ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1863 เข้าซื้อกิจการ

บทที่ 1863 เข้าซื้อกิจการ

ฉินสือโอวคาดไม่ถึงเลยว่า เขาเพิ่งมาที่ฟาร์มปลาแห่งที่สามได้แค่วันที่สอง ชาลส์ มอร์รี่ผู้รับผิดชอบคนหนึ่งของมหายุคซีโนโซอิกในตระกูลมอร์รี่จะมาหาถึงที่ อีกทั้งหิ้วของขวัญมาด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่ามาเยี่ยมเพื่อนเก่า

แต่พวกเขาทั้งสองไม่ใช่เพื่อนเก่า แต่เป็นคู่ต่อสู้เก่าแก่ ดังนั้นฉินสือโอวนายใหญ่จึงไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน เขาไม่เคยเชื่อว่าเพื่อนบ้านคนนี้มาเยี่ยมเขาและขอคืนดี เพราะทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์โดยตรง และถูกกำหนดให้ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้

โดยเฉพาะ ฟาร์มปลาทั้งคู่อยู่ติดกันอยู่ ดังนั้นในอนาคตสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทรัพยากรในฟาร์มปลาต้องมีเรื่องแน่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ได้ ดังนั้นต่อให้ตอนนี้รักษาความสัมพันธ์ให้ดีอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

แต่ทว่าในเมื่อชาลส์ถือของขวัญมาถึงหน้าประตูขนาดนี้ ฉินสือโอวก็คงจะไม่ต้อนรับไม่ได้ คนสำนึกผิดแล้วจะให้ลงโทษอีกก็กระไรอยู่

เขาเข้าไปรับของขวัญที่ชาลส์ให้มาอย่างกระตือรือร้น ตบไปที่บ่าเขาแรงๆ แล้วพูดว่า “เกรงใจเกินไปแล้ว เพื่อน เกรงใจเกินไปจริงๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี เอาเป็นว่าผมรู้สึกซาบซึ้งมาก”

ชาลส์ฝืนยิ้มแล้วพูดตอบว่า “พวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันนะ เพื่อนผอง ผมจะมาเยี่ยมคุณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่ไหมล่ะ? อนาคตโอกาสที่พวกเราจะยังเจอกันอีกยังมีอีกเยอะ”

ปากก็บอกว่าเกรงใจ แต่ในใจกำลังก่นด่าฉินสือโอวอยู่ เพราะฉินสือโอวตบไปที่บ่าเขาแรงมาก จนเขารู้สึกว่ากระดูกตรงหัวไหล่เขาแตกหมดแล้ว!

หลังจากที่ฉินสือโอวรับของขวัญไว้ เขาก็เชิญให้ชาลส์นั่ง และถามเขาว่าอยากดื่มอะไร

ชาลส์ยิ้มแล้วตอบว่า “อากาศแบบนี้น้ำผลไม้สักแก้วก็ดีครับ”

ฉินสือโอวยักไหล่อย่างไม่แยแส แล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยนะเพื่อน ผมเพิ่งมายังไม่ได้ซื้อผลไม้เลย ก็เลยไม่มีน้ำผลไม้น่ะ”

”ถ้าอย่างนั้นกาแฟสักแก้วก็เยี่ยมเลย” ชาลส์เปลี่ยนตัวเลือก

ฉินสือโอวยังคงยักไหล่ต่อ พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ขอโทษด้วยนะเพื่อน เครื่องทำกาแฟเสียแล้ว บดเมล็ดกาแฟไม่ได้ ไม่มีให้ดื่มน่ะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าชาลส์เริ่มเหือดหาย เขาพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นอะไรก็ได้”

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง “จะแบบนั้นได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นแขก ผมจะเสริฟเครื่องดื่มอะไรก็ได้ให้แขกได้อย่างไรกัน? คุณสั่งมาเถอะ”

ชาลส์ตอบ “งั้นชาล่ะ?”

“คุณจะรับชาดำ ชาเขียวหรือว่าชารสหวาน?” ฉินสือโอวถามต่อ

“ชาดำ”

“ขอโทษด้วยครับ ไม่มี”

“ชาเขียวล่ะ? ”

“ขอโทษด้วยครับ ไม่มีชาอะไรเลย ครั้งนี้ผมรีบมาเลยไม่ได้เอาชามาด้วย” ฉินสือโอวพูดด้วยความรู้สึกผิด

ชาลส์เกือบจะหลุดโวยวายออกมา เส้นเลือดบนหน้าผากเขาเต้นปุดๆ กัดฟันแล้วถามว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คุณจะถามชาดำหรือชาเขียวกับผมทำไม? เอาเถอะเพื่อน ผมไม่ดื่มอะไรละ ผมไม่ได้กระหายน้ำสักหน่อย”

ฉินสือโอวแสดงสีหน้าจริงใจ “ไม่นะครับ มีที่ไหนให้แขกนั่งเหี่ยวเฉาแบบนี้? พวกเราคนจีนจะพิถีพิถันมากในการต้อนรับแขก เอาอย่างนี้ละกัน ผมมีน้ำแร่ที่รสชาติไม่เลวเลยที่นี่ น้ำแร่สักแก้วละกันนะ?”

ชาลส์พยายามสะกดความรำคาญไว้ ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน แน่นอน น้ำแร่ก็ไม่เลวเลย รบกวนคุณหน่อยนะ ฉิน”

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมก็บอกแล้วว่าพวกเราคนจีนจะพิถีพิถันมากในการต้อนรับแขก” ฉินสือโอวยังคงกล้าพูด ส่วนในใจของชาลส์นั้นกำลังสาปแช่งอย่างเต็มที่

ฉินสือโอวนายใหญ่เอาของขวัญเข้าไปในห้องครัว ชาร์คถามขึ้น “บอส พวกเราทำแบบนี้จะเกินไปหน่อยไหม?”

เขากำลังพูดถึงคำพูดที่เมื่อกี้ฉินสือโอวใช้ท้าทายชาลส์

ฉินสือโอวยิ้มเย็น “ไม่นะ เกินไปอะไรที่ไหน? เมื่อกี้ฉันกำลังตัดสินอยู่ หลานชายคนนี้จะต้องมีแผนอะไรไม่ดีแน่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาต้อนรับเราอย่างดีแบบนี้หรอก”

เขาเปิดกล่องของขวัญ ภายในมีรูปปั้นสองตัวซึ่งเป็นรูปปั้นเรือประมงที่ทำด้วยโลหะ ภายนอกทาด้วยสีทอง ดูสง่างามมีราคาและไม่เหมือนใคร ส่วนอีกรูปหนึ่งเป็นรูปปั้นหินอ่อนของโพไซดอนเทพเจ้าแห่งท้องทะเล บนรูปปั้นหินมีเคราของเทพเจ้าและเขากำลังจ้องมองด้วยความโกรธแค้นและกระหายเลือด ตรีศูลในมือของเขาชี้ตรงไปข้างหน้า และรถม้าทองคำกำลังขี่อยู่บนเกลียวคลื่น เป็นการแกะสลักที่ละเอียดลออมาก

เมื่อเห็นของขวัญชิ้นนี้ ฉินสือโอวก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม รูปปั้นสองรูปนี้มีความงดงามมาก ถ้ารวมกันแล้วราคาอย่างน้อยก็ต้องมีหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ ทำไมตระกูลมอร์รี่ถึงใจกว้างกับเขาขนาดนี้? หรือว่ามาเพื่อแสวงหาความปรองดองและความร่วมมือจริงหรือ? แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างสู้รบปรบมือในด้านตลาดอาหารทะเลอย่างจริงจังแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าไม่มีโอกาสในการร่วมมือกันแล้ว

เขาให้ชาร์คเช็ดรูปปั้นทั้งสอง แล้วก็หาที่วางมัน หลังจากนั้นหยิบน้ำแร่สองขวดแล้วเดินไปหาชาลส์ ส่งให้เขาหนึ่งขวด ส่วนตัวเองเปิดกินเองอีกขวด

ชาลส์เริ่มขอโทษเขาก่อน เขาพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะฉิน สิ่งที่เพื่อนของผมทำเมื่อวานทำให้ผมรู้สึกอับอาย พวกเขาไม่มีเซนต์ในเรื่องทิศทางเท่าไร แต่กลับมาเจอฟาร์มปลาของคุณแล้วยังจับปลาด้วยอีก ได้โปรดยกโทษให้พวกเขาด้วย”

ฉินสือโอวโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงในชีวิตคนเรา จริงไหม? อีกอย่างพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน จะข้ามแดนมาหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ผมหวังว่าในอนาคตเราจะตั้งทุ่นแนวเขตไว้ที่แนวฟาร์มปลาน่าจะดีกว่า”

ทุ่นแนวเขตใช้ในการปักแบ่งเขตฟาร์มปลา โดยปกติจะเป็นเชือกที่ยาวและมีสีสดสว่าง มีทุ่นพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำเป็นระยะทางหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็สามารถแยกแนวเขตได้คร่าวๆ แล้ว

แต่ทุ่นแบบนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์เสมอไป เพราะบางครั้งทุ่นจะถูกพัดไปในกรณีที่เกิดภัยพิบัติจากพายุหรือสึนามิ ต่อให้ไม่มีภัยพิบัติเหล่านี้ แต่พอเวลาผ่านไป ทุ่นก็สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้เมื่อโดนลมทะเลหรือคลื่นทะเลพัดผ่าน

ชาลส์ดื่มน้ำอึกหนึ่งให้ชุ่มคอ เขาบอกว่า “จริงๆ แล้วนะฉิน บางทีพวกเราอาจจะมีวิธีแก้ปัญหาอื่น คุณดูสิ ฟาร์มปลาของพวกเราติดกัน ภายหลังคงเกิดปัญหาเรื่องผลิตภัณฑ์ปลาแล้วเกิดข้อขัดแย้งได้ง่าย จริงไหม?”

ฉินสือโอวพยักหน้า นี่เป็นเรื่องจริงจริงๆ

ชาลส์พูดอีกว่า “ผมจำได้ว่าชาวจีนคุณมีสุภาษิตที่ดีมากประโยคหนึ่ง เรียกว่า ภูเขาลูกหนึ่งคงมีเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าตัวหนึ่งจะเป็นตัวผู้ อีกตัวจะเป็นตัวเมีย เจ้าของฟาร์มปลาของพวกเราเป็นเพศชายทั้งคู่ ดังนั้นหากฟาร์มปลาของเราอยู่ติดกัน ก็เหมือนเสื้อตัวผู้อาศัยอยู่ด้วยกัน จึงยากที่หลีกเลี่ยงข้อขัดแย้ง”

ฉินสือโอวเข้าใจความหมายเขาคร่าวๆ แล้ว จึงถามว่า “คุณหมายถึงว่า พวกคุณคิดจะขายฟาร์มปลาให้กับผมเหรอ?”

ชาร์ลส์ที่กำลังดื่มน้ำสำลักขึ้นมาทันที เขารีบโบกมือ “ไม่ใช่ ไม่ใช่ครับ ความหมายของผมคือ คุณจะสามารถตัดของรักทิ้งและขายฟาร์มปลานี้ให้ผมได้หรือไม่?”

โลกสวยจริงๆ จริงๆ แล้วเมื่อกี้ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของเขาอยู่แล้ว แต่จงใจพูดกระตุ้นเขาแบบนั้น ดังนั้นพอฟังคำพูดของชาลส์แล้ว ขาส่ายหัวอย่างแน่วแน่และพูดว่า “ขอโทษนะชาร์ลส์ คุณก็รู้ว่าเราสนิทกันมาก แต่มันไม่ได้น่ะ ฟาร์มปลาแห่งนี้ผมไม่ได้ซื้อมันมาง่ายๆ ผมจึงไม่อยากขายทิ้งไป”

ชาลส์ยังพยายามโน้มน้าวเขา พูดขึ้นว่า “ผมพูดจริงๆ เลยนะ ฉิน ตอนที่พวกเราซื้อฟาร์มปลาคาร์เตอร์ พวกเรานึกว่าฟาร์มปลาแห่งนี้ก็เป็นของฟาร์มปลาคาร์เตอร์เช่นกัน จนถึงตำแหน่งแม่น้ำเซนต์แคเทอรีนส์…”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” ฉินสือโอวหรี่ตาแล้วถามขึ้น

ชาลส์พูดอย่างตรงไปตรงมา “หลังจากนั้น จริงๆ แล้วเมื่อวานเพื่อนผมก็ไม่ได้ทำผิดอะไร พวกเขานึกว่านี่เป็นถิ่นของพวกเรา อีกทั้งตลอดทั้งปีที่แล้ว พวกเราก็ลงทุนลงในฟาร์มปลาแห่งนี้ ดังนั้นตอนนี้คุณจะมาเอาฟาร์มปลาแห่งนี้ไป เอาผลงานที่เราลงแรงไป ก็คงจะไม่ค่อยดีล่ะมั้งครับ?”

…………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท