย่างไร?

หลังจากช่วงแห่งความสุขของวันพืชผักผ่านไปสองวัน ชื่อเสียงของเมืองแฟร์เวลก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นเพราะเมนหลักของงานที่กำหนดโดยวินนี่และฮานี่ย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นที่การเข้าร่วม และพยายามควบคุมราคาขายในงานให้ต่ำไว้ เมื่อนักท่องเที่ยวพึงพอใจ ปากต่อปากก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา

เข้าสู่เดือนพฤษภาคม ฝนก็ตกหนักก่อนเลย หลังจากที่ตกต่อเนื่องติดกันสี่วัน ในเมืองก็ถูกชำระล้างจนสะอาดหมดจด ส่วนต้นไม้ใบหญ้าก็โดนฝนชำระล้างจนไม่เหลือฝุ่น มองดูแล้วในเมืองจึงดูสะอาดตาขึ้นมาก

แต่ทว่าสำหรับเมืองเซนต์จอห์น ฝนตกสี่วันนี้กลับไม่ใช่เรื่องดี ระบบจำกัดน้ำเสียในเมืองพังทลาย จึงมีน้ำท่วมนองในเขตชุมชนอยู่หลายแห่ง

เมืองแฟร์เวลยังดีหน่อย เพราะประชากรในเมืองมีจำนวนไม่เยอะ อีกทั้งติดทะเลทั้งสี่ด้าน น้ำฝนจึงไหลทิ้งไปในทะเลได้ทั้งสี่ด้านอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีเหตุการณ์น้ำสกปรกท่วมนองเกิดขึ้น

ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ทีมงานโฆษณาที่ได้รับเชิญจากบริษัท JEEP แคนาดามาที่เมืองแฟร์เวล คาเรนเป็นผู้นำทีม หลังจากเขามาถึงฟาร์มปลาก็ไปเยี่ยมฉินสือโอวก่อน แน่นอนเขานำของขวัญไปด้วย เตรียมของเล่นให้กับเถียนกวาและซีกวา และเตรียมของบำรุงให้กับพ่อและแม่ของฉินสือโอว

ฉินสือโอวรู้ว่าเขามาเพื่ออยากมาขอกินด้วยดื่มด้วย จริงๆ แล้วเขาไม่ต้องทำแบบนี้ แค่พ่อกับแม่ของฉินสือโอวเห็นเขาถือของขวัญมามากมายขนาดนี้ จะอย่างไรก็แล้วแต่ต้องเรียกให้เขาอยู่กินก่อนอยู่แล้ว แถมยังบอกด้วยว่าอยากเลี้ยงอาหารจีนรสชาติดั้งเดิม

ใบหน้าของคาเรนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฉินสือโอวถึงเพิ่งรู้ว่า ไอ้หนุ่มนี่เป็นนักกินเหมือนกัน!

พ่อกับแม่ของฉินสือโอวไม่ได้สนใจเลยว่าของขวัญที่คาเรนให้มาจะเป็นอะไร พวกเขารู้ว่าลูกชายตัวเองไม่ขาดเงินแถมยังเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังคงมีจิตสำนึกของผู้สูงอายุในชนบทอยู่ จึงรู้สึกว่าเมื่อมีคนมาเยี่ยมลูกชายพร้อมของขวัญถึงบ้าน นั่นหมายถึงว่าลูกชายมีตำแหน่งที่สูง ซึ่งน่าดีใจยิ่งกว่าลูกชายมีเงินทอง

โฆษณาของ JEEP ทั้งสองใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องมือเช่นบันทึกวิดีโอบนพื้นดิน ซึ่งเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก

โฆษณานี้มีความสำคัญมากสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมือง วินนี่จึงลงมือติดตามดูด้วยตัวเอง หลังจากปรึกษากับทีมงานแล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะสนับสนุนบอลลูน เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินของลูกเรือให้เพื่อช่วยในการถ่ายทำ ส่วนผู้กำกับก็ช่วยเหลือในการนำป้ายโฆษณาของเมืองแฟร์เวลปรากฏในโฆษณาเยอะหน่อยเพื่อเป็นการขอบคุณน้ำใจความช่วยเหลือของเมืองนี้

ป้ายโฆษณาของเมืองในโฆษณาไม่ได้มีความหมายเป็นเพียงแค่ป้ายๆ หนึ่ง แต่เป็นวิธีแสดงตัวตนของเมืองวิธีหนึ่ง ดังนั้นวิธีการแสดงตัวตนจึงแตกต่างออก ยิ่งมีโอกาสมากยิ่งดี

ฉินสือโอวพาฉงต้ามาร่วมการถ่ายทำ หู่จือและเป้าจืออาสาสมัครมาร่วมด้วยยอมทำตามทุกกระบวนการ ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะเข้าร่วมให้ได้

เดิมทีเห็นแลบราดอร์วิ่งไปวิ่งมาอยู่หน้ากล้อง ผู้กำกับไม่รู้ว่าพี่น้องสองตัวนี้หมายถึงอะไร ต่อมาฉินสือโอวอธิบายว่าพวกเขาต้องการให้กล้องถ่ายโดนภาพตัวเอง ผู้กำกับไม่เชื่อว่าสุนัขนี่จะฉลาดได้ขนาดนี้

ผู้กำกับไม่เชื่อจนกระทั่งตากล้องถ่ายทำหนังสั้นให้กับแลบราดอร์ เมื่อมองไปที่แลบราดอร์ที่กำลังตื่นเต้น ผู้กำกับจึงเชื่อแล้ว

นอกจากฉงต้าและแลบราดอร์ พวกกลุ่มสัตว์น้อยที่ฟาร์มปลาต่างมาเข้าฉากกันหมด เข้าไปกันอย่างอึกทึกครึกโครม แม้แต่สามหนุ่มเวหาที่บินออกไปหาเรื่องคนอื่นทุกวันยังถูกลากเข้ามาร่วมด้วย

เดิมทีโฆษณาสองเรื่องนี้ ผู้กำกับคิดว่าใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ก็สามารถถ่ายทำเสร็จได้ ถึงแม้ว่าโฆษณาจะสั้นมาก แต่ต้องใช้สัตว์และนกจำนวนมาก พวกเขาคิดว่ามันยากที่จะทำให้สัตว์ร่วมมือกับการถ่ายทำ แต่จริงๆ แล้วมันง่ายมาก…

ผู้กำกับโฆษณาเรื่องนี้แท้ที่จริงแล้วคือฉินสือโอว หลังจากที่เลิกสถานที่ถ่ายทำที่เทือกเขาเคอร์บัลและทะเลสาบเฉินเป่าแล้ว ฉินสือโอวก็สั่งให้ฉงต้าวิ่งจากไหนและไปหยุดตรงไหน กำกับให้สามหนุ่มเวหา ปอหลัว และพวกหลัวปอร่วมมือกับการถ่ายทำอย่างไร

สติปัญญาของพวกเจ้านี่ในฟาร์มปลาสูงอยู่แล้ว หากพวกมันไม่มีจิตสำนึกที่เป็นอิสระ พวกมันสามารถพูดได้อย่างแน่นอน ฉินสือโอวอธิบายนิดหน่อยพวกมันก็เข้าใจแล้วว่าต้องทำอย่างไร ต้องคำรามตรงจุดไหน เข้าใจชัดเจนทุกอย่าง ทำให้ทีมงานตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดคำไหนแล้ว

ใช้เวลาเพียงสองวันก็ถ่ายทำโฆษณาสองเรื่องเสร็จ ที่เหลือก็จะเป็นการตัดต่อและจัดแต่งหลังการถ่ายทำ ฉินสือโอวเมื่อธุระเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปที่ฟาร์มปลาทำงานของตัวเองต่อ

แต่พอถึงตอนเย็น วินนี่พลันร้อนใจขึ้นมา ถามขึ้น “หลัวปอล่ะ? มันถ่ายทำเสร็จแล้วทำไมไม่กลับมาด้วย?”

ฉินสือโอวไม่ได้สนใจ ตอบว่า “เด็กๆ โตแล้ว ก็มีสังคมเป็นของตัวเองแหละ ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก อีกอย่างไม่มีอะไรทำร้ายมันได้บนเกาะนี้ รอมันเล่นจนเหนื่อยก็จะกลับมาเองแหละ”

หนึ่งวันผ่านไป หลัวปอยังคงไม่กลับมา พอเป็นเช่นนี้ไม่ว่าฉินสือโอวจะปลอบอย่างไร วินนี่ก็รอไม่ไหวแล้ว เธอพูดอย่างร้อนใจว่า “พวกเราไปตามหามันกันเถอะ ไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ หลัวปอเป็นสาวน้อย มันเชื่อฟังมาก ไม่เคยหนีออกจากบ้านไปนานขนาดนี้เลย!”

………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท