ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 49 ความคิดของหวางจื่อเหวิน

บทที่ 49 ความคิดของหวางจื่อเหวิน

บทที่ 49 ความคิดของหวางจื่อเหวิน

เห็นได้ชัดว่า ในแวดวงเหล่าบรรดาลูกหลานของตระกูลชั้นสูงนี้ หวางจื่อเหวินถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ถึงยังไงภูมิหลังของของเขาก็แข็งแกร่งที่สุด เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของผู้ที่มีอำนาจแห่งตระกูลหวาง

“มาสิฉีโม่”หวางจื่อเหวินฝีมือชำนาญ รินไวน์ลงไปหนึ่งในสามของแก้วได้อย่างสง่างาม ก่อนจะยื่นมาให้กับจางฉีโม่

“ขอบคุณค่ะ”จางฉีโม่รับแก้วมาอย่างมีมารยาท สีหน้ากลับรู้สึกอึดอัด ชำเลืองตาไปมองหลินอิ่ง หลินอิ่งสีหน้าดูปกติ

หวางจื่อเหวินก็รินไวน์อีกแก้ว แล้วมองสำรวจหลินอิ่งพร้อมกับถามขึ้น“คุณคนนี้? เหมือนว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเลยนะ?”

“เขาเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการของจางซื่อกรุ๊ปน่ะ ทำงานให้กับฉีโม่”จางหงอี้ชิงตอบแทนหลินอิ่ง

“อ๋อ? ผู้ช่วย”หวางจื่อเหวินเริ่มรู้สึกสนใจ“ในเมื่อเป็นผู้ช่วยของฉีโม่ ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มด้วยกันสักแก้วสิ”

“ขอโทษครับ ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ช่างกล้านะ แกเป็นใคร พี่หวางให้แกดื่ม ก็เพราะว่าไว้หน้าแกนะ แกไม่อยากได้หน้าหรือไง?”ฉินเฟยถามสวนกลับขึ้นมาก่อน

“ไอ้คนไร้ค่าที่เป็นแค่ผู้ช่วยแบบนี้ จะมาเข้าใจมารยาทในการดื่มไวน์เกรดสูงได้ยังไงกันล่ะ?”อูฉู่เวินพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง“ดูจากสภาพแล้ว ทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสได้ดื่มอีกแล้วมั้ง”

หลินอิ่งส่ายหัว ยิ้มๆไม่พูดอะไร

“ช่างเถอะ อย่าให้เขามาเรียกร้องความสนใจเลย พวกเราดื่มกันก็พอแล้ว”หวางจื่อเหวินพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ มองหลินอิ่งด้วยแววตาเย้ยหยัน

พูดเสร็จ คนที่นั่งตรงนั้นก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมา แล้วจิบไปหนึ่งคำ

“ฉีโม่ พวกหลานคุยกันตามประสาวัยรุ่นกันตรงนี้ก่อนนะ ป้ายังมีงานพิธีอีกหนึ่งงาน ต้องขอตัวก่อนแล้วกัน”หลังจากดื่มเสร็จ จางหงอี้ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“จื่อเหวิน ฉีโม่ก็เพิ่งจะมาที่หมิงเป่าซวน นายช่วยดูแลเธอสักหน่อยแล้วกันนะ เข้าใจไหม?”

หวางจื่อเหวินพูดยิ้มๆ“ป้า วางใจได้เลยครับ ผมอยู่นี่ด้วยทั้งคน ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามารังแกเธอได้หรอก ฉีโม่เป็นหลานสาวในตระกูลจางของป้า ถ้าดูจากความสัมพันธ์แล้ว ผมก็สามารถเรียกเธอว่าน้องได้ใช่ไหมล่ะ?”

“เอาเถอะ แล้วแต่นายเลยแล้วกัน”จางหงอี้พูดไปหนึ่งประโยค ก่อนจะหันเดินจากไปยังอีกฝั่งหนึ่งของหมิงเป่าซวน

รอจนกระทั่งจางหงอี้จากไป หวางจื่อเหวินก็มองจางฉีโม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความหื่นกระหายที่ยากจะมองออก

วันนี้จางฉีโม่สวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ ผิวขาวนวล หน้าตางดงาม รูปร่างสูงโปร่งแต่กลับอรชรอ้อนแอ้น แม้ว่าจะไม่ได้แต่งตัวและแต่งหน้ามาเป็นพิเศษ แต่โดยรวมดูโดดเด่น สองแววตาดูมีเสน่ห์ เป็นหญิงงามของทุกเมือง สวยที่สุดในประเทศ

“ช่างเป็นคนสวยที่มีมาให้เห็นไม่บ่อยมากนัก”หวางจื่อเหวินแอบสบถอยู่ในใจ กลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้

เพราะว่าเป็นคุณชายกะล่อน เขาเลยได้ยินชื่อของจางฉีโม่สาวสวยที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนแห่งนี้มาบ้าง ช่วงนี้ก็ได้ยินว่าจางฉีโม่เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมากในวงการจิวเวลรี่ ชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงแวดวงตระกูลชั้นสูงของพวกเขา

เมื่อสองวันก่อนหวางจื่อเหวินมองเห็นสีหน้าท่าทางที่งดงามของฉีโม่ในขณะที่กำลังพูดถึงเรื่องการพัฒนาของจิวเวลรี่จากในสื่อ ในตอนนั้นเขาก็เริ่มมีความคิดอะไรขึ้นมา

การที่เป็นเสือผู้หญิง เขาถนัดที่สุดก็คือการทำอะไรแบบนี้ ชอบไล่ล่าผู้หญิงสวยหลายแบบหลายสไตล์ แถมฝีมือเก่งกาจ มีเทคนิคในการลงมือ แถมยังเข้าใจหัวอกผู้หญิงเป็นอย่างดี ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ถึงยังไงที่บ้านก็มีเงินให้ใช้เหลือเฟือ

พอดีกับที่ป้า จางหงอี้เข้ามาพอดี แถมแนะนำจางฉีโม่ให้กับตนเองอีก เขาจึงรีบตอบปากรับคำทันที แล้วก็มานัดเจอกันที่หมิงเป่าซวน

คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เห็นจางฉีโม่ตัวเป็นๆแล้ว ก็ยิ่งทำให้ประหลาดใจขึ้นไปอีก ตอนนี้เขามีธงในใจแล้วว่า จะต้องจัดการรวบหัวรวบหางจางฉีโม่ให้ได้

ไม่อย่างนั้น เขาจะยอมเปิดไวน์ราคาหลายแสนตั้งสองขวดทั้งที่เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกทำไมกันล่ะ

สำหรับหวางจื่อเหวินแล้ว นี่มันเทียบไม่ได้กับพวกผู้หญิงที่เขาเคยเล่นมาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้จ่ายเงินเพิ่มอีกหรือใช้แผนการอีกหน่อยเพื่อจับเธอขึ้นไปบนเตียงมันก็คุ้มทั้งนั้นแหละ

แถมเป็นถึงลูกสาวของตระกูลจาง เป็นสาวสวยแทบจะสวยที่สุดในระดับประเทศ แถมยังสร้างสถิติใหม่ให้กับวงการจิวเวลรี่ของเมืองชิงหยูนอีก ชิ้นงานที่ออกแบบมาก็ประมูลได้ในราคาสูงถึงร้อยล้าน

รอจัดการจางฉีโม่ได้ หลังจากทำสำเร็จแล้ว ตนเองก็จะสามารถประกาศศักดากับแวดวงตระกูบชั้นสูงได้ว่าตนได้เคยกินหญิงงามคุณภาพสูงมาแล้ว ถึงขนาดที่สามารถคุยโม้โอ้อวดได้ยันตายเลยทีเดียว

ป้า จางหงอี้ที่บอกว่าจะมาผูกมิตรไมตรีอะไรนั่น เหอะๆ อยากจะเข้ามาในตระกูลชั้นสูงอย่างตระกูลหวางล่ะสิ? รอให้เล่นจางฉีโม่จนเบื่อเดี๋ยวก็สลัดทิ้งไปแล้ว ถ้าเกิดเธอยอมเป็นผู้หญิงอ่อนแอออเซาะอยู่ข้างนอกก็ได้ ยังไงก็ใช้เงินเลี้ยงอยู่แล้ว

หวางจื่อเหวินคิดลามกเลยเถิดไปไกล ยังไม่ทันได้ลงมือกับจางฉีโม่ แววตาก็ดูหื่นกระหายราวกับหมาป่าหิวโซ

“ใช่แล้ว ยังไม่ได้ถามว่าผู้ช่วยผู้อำนวยการคนนี้ชื่อว่าอะไรเลย?”หวางจื่อเหวินหันไปมองหลินอิ่ง รู้สึกว่าคนคนนี้จะต้องเป็นตัวเกะกะแน่นอน เขาพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“หลินอิ่ง”หลินอิ่งตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ

“อ๋อผู้ช่วยหลิน”หวางจื่อเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แววตาเป็นประกาย“ทำไมถึงรู้สึกว่าชื่อของผู้ช่วยหลินมันคุ้นๆนะ?”

“พี่หวางฉันคิดออกแล้ว เขาก็คือลูกเขยที่น่าสมเพชของตระกูลจางไง หลินอิ่งนั่นเอง!”ฉินเฟยพูดขำใหญ่ เผยให้เห็นถึงสีหน้าดูแคลนสุดๆ

“เขาก็คือลูกเขยที่แต่งเข้ามาในตระกูลจางคนนั้น!”อูฉู่เวินเอามือปิดปาก ราวกับว่าพยายามจะกลั้นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของตนเอง

“เหอะๆ ตะกี้เพิ่งจะพูดถึงไปเอง คิดไม่ถึงว่าเศษสวะที่โด่งดังจะนั่งอยู่ตรงหน้าของพวกเราซะได้ มันก็ช่างน่าสมเพชจริงๆนั่นแหละ ขนาดพวกเราพูดถึงเขา ยังไม่กล้าพูดตอบกลับมาเลย”เสิ่นห้าวก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ที่แท้ก็คือหลินอิ่งคนนั้นนั่นเอง!”หวางจื่อเหวินหัวเราะออกมา ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดขึ้น“ขอโทษที ขอโทษที ที่ฉู่เวินบอกว่าแกเป็นไอ้เศษสวะก่อนหน้านี้……ฉันรู้สึกว่า แกไม่ใช่เศษสวะ แต่ควรจะเป็นโคตรไอ้เศษสวะมากกว่านะ”

“ถ้าไม่อย่างนั้น แล้วทำไมเป็นลูกผู้ชายแท้ๆถึงคิดจะเกาะเมียกินกันล่ะ?”หวางจื่อเหวินส่ายหน้าพูดขึ้น ท่าทางยโสโอหังสุดๆ

หลินอิ่งมองหวางจื่อเหวินอย่างนิ่งๆ ก็ไม่ได้พูดอะไร คนประเภทเขา หลินอิ่งเคยเจอมาเยอะแล้ว

“คุณชายหวาง ฉันว่าการที่ทุกคนจะพูดจะจากัน ก็น่าจะมีมารยาทกันสักหน่อยดีกว่าไหม?”จางฉีโม่พอได้ฟังคนพวกนี้พูดถึงหลินอิ่งแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกอึดอัด

นี่มันกลับทำให้หลินอิ่งรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าจางฉีโม่จะช่วยพูดแทนตนเอง

หวางจื่อเหวินสีหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างสง่างาม“ขอโทษครับฉีโม่ ผมเสียมารยาทไปแล้ว ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของคุณ ผมก็เพิ่งจะได้มาเจอกับหลินอิ่ง ก็เลยรู้สึกโมโหเกินไป อยากเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคุณ!”

“ใช่ๆฉีโม่ พี่หวางก็แค่เรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณ ที่ต้องมารู้สึกน่าสมเพชกับเศษสวะประเภทนี้”ฉินเฟยกอดอกพูดขึ้น

“นี่ฉีโม่ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันเฉดหัวผู้ชายแบบนี้ออกไปจากบ้านตั้งนานแล้ว ยังจะให้เขามาคอยเกาะกินอยู่ทำไม?”อูฉู่เวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าดูแคลน“คุณดูสิว่าทั้งตัวคุณมีของแบรนด์เนมหรูๆอะไรบ้าง? เครื่องประดับจิวเวลรี่อะไรก็ไม่มี ฉันเห็นแหวนแต่งงานก็ไม่ได้ใส่ นี่มันจะเอาเปรียบขนาดไหนกันเชียว?”

“พอคิดแล้วมันก็น่าโมโหจริงๆ หลินอิ่งช่างเป็นความอัปยศของผู้ชายแบบเราๆเหลือเกิน!” เสิ่นห้าวพูดขึ้นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม“ฉีโม่ขอแค่คุณพูดว่าจะเฉดหัวเขาออกไปจากบ้าน แค่ประโยคเดียว ผมจะช่วยจัดการกับเขาให้เอง รับรองเลยว่าจะทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแน่นอน แล้วก็ไม่กล้าแบกหน้าเข้ามาที่ตระกูลจางอีก และยอมไสหัวไปแต่โดยดีอย่างแน่นอน!”

“ทุกคนไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะ นี่มันเป็นเรื่องของฉัน”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“พวกนายไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นี่มันเป็นเรื่องของฉีโม่”หวางจื่อเหวินพูดขึ้นอย่างสง่างามสุดๆ แล้วหันมามองจางฉีโม่พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย“ฉีโม่ถ้าเกิดคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็โทรหาผมได้เลย เชื่อผม ผมหวางจื่อเหวินมีอำนาจและอิทธิพลในเมืองชิงหยูนแห่งนี้”

พูดพลาง หวางจื่อเหวินก็ดีดนิ้ว

“ฉินเฟยไปที่คลังเก็บของโดยเฉพาะของฉัน แล้วเอาของขวัญที่ฉันเตรียมไว้ให้กับฉีโม่มา”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท