ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 11 การแข่งขัน

บทที่ 11 การแข่งขัน

บทที่11 การแข่งขัน

อูหยางมองไปที่ จางจี้หนิงด้วยสายตาที่เย็นชา

“นี่คุณกำลังสงสัยกับการตัดสินใจของผมหรือ?”

เมื่อสบตากับสายตาของอูหยาง ในใจจางจี้หนิงโกรธแค้นมาก เธอรู้สึกอับอาย และอยากที่จะตอบโต้กลับไป แต่เธอก็ทนมาอย่างมีสติ

ก่อนที่อูหยางจะมาที่จางซื่อกรุ๊ป ในบริษัทนี้มีใครที่กล้าตำหนิเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ล่ะ?

“ประธานอูคะ ดิฉันคิดว่ามันสะเพร่าเกินไปไหมคะ ที่จะตัดสินตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบง่ายๆแบบนี้เลย?” ซูนเหิงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้จางฉีโม่เป็นเพียงแค่พนักงานเล็ก ๆ ในแผนกการตลาด เธอไม่มีประสบการณ์การทำงานในด้านนี้เลย”

“ทีมออกแบบเครื่องประดับ เกี่ยวข้องไปถึงด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุตสาหกรรมของบริษัทเรา” ซูนเหิงพูดอย่างมีเหตุมีผล “ไม่ว่าจะเรื่องประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ จางฉีโม่ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบเลย การตัดสินใจดังกล่าว ฉันเกรงว่าพนักงานของบริษัทจะไม่พอใจกันนะครับ”

อูหยางยิ้มออกมา

“คุณคิดว่าผมกำลังขอความคิดเห็นจากพวกคุณหรือ?” อูหยางมองไปที่ ซูนเหิง “ เอกสารงานออกแบบของจางฉีโม่ได้ผ่านการประเมินของผมแล้ว ผมคิดว่าเธอมีความสามารถในด้านนี้และมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบ”

“รองประธานซูน ถ้าคุณรู้สึกว่าการตัดสินใจของผมมีความผิดพลาด คุณสามารถคัดค้านในงานประชุมของคณะกรรมการได้ และเรียกให้สมาชิกในคณะกรรมการโหวตเพื่อลงมติได้นะครับ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณมีความสามารถแค่ไหนเชียว” อูหยางพูดอย่างเย็นชาและไม่เคารพเลยแม้แต่น้อยซูนเหิงไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาพยายามระงับความโกรธของเขาไว้

เขาเป็นถึงลูกชายคนโตของตระกูลซูน เป็นทายาทในอนาคตของตระกูลซูนของเมืองชิงหยูนเขายังไม่เคยเจอสถานการณ์ที่โดนคนอื่นดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน

คนในตระกูลจางอาจจะกลัว อูหยางแต่เขาไม่กลัว

ถ้า เป็นนิ่งซวน ประธานนิ่งของนิ่งซื่อกรุ๊ปของเมืองตุงไห่เขาจะต้องให้ความเคารพแน่นอน อูหยางก็เป็นแค่เลขาที่อยู่รอบๆตัวนิ่งซวน และตัวเขาเองก็คงลองงัดข้อกับเขาได้

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ธุรกิจหลักของเขาอยู่ในตระกูลซูนแม้ว่าหุ้นของ จางซื่อกรุ๊ปจะหมดไปแล้ว และถูกไล่ออกโดยคณะกรรมการ แต่ก็สูญเสียเงินแค่ไม่เท่าไหร่

ในใจของซูนเหิงคิดเช่นนี้

“ ประธานอูครับ ความสงสัยของผม ก็หวังเพื่อการพัฒนาของบริษัทนะครับ ไม่ได้หมายความว่าจะต่อต้านคุณ” ซูนเหิงพูดอย่างนิ่งๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีการโต้แย้งในภายนอก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้อ่อนไปกว่าอูหยาง

อูหยางหัวเราะเยาะและพูดอย่างช้าๆ “คุณมีข้อโต้แย้งก็ดีนะครับ พอดีเลย ผมจะแจ้งเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งนะครับ”

“ ผมตัดสินใจแล้วว่า การขยายธุรกิจต่อไปของบริษัท จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารูปแบบใหม่ๆของเพชรพลอย และตอนนี้King of the worldซึ่งออกแบบโดย จางฉีโม่ได้ตัดสินใจที่จะจัดตั้งโครงการแล้ว โปรเจ็คเพชรพลอยระดับสิบล้านนี้ จะรับผิดโดยหัวหน้าฝ่ายออกแบบคนใหม่ จางฉีโม่เป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดครับ”

อูหยางพูดอย่างเป็นทางการ “อีกเรื่องหนึ่งนะครับ บริษัทจะจัดงานนิทรรศการเพชรพลอยในอีกครึ่งเดือนถัดไปนะครับ จะโชว์ตัวเครื่องประดับชิ้นใหม่ให้กับภายนอก ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าใครก็ตามในแผนก สามารถไปทำการวิจัยโครงการเพชรพลอยแบบใหม่ได้นะครับ มีการแข่งขันกันได้ ผลงานของใครที่ได้รางวัลชนะเลิศในนิทรรศการครั้งนี้ คนนั้นก็จะได้เป็นหัวหน้าแผนกออกแบบอย่างเป็นทางการนะครับ”

“เพราะฉะนั้น” พูดถึงตรงนี้ อูหยางมองไปที่คู่สามีภรรยาจางจี้หนิงด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้ม “ถ้าพวกคุณไม่พอใจกับการตัดสินใจของผม ก็เอาความสามารถของพวกคุณมาคุยได้นะครับ”

“โครงการเครื่องประดับเพชรพลอยระดับสิบล้าน?”

“จริงจังไหมเนี่ย โครงการวิจัยแบบนี้ให้พนักงานใหม่อย่างจางฉีโม่รับผิดชอบ มันเปลืองเกินไปรึเปล่า?”

“ตอนนี้เธอเป็นถึงตัวแทนของหัวหน้าแผนกออกแบบนะ….”

คำพูดของ อูหยางทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา ทีมผู้บริหารทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ประหลาดใจมาก สีหน้าการแสดงออกที่แตกต่างกันไป พวกเขากำลังพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ

พวกเขาอิจฉามากที่ จางฉีโม่ได้รับโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงความสงสัยออกมา โดยตรงอย่างที่ซูนเหิงสงสัยประธานอู

“นิทรรศการเครื่องประดับสำหรับบุคคลภายนอก?” สีหน้าของจางจี้หนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยและสบตากับซูนเหิง

“ประธานอูครับ ผมไม่มีข้อขัดข้องอะไรแล้วครับ แต่ว่าหัวหน้าแผนกออกแบบที่คุณเลือก ไม่แน่เธออาจจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะรับตำแหน่งนี้ได้” ซูนเหิงเอ่ยปากกล่าวมา

ท่าทีของจางจี้หนิงก็มั่นใจมากเช่นกัน กล่าวว่า“ ประธานอูคะ ฉันเองก็จะทำวิจัยโครงการเพชรพลอย และออกแบบผลงานด้วยตัวเองเพื่อเข้าร่วมนิทรรศการครั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่นิทรรศการเริ่มขึ้น คุณก็จะทราบเองค่ะ ว่าใครกันแน่ที่เป็นนักออกแบบเครื่องประดับเพชรพลอยที่มีความสามารถมากที่สุดในบริษัทนี้”

อูหยางดูเหมือนจะยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไร แค่พูดเบา ๆ : “กลับไปทำงานกันเถอะ”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็หันหลังเดินกลับไปที่สำนักงาน

จางฉีโม่แอบกำหมัดแน่น คิดในใจว่าครั้งนี้ ประธานอู ให้โอกาสเช่นนี้มา ต้องคว้าไว้ให้ได้ งานแสดงเครื่องประดับครั้งนี้จะต้องไม่แพ้ให้กับจางจี้หนิงเด็ดขาด

“หึ จางฉีโม่ อย่าคิดว่า ประธานอู ชื่นชมเธอ แล้วเธอยิ่งใหญ่ในทันที”

จางจี้หนิงพูดด้วยความเยาะเย้ย “ถึงเวลานั้นแล้วเธอจะล้มลงมาอย่างแรง จะเอาความสามารถระดับขยะของเธอมาเผยต่อหน้าทุกคน ให้คนอื่นเยาะเย้ย ฉันจะทำให้เธอรู้ว่า มืออาชีพที่แท้จริงคืออะไร” “และอย่าคิดว่าต่อไปเธอจะขี่ขึ้นมาบนหัวฉันได้ เธอเป็นแค่ตัวแทนหัวหน้าแผนกออกแบบ แผนกออกแบบของบริษัท ยังไม่ถึงตาเธอที่ต้องมาเป็นใหญ่” จางจี้หนิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เธอมั่นใจกับฝีมือในการออกแบบของตัวเองมาก

จางฉีโม่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานออกแบบเครื่องประดับ จะมาเทียบกับเธอได้ยังไง?

“ ฉันจะไม่แพ้คุณแน่นอน” จางฉีโม่กล่าวพลางกัดริมฝีปากของเธอไว้

“คอยดูก็แล้วกัน” จางจี้หนิงหัวเราะเยาะเย้ย

ซูนเหิงหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “อย่าถือสากบสองตัวที่ก้นบ่อน้ำอย่างพวกเขาเลย สภาพจนๆแบบนี้ คงไม่เคยรู้แม้กระทั่งว่าอัญมณีล้ำค่าหน้าตาเป็นอย่างไร ยังอยากจะกล้ามาออกแบบเครื่องประดับมูลค่าสิบล้านอีกเหรอ? หึหึ อย่าตลกมากไปหน่อยเลย”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซูนเหิงก็จ้องไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา พูดพร้อมขู่ว่า “นอกจากนี้ หลินอิ่ง นายกล้าที่จะเมินคำพูดของฉันพูดที่ฉันพูดไว้ก่อนหน้านี้ ฉันจะให้บทเรียนที่นายจำไม่มีวันลืม!”

หลินอิ่งไม่ได้สนใจซูนเหิง หันกลับไปพร้อมจางฉีโม่

“ไอ้คนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!” ซูนเหิงมองไปที่แผ่นหลังของหลินอิ่ง สีหน้าเย็นชา

ระหว่างทางเดิน หลินอิ่งมองไปที่สีหน้าที่กังวลเล็กน้อยของจางฉีโม่ พูดปลอบใจว่า “อย่าคิดมากเลย เธอแค่ไปตั้งใจทำผลงานของเธอให้สำเร็จก็พอ”

จางฉีโม่พยักหน้าอย่างตั้งใจ เขาทั้งสองลงลิฟท์ไปพร้อมกัน และเดินออกจากอาคารเป่าติ่งไป

…………………

กลับไปถึงบ้าน

ผู้อาวุโสทั้งคู่ของตระกูลจางได้รับข่าวดีจากทางโทรศัพท์มาก่อนแล้ว นอกซะจากมีความสุขแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยยอมเข้าห้องครัวทำกับข้าวครั้งแรกอย่างน่าทึ่ง เธอเตรียมอาหารเสร็จตั้งนานแล้ว

“วันนี้ลูกสาวเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบของบริษัท และยังได้รับงานโปรเจ็กต์ระดับสิบล้านอีกซะด้วย ครอบครัวเราต้องฉลองกันสักหน่อยแล้ว”

บนโต๊ะอาหาร ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความดีใจ และเปิดไวน์มาหนึ่งขวดด้วยตัวเอง

“ ตอนนี้ฉันเป็นแค่ผู้ตัวแทนผู้จัดการแผนกเท่านั้น ต้องรอได้รับรางวัลชนะเลิศของงานนิทรรศการแล้ว ถึงจะได้รับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ” จางฉีโม่พูดอย่างเคร่งเครียด

“ตัวแทนผู้จัดการอะไรกัน มีความชื่นชมของประธานอู ยังต้องกลัวจางจี้หนิงกดขี่เธออีกหรือ? ครั้งนี้ครอบครัวของเราได้หน้าไปเต็มๆเลย หัวหน้านักออกแบบประจำบริษัท ขนาดจางจี้หนิงยังเป็นลูกน้องของลูกสาวของฉันเลย” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างมีความสุข

สีหน้าของจางซิ่วเฟิงก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “ฉีโม่ดูเหมือนว่าการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ ท่านประธานอูไม่ได้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การทำงานนะ แต่ส่งเสริมเฉพาะคนที่มีความสามารถเท่านั้น ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีเลย เธอต้องทำให้ดีที่สุด ทำผลงานครั้งนี้ออกมาให้ดี ครอบครัวของเราไม่มีอิทธิพลอะไรในบริษัท ต่อไปเวลาทำอะไรก็ต้องระวังต้องถ่อมตน

“ทราบแล้วค่ะ ” จางฉีโม่ตอบพร้อมพยักหน้า

“แต่ว่า ฉันได้ข่าวมาว่า หลินอิ่งมีเรื่องกับคนในบริษัทอีกแล้วเหรอ? ซูนเหิงของตระกูลซูนพูดออกมาเลยว่าจะจัดการนาย ” พอพูดถึงเรื่องนี้ ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วขึ้นมา มองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “ความสามารถของนายก็ไม่ค่อยมี วันๆเอาแต่หาเรื่องใส่ตัว ฉีโม่ไม่น่าเอานายไปที่บริษัทด้วยเลย!”

“อีกอย่าง ลูกสาวเอ้ย” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “ได้ข่าวว่าเธอให้หลินอิ่งมาเป็นเลขาของเธอหรือ? นี่มันหาเรื่องชัดๆเลย เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น นอกจากสร้างปัญหาให้เธอแล้ว เขาทำอะไรได้บ้าง? ฟังแม่นะ กลับไปที่บริษัทไปจัดการใหม่ หลินอิ่งเป็นเลขาให้เธอไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

“คุณแม่คะ ครั้งนี้ที่ได้รับความกรุณาของประธานอู หลินอิ่งก็มีส่วนเหมือนกันนะคะ ” จางฉีโม่พูด “เรื่องที่ทำงาน คุณแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นก็ให้เขาอยู่ตำแหน่งนี้ไปชั่วคราวก็ได้” ลู่หย่าฮุ่ยตอบตกลงพร้อมขมวดคิ้วไว้ เธอมองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “หลินอิ่ง นายอย่าไปหาเรื่องให้ครอบครัวฉันอีกนะ อยู่ที่บริษัทกับฉีโม่ก็อย่าไปเป็นตัวถ่วงของเธอ ไม่งั้นนายเจอดีแน่!”

ขณะนั้น จางซิ่วเฟิงแตะไปที่ซองบุหรี่เปล่าและพูดว่า “หลินอิ่ง นายลงไปซื้อบุหรี่ให้ฉันหนึ่งซองสิ”

หลินอิ่งพยัก หน้าลุกขึ้นและลงไปชั้นล่าง

ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาเคยชินกับความจู้จี้ของ ลู่หย่าฮุ่ยแล้ว เขาไม่ได้ไม่สนใจเท่าไหร่

เขาซื้อบุหรี่สองซองที่ร้านค้าหน้าหมู่บ้าน หลินอิ่งกำลังจะเดินกลับไป

ปี๊ด!

ทันใดนั้น รถโตโยต้าสีดำมาจอดขวางอยู่ตรงหน้าเขา

“ นายคือหลินอิ่งเหรอ?”

“ใช่แล้ว ไอ้คนไม่ได้เรื่องคนนี้แหละ เบื้องบนสั่งมา รีบพาเขาไปเถอะ”

จู่ๆก็มีชายร่างท้วมสองคนลงจากรถ และมองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าที่หาเรื่อง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท