ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 25 ครอบครองเขตตะวันออก

บทที่ 25 ครอบครองเขตตะวันออก

บทที่ 25 ครอบครองเขตตะวันออก

“หลินอิ่ง คุณคิดจะทำอะไร? คุณต้องการอะไร?”

ก้าวเข้าไปใกล้หลินอิ่งที่อยู่ตรงข้าม เซควนตื่นตระหนกจนมือไม้อ่อน ร่างกายโซซัดโซเซเล็กน้อย ล้มลงบนพื้น ก้นเปรอะเปื้อนไปหมด ดูหน้าตลกอย่างมาก

“พวกคุณยังจะตะลึงทำอะไรอยู่? ไปขวางเขาไว้ให้ฉันสิ!” เซควนร้องเรียกขึ้นมาอย่างตกใจ ออกคำสั่งลูกน้องอย่างบ้าคลั่ง

แต่ว่า เซควนออกคำสั่งลูกน้องหลายสิบคนตอนนี้ แต่ไม่มีสักคนที่จะกล้าลุกขึ้นไปขวางหลินอิ่ง

คนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในอาการหวาดผวา แววตาทุกคนหวาดกลัว มองหลินอิ่งด้วยท่าทีหวาดหวั่น

พวกเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ยังคงตกใจหวาดผวาจนถึงบัดนี้

แม่งเอ้ย แม้แต่กระสุนหลินอิ่งก็ไม่กลัว นักฆ่าที่โหดเหี้ยมหลายสิบคนถูกล้มลงโดยเขาในหนึ่งนาที นี่ยังจะเอาอะไรมาจัดการได้? ไม่ได้รนหาที่ตายใช่ไหม?

หลินอิ่งมองไปรอบๆด้วยสายตาเย็นชา

ลูกน้องของเซควนได้พบกับดวงตาของหลินอิ่ง ก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว ต่างพากันก้มหน้า

“ทุกๆคน คุกเข่า! ไม่ยอมทำ ตาย!” กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

น้ำเสียงของเขาสงบ ทว่าเผยให้เห็นความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้ ราวกับฟ้าผ่าอย่างรุนแรงในใจของคนในที่นี้

โครม

ลูกน้องหลายสิบคนของเซควนไม่ลังเลสักนิด ทั้งหมดทิ้งมีเหล็กกระบองที่พกมาจนหมด คุกเข่าลงอย่างง่ายดาย เป็นฉากที่ค่อนข้างจะยิ่งใหญ่

ในสายตาของพวกเขา หลินอิ่งเป็นเหมือนพระเจ้าที่มีอยู่จริง

หลินอิ่งกล่าวว่า : “เสิ่นซาน เก็บกวาด”

เสิ่นซานรู้สึกตื่นเต้น แม้ว่าเขาจะเป็นคนพเนจรทั่วทุกสารทิศมายี่สิบปี ก็ไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน! คำพูดหนึ่งประโยค ทำให้คนคุกเข่าอย่างง่ายดาย นี่ช่างเป็นอำนาจที่น่าเกรงขามเหลือเกิน!

เสิ่นซานตอนนี้รู้สึกว่า ตอนแรกที่สวามิภักดิ์ต่อท่านหลิน นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต!

เขาโบกมือ บอดี้การ์ดก็ตรงไปปลดอาวุธทั้งหมด ควบคุมผู้คนภายใต้เงื้อมมือของเซควน

เซควนเห็นฉากนี้ สีหน้าขาวซีดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ ในใจเขาเข้าใจชัดเจน ในสถานการณ์ที่ผ่านมา!

ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้หลินอิ่งเลยสักนิด

หลินอิ่งคนเดียว ก็มีความสามารถมากว่าตนอะไรอย่างนั้น……

“ท่านหลิน! ขอร้องท่านปล่อยฉันไปเถอะ! ให้ฉันทำความเคารพท่านก็ได้!”

เซควนคุกเข่าลงบนพื้น พูดขอร้อง ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีใดๆทั้งสิ้น

เผชิญกับความเป็นความตายตรงหน้า คนที่โหดเหี้ยม ก็ปรากฎให้เห็นความอ่อนแออย่างยิ่ง

ตุบ!

พื้นรองเท้าของหลินอิ่งก็เหยียบอยู่บนหน้าของเซควน กดหัวของเขาไว้กับพื้น เลือดสดๆทะลักออกมาจากที่ถูกทำร้ายร่างกายเลือดสดๆทะลักออกมาจากที่ถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนัก

“ของอยู่ไหน?” หลินอิ่งถามออกมาอย่างสีหน้าเมินเฉย

“ไปสิ! หนู คุณรีบไปเอาของออกมาให้ท่านหลิน! ” เซควนรีบพูดเร่ง เหมือนรีบคว้าความหวังสุดท้ายไว้

หนูรูปร่างผอมและตัวเล็ก รีบเข้าไปในห้องเล็ก ๆ

“ท่านหลิน อัญมณีของท่านที่ขโมยมา นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของฉันนะ! เป็นจางเถียนไห่ที่หามาให้ฉัน!”เซควนอ้อนวอนไม่หยุด

“ขอร้องท่านให้โอกาสฉันสักคน! ฉันสามารถทำงานให้ท่านอย่างนั้นเหมือนกับเสิ่นซาน หลังจากนี้ท่านสั่งอะไร ฉันก็จะทำ!” เซควนอ้อนวอนอย่างสุดความสามารถ

“สายแล้ว” หลินอิ่งพูดเรียบๆ

สีหน้าของเซควนหม่นหมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว นอนหงายอยู่กับพื้นเหมือนหมาที่ตายแล้ว

“ฉันฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตลอดชีวิต ทว่าไม่ชอบฆ่าคน” หลินอิ่งพูดอย่างสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์

“แต่ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้ใครมาฆ่าฉันได้”

“พูดจบ หลินอิ่งหันกลับ สายตามองไปเรียบๆไปที่เสิ่นซาน

เสิ่นซานพยักหน้า เข้าใจเป็นอย่างดี ตรงไปจับเซควนที่สภาพเหมือนดินโคลนนิ่มๆ

“เซควน ท่านหลินให้โอกาสคุณแล้ว คุณไม่รู้จักเห็นคุณค่าของตัวเอง คาดไม่ถึงว่าคุณจะหลงผิดคิดฆ่าท่านหลิน” เสิ่นซานยกมุมปากเยาะเย้ยถากถาง “ตัวฉันเองมอบให้คุณ ก็ไม่ทำให้คุณเสียความเป็นหนึ่งในเขตตะวันออกนี้”

เสิ่นซานพาบอดี้การ์ดสองคนมา นำเซควนไปข้างๆแม่น้ำชิงหยูน……

เวลานี้ หนูเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ตัวสั่นงันงกเดินไปด้านหน้าหลินอิ่ง มอบกล่องคริสตัลที่งดงามให้

“ท่านหลิน นี่คือของของท่าน สภาพดีไม่ขาดตกบกพร่อง พวกเราไม่กล้าแตะต้อง” หนูพูดด้วยความกลัว

หลินอิ่งไม่พูดอะไร เปิดกล่องคริสตัลออก ความแวววับของอัญมณีเปล่งประกายอยู่ด้านใน

ในกล่องคริสตัลเป็นจี้เพชรแวววาวหนึ่งชิ้น คล้ายกับโปร่งใส สีม่วงรูปร่างโค้งสวยงามวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแกะสลักไว้อย่างละเอียดอ่อน แสงสะท้อนที่ทำให้จิตใจของผู้คนตื่นตาตื่นใจ เป็นความงามที่ไม่อาจพรรณนาได้ เหมือนเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ

นี่คือสิ่งที่เขาและจางฉีโม่ตั้งใจทำอย่างยากลำบากมาด้วยกัน World king

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลินอิ่ง แล้วค่อยๆปิดกล่องคริสตัล

“ท่านหลิน! ขอร้องท่านปล่อยฉันเถอะ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของเซควน ฉันปนเปอยู่กับเขา ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง!” หนูพูดจาอ้อนวอน

หลินอิ่งกล่าวว่า : “ช่วยฉันจัดการเรื่องหนึ่ง ฉันไม่เพียงแต่จะปล่อยคุณ ยังตบรางวัลให้คุณหนักๆเลย”

“ท่านหลินท่านกำชับคำสั่งมาได้เลย ไม่ว่าอะไรก็ตาม ฉันจะทำให้คุณอย่างแน่นอน!” หนูมองเห็นความหวังของการอยู่รอด พูดด้วยตาทั้งคู่ที่เปล่งประกาย

หลินอิ่งกล่าว : “ง่ายมาก คุณไปจับจางเถียนไห่มา เขายุยงคุณอย่างไรในตอนแรก และหลักฐานว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับคุณเพื่อขโมยKing of the world ไปหามาให้ทั้งหมด”

“เวลาที่เหมาะสม คุณยังต้องออกไปชี้ตัวจางเถียนไห่”

“ไม่มีปัญหา! ท่านหลิน! ฉันจะไปทำเดี๋ยวนี้!” หนูตอบรับคำ นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

“ท่านหลิน ท่านวางใจเถอะ ฉันต้องให้เจ้าจางเถียนไห่นั่นสารภาพผิดออกมาให้หมด! เรื่องนี้เดิมเป็นความตั้งใจของเขา” หนูพูดด้วยสีหน้าดูดีว่า “ในมือฉันยังมีบันทึกเสียงการสนทนาที่คุยกับเขาไว้ตั้งแต่แรก สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ทั้งหมด!”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย : “ดีมาก หลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จแล้ว เขตตะวันออกจะมีที่สำหรับคุณ”

“ขอบคุณท่านหลิน!” หนูก้มโค้งคำนับอย่างตื่นเต้น

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่รอดตาย ยังได้รับคำชมจากท่านหลินอีก ในใจหนูเหมือนได้นั่งรถไฟเหาะ

ชัดเจนมาก เมืองหนานเฉิงท่านเสิ่นซานมีท่านหลินท่านนี้บงการอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เซควนก็ตายไปแล้ว โลกใต้ดินในอนาคตของเขตตะวันออก ยังไม่ใช่ประโยคที่หลินอิ่งบอกหรอ?

หลินอิ่งยิ้มมุมปาก จางเถียนไห่กล้าแอบวางแผนอยู่เบื้องหลัง ตนจะปล่อยเขาไปง่ายๆได้อย่างไร……

“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง” หลินอิ่งนึกขึ้นได้ ก็กวาดสายตาไปที่ทุกๆคนตอนนี้

“ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ สักนิดเดียวใครก็ห้ามแพร่งพรายออกไป” หลินอิ่งพูดอย่างสงบ “ใครพลาดเอ่ยปากพูดไป ฉันสามารถทำให้เขาพูดไม่ได้ตลอดไป”

เสียงสงบของหลินอิ่งดังก้องตัวอาคารโรงงาน อยู่ในหูของทุกคน ทว่าราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้พวกเขาตกใจกลัว กลัวจนตัวสั่นงันงก

ทุกคน จำประโยคนี้ได้อย่างขึ้นใจ!

“ท่านหลิน เซควนอยู่บนถนนแล้ว”

เวลานี้ เสิ่นซานกับบอดี้การ์ดสองคน กลับไปที่โรงงาน

“เซควนตายแล้ว สถานการณ์ของเขตตะวันออก ให้คุณเป็นคนจัดการ”หลินอิ่งพูดเรียบๆ

“ท่านหลิน รับทราบ!” เสิ่นซานพูดด้วยสีหน้าปกติ “ภายในสามวัน ฉันจะสามารถจัดการทุกอย่างที่เขตตะวันออกเสร็จ รับช่วงต่อของอำนาจทั้งหมดที่เซควนทิ้งไว้ ช่วยท่านดูแลเขตตะวันออกให้ดี…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท