ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1887 อุทยานแห่งชาติ

บทที่ 1887 อุทยานแห่งชาติ

ตระกูลมอร์รี่ไม่ได้โง่ พวกเขาไม่ใช่ว่าเอาร่างให้กับคาร์เตอร์แล้วก็ไม่สนใจต่อ แต่จะคุมไปจนเขาโยนลงทะเลลึกไป แต่ปรากฏว่าคาร์เตอร์เหลี่ยมจัด เขาคิดหาวิธีไปงมเอาโลงพวกนั้นกลับมาจากนั้นก็ฝังไว้ที่จุดคาบเกี่ยวของฟาร์มปลาของเขากับเพื่อนบ้าน

สิบกว่าปีมาแล้ว ตระกูลมอร์รี่คิดว่าเรื่องนี้คงจบลงโดยไม่มีใครระแคะระคาย ที่ไหนได้พอคาร์เตอร์โดนจับเข้าคุกพวกเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้หมอนี่ยังเหลือหมากไว้ ได้แต่โดนเขาข่มขู่ให้ช่วยเขาดูแลฟาร์มปลา

แต่ว่าตระกูลมอร์รี่ก็ส่งชาลส์ที่จัดการอะไรรอบคอบที่สุดมาที่ฟาร์มปลา ที่เขาอยู่ที่ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ตลอด ก็เพราะกำลังหาโลงที่คาร์เตอร์ซ่อนไว้

น่าเสียดาย ตามหลักสัจธรรม เวรกรรมตามสนอง

ตระกูลมอร์รี่ทำให้ฉินสือโอวโกรธ สุดท้ายคดีนี้ก็เปิดเผยออกมาอีกครั้งด้วยน้ำมือของฉินสือโอว

นี่ก็เป็นคำอธิบายว่าทำไมตระกูลมอร์รี่ยังนิ่งเฉยได้ทั้งที่ธุรกิจประมงของตระกูลโดนอาหารทะเลต้าฉินแย่งจนแทบเกลี้ยง เพราะรายได้ตระกูลพวกเขาไม่ค่อยพึ่งอุตสาหกรรมทางทะเล

ความหายนะของตระกูลมอร์รี่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้หลังจากคดีนี้แดงขึ้นมา ที่แย่สุดคือคาร์เตอร์ก็จบเห่เหมือนกัน เดิมทีเขาปล่อยหอยพิษที่เมืองแฟร์เวลกับทำร้ายคนมีโทษแค่แปดปี คราวนี้เพิ่มโทษกำจัดศพและอื่นๆ ไปด้วย คงจะต้องอยู่ในคุกไปจนแก่ถึงจะออกมาได้

กลายเป็นว่าฉินสือโอวเข้าใจตระกูลมอร์รี่ผิดไปหน่อย เรื่องปล่อยหอยพิษลงแถบทะเลเมืองแฟร์เวลไม่เกี่ยวกับพวกเขาจริงๆ คาร์เตอร์เป็นคนตัดสินใจจัดการเองคนเดียว

แบบนี้ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ก็โดนองค์การบริหารส่วนจังหวัดของรัฐโนวาสโกเชียกับกรมประมงยึดกลับไปอีกครั้ง ครั้งนี้ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั้งกรมประมงต่างก็ได้กำไร ได้ฟาร์มปลาใหญ่มาฟรีๆ

ฉินสือโอวเก็บจิตสำนึกโพไซดอนกลับมา แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องดึงปลาของฟาร์มปลาคาร์เตอร์มาที่ฟาร์มของตัวเองแล้ว ส่วนฝูงฉลามที่เฮยป้าหวังนำซึ่งอยู่ในระหว่างอพยพ? โอเค ให้พวกมันมาต่อเถอะ จะให้รีบกลับครึ่งทางก็คงไม่ได้นี่? แบบนั้นน่าเกลียดไป!

ซีกวาร่างกายแข็งแรงมาก ต้องขอบคุณพลังโพไซดอนที่ทำการพัฒนาร่างกาย พอมาอยู่ที่อุทยานแห่งชาติไม่กี่วัน อาการแพ้บนผิวก็เริ่มหายไป กลับมากระโดดโลดเต้นเหมือนเดิม

หู่เป้าฉงหลัวอยู่ที่นี่ก็มีความสุขมาก อุทยานแห่งชาติใหญ่มาก มีป่ามีทุ่งหญ้าแล้วก็มีเนินเขามีทะเลสาบ และในพื้นที่สีเขียวกว้างใหญ่นี้ไม่ค่อยมีคน หลักๆ ก็มีแต่สัตว์ต่างๆ วันดีของพวกมันได้มาถึงแล้ว

เช้าของทุกวันเจ้าพวกนี้ก็จะรอฉินสือโอวอยู่หน้าประตู ขอแค่เขาตื่นมาดูว่าครบไหมพวกมันก็จะพุ่งออกไปเล่นทันที แน่นอนว่าก่อนตะวันตกดินต้องกลับมา ตั้งแต่คราวที่แล้วที่หมาป่าขาวหนีไปพอเจอประสบการณ์แบบนี้ วินนี่ก็ไม่ยอมให้พวกมันค้างข้างนอกตามใจอีกต่อไป

มาที่อุทยานแห่งชาติ วินนี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรต้องจัดการ นอกจากทุกวันต้องคุมงานทางไกลนิดหน่อยเธอก็กอดลูกชาย ไม่ก็กอดต้าป๋ายเดินเล่นรอบๆ ดื่มด่ำกับความผ่อนคลายที่ได้มาไม่ง่าย

วิวของอุทยานในฤดูร้อนสวยงามมากๆ กวาดตามองไปก็มีแต่สีสันละลานตา เพราะไม่มีมลพิษ สีสันหลากหลายพวกนี้สวยสดจนคนยากจะเชื่อว่ามีจริง

แต่ฉินสือโอวคิดว่าที่แบบนี้อยู่ระยะสั้นได้แต่ถ้าอยู่นานไปต้องทนไม่ไหวแน่ เปล่าเปลี่ยว น่าเบื่อเกินไป นอกจากพวกชาวประมงจะมารวมตัวกัน นอกนั้นก็เงียบเหงา

สามเจ้าเวหาก็อยู่ที่นี่อย่างมีความสุข อุทยานแห่งชาติมีสัตว์มากมาย ทุกคืนตอนที่กลับมา อินทรีทองหรืออินทรีขาวก็จะเอาสัตว์เล็กอย่างกระต่ายหรือไก่ฟ้ากลับมาด้วย

ไม่ใช่ว่าใครสอนพวกมัน แต่พวกมันมีพฤติกรรมแบบนี้ในสายเลือด ดังนั้นเลยมีคนชอบเลี้ยงพวกเหยี่ยวหรืออินทรี ได้อีกอารมณ์ดีเหมือนกัน

ช่วงพลบค่ำมาเยือน ฉินสือโอวยืนอยู่ที่หน้าประตูมองดูอาทิตย์ดวงกลมตกดินค่อยๆ หายไปจากขอบฟ้า

แสงแดดสีแสดราวเลือดส่องกระทบลงบนใบไม้ใบหญ้าสีเขียวชอุ่มสะท้อนแสงสีเหลืองอ่อนสว่างไสว

สามเจ้าเวหากลับมาเฉียดเวลา ในกรงเล็บหยาบใหญ่ทรงพลังของบุชมีหมูป่าตัวเล็กมาด้วย พอโยนลงต่อหน้าฉินสือโอวก็บินโฉบลงมากระพือปีกบนพื้นพลางเงยหน้าอย่างเย่อหยิ่งและส่งเสียงร้องกาๆ

หมูป่าตัวเล็กนี้คงจะเพิ่งเริ่มเรียนรู้การหาอาหาร หนักแค่ราวสิบกว่ากิโลกรัมเท่านั้น ยังเป็นลูกหมูอยู่ แต่ว่าฟันมันงอกแล้ว ขนแผงคอแข็งทื่อ ดูจะดุกว่าหมูป่าบนเขาเคอร์บัล

เสียงหมาป่าหอนดังมาแต่ไกล เสียงหนึ่งสูงใส อีกเสียงต่ำขรึมมีพลัง หลังจากนั้นยังมีเสียงหมาเห่าก้องกังวานนผสมปนเปอยู่ด้วย เจ้าพวกนี้ไปเล่นข้างนอกมาจนพอแล้ววิ่งกลับมากินข้าวแน่นอน

ฉินสือโอวไปรับเจ้าพวกตัวน้อย เขาเห็นพุงของหลัวปอที่วิ่งนำมาป่องๆ ดูตุงก็เลยบอกวินนี่ว่าพวกมันคงไปหากินอะไรมาข้างนอกจนอิ่มแล้ว เรากินข้าวกันเองก็พอ

คฤหาสน์มีห้องอาหารกลางแจ้ง แม้ว่าสไตล์การตกแต่งจะเป็นแนวย้อนยุคดูอบอุ่น แต่ในแต่ล่ะมุมของห้องก็มีร่องรอยของเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่

อย่างเช่นผนังกระจกและฝาแก้วเป็นระบบไฟฟ้า แค่กดปุ่มมันก็จะค่อยๆ เปิดออกแล้วหายไปในใต้ดินก็จะได้ห้องอาหารแบบเปิด ถ้าลมแรงหรือฝนตกผนังกระจกกับฝาแก้วครอบปิดกลับมาก็จะกันฝนได้

มาริโอ้ทำบาร์บีคิวอยู่ที่เตาด้านนอก ชิ้นเนื้อและแฮมสองสามชิ้นต่างส่งเสียงจือๆ ตอนที่น้ำมันหยดลงบนถ่านไฟก็จะมีเปลวไฟพุ่งสูงขึ้น กลิ่นหอมของเนื้อย่างกระจายไปรอบด้าน

พ่อฉินมองฉินสือโอวพลางพูดขึ้น “แกว่าทำไมฝรั่งถึงชอบกินบาร์บีคิวจัง? ไหนจะของทอดอีก ของพวกนี้ในทีวีบอกว่าไม่ดีต่อสุขภาพ พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพที่สุดเหรอ?”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ถ้าทำอาหารตะวันตกแบบดีๆ มันยุ่งยากเกินไป บาร์บีคิวกับของทอดอร่อยแล้วก็ทำง่าย ทำไมพวกเขาจะไม่กินแบบนี้?”

ที่จริงสำคัญที่สุดก็คือฝรั่งชอบการปาร์ตี้ และบาร์บีคิวเป็นอาหารการกินที่เหมาะกับวัฒนธรรมแบบนี้ที่สุด จะจัดปาร์ตี้กันแล้วเอาเตาแก๊สกับหม้อมาผัดกับข้าวก็คงไม่ได้จริงไหม? บาร์บีคิวใครก็ทำได้ ย่างออกมารสชาติก็คล้ายกัน ถ้าผัดกับข้าวก็ต่างกันเยอะ

เหล่าพวกตัวแสบเล่นกันจนเปรอะวัชพืชกับโคลนไปหมด พอวิ่งกลับมาก็กระโจนเข้าอกฉินสือโอวโดยไม่สนว่าตัวเลอะ พี่น้องเฟอเรทนั่งอยู่บนไหล่ของฉงต้าอย่างมีความสุข

พวกมันไม่ต้องทำอะไรเลย ก็แค่เดินเล่นในป่ารอบหนึ่ง สัตว์ตัวไหนที่เห็นพวกมันก็กลัว ความรู้สึกแบบนี้ทำให้พวกมันที่ขนาดตัวค่อนข้างเล็กพึงพอใจมาก

วินนี่ดึงหูแต่ล่ะตัวแล้วลากไปอาบน้ำ ฉินสือโอวอยากจะแกล้งลูกชายเล่น มือถือดังขึ้นมา พอเขาดูก็เห็นว่าเป็นรัฐมนตรีแมทธิว จินโทรมา กดรับสายเสร็จก็ถามด้วยรอยยิ้ม “โครงการฟื้นฟูมหาสมุทรเริ่มแล้วเหรอ? แต่เหมือนว่าในฟาร์มปลาผม การสร้างสายการผลิตยังไม่สมบูรณ์ดี”

เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นของแมทธิวดังขึ้น “เปล่า คราวนี้ไม่ใช่เรื่องงาน ผมแค่อยากจะถามคุณหน่อย เรื่องฟาร์มปลาคาร์เตอร์คุณรู้ใช่ไหม? งั้นคุณยังอยากได้ฟาร์มปลานี้หรือเปล่า? ตอนนี้ฟาร์มปลาอยู่ในมือขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกับกรมประมงเรา”

สองปีก่อนตอนที่ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ขายประมูลครั้งแรก ฉินสือโอวก็เคยแสดงออกว่าสนใจ แน่นอนตอนนี้ก็เช่นกัน

เขาถามแมทธิวว่าฟาร์มปลาจะออกประมูลอีกแล้วใช่ไหม แมทธิวยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “ทำไมต้องประมูลด้วยล่ะ? ถ้าสามารถหาคนซื้อที่เหมาะสมได้ งั้นเราขายออกไปก็จบแล้วนี่?”

“เท่าไรครับ?” ฉินสือโอวถามอย่างสนใจ เขารู้ว่ารัฐมนตรีกำลังให้สิทธิพิเศษกับเขา

“67 ล้าน ยังคงราคาเริ่มต้นประมูลในตอนนั้น!”

…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท