ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 21 คนเป็นหมื่นชี้หน้าด่า

บทที่ 21 คนเป็นหมื่นชี้หน้าด่า

บทที่ 21 คนเป็นหมื่นชี้หน้าด่า

ผู้บริหารระดับสูงหลายท่านในบริษัท ต่างลุกขึ้นประณามหลินอิ่ง ด้วยอารมณ์ที่โกรธ ราวกับว่าหลินอิ่งได้ขโมยKing of the worldไป

“อันที่จริงฉันก็เห็นว่ามันทะแม่งๆตั้งแต่ครั้งที่แล้ว จางฉีโม่เพิ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งวันเดียว คาดไม่ถึงว่าจะออกรถคันนึงราคาห้าแสนหยวน!” จางเถียนไห่แสดงท่าทีอย่างเอาจริงเอาจัง หัวหน้ากล่าววิเคราะห์แล้วพูดว่า “แสดงให้เห็นว่า เธอมีลักษณะที่จะแสวงหาผลกำไรนี้ ทุกคนพูดเปรยๆตำหนิว่า โครงการที่มีเงินทุนหมุนเวียนสิบล้านที่ดูแล ไม่สามารถวางขั้นตอนจัดการเงินได้เลยหรอ?”

“ครั้งที่แล้วฉันก็บอกแล้วว่าจะให้ผู้จัดการฝ่ายการเงินไปตรวจสอบบัญชีของเธอ สุดท้ายผู้บริหารบริษัทไม่มีใครรับฟังเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉัน” จางเถียนไห่พูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเสียใจ รายงานต่อคณะกรรมบริษัทว่า ให้ปลดเธอออกจากตำแหน่งผู้บริหาร เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไหม?”

“ใช่! ดูไม่ออกเลยจริงๆ จางฉีโม่ คุณเป็นพนักงานฝ่ายการตลาดตัวเล็กๆ พลอยอำนาจบารมีเจ้านายแป๊ปเดียวก็ได้เป็นผู้บริหาร คอรัปชั่นอย่างมากมายเลยนะ”

“นี่มีอะไรน่าแปลกใจหรอ? คนจนรวยขึ้นมาอย่างกะทันหัน หวาดกลัวความจน ทันทีที่เข้าดำรงตำแหน่งในระดับสูง ก็อดรนทนไม่ไหวจึงคิดจะทุจริต”

“จุ๊ๆ การโกงกินนี้ช่างน่ารังเกียดเสียจริงๆ ตอนนี้เรื่องอัญมณีที่ถูกขโมยนี้ จางฉีโม่ต้องเป็นหนึ่งในตัวละครอะไรในนั้นอย่างแน่นอน”

ผู้บริหารกลุ่มเพื่อนซี้หลายคนของจางเถียนไห่ ต่างก็เหน็บแนม พูดคาดการณ์บิดเบือนความจริงกันขึ้นมาเอง

“นี่ยังต้องคิดอีกไหม? จางฉีโม่สมรู้ร่วมคิดกับคนภายนอก เธอก็ละโมบโลภมากอย่างชัดเจน แล้วอัญมณีเครื่องประดับประเมินมูลค่ากว่าสิบล้านกว่าหยวนที่สว่างเจิดจ้าอยู่เบื้องหน้าทุกวัน พวกคุณพูดซิว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะอดใจไหวไหม?” จางเถียนไห่ราวกับนักสืบ คาดเดาเป็นฉากๆ

“จางเถียนไห่ คุณหุบปาก! นี่คุณกำลังสาดโคลนอยู่นะ!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห แสดงออกด้วยความกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม

วันนี้เธอมาทำงานแต่เช้า ก็พบว่าKing of the worldที่วางอยู่ในตู้เซฟไม่มีแล้ว ตกใจอย่างมาก จึงรีบไปกดกล้องวงจรปิดดู

ปรากฎว่า เมื่อคืนที่ผ่านมากล้องของบริษัท ทั้งหมดถูกตัดการเชื่อมต่อ และห้องเวรยามก็ถูกตัดการเชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายไฟด้วย เหมือนกับว่าสิ่งนี้มีคนวางแผนไว้ล่วงหน้า

เดิมทีเรื่องนี้จะต้องแจ้งความต่อตำรวจให้ตำรวจในท้องที่เข้ามาจัดการอย่างแน่นอน กลุ่มของผู้บริหาร โดยเฉพาะจางจี้หนิงและจางเถียนไห่เป็นผู้นำกลุ่ม

แต่อูหยางประธานคณะกรรมการบริหารใช้อำนาจบีบบังคับเอาไว้ กล่าวว่าไม่ต้องประกาศออกไปยังภายนอก ให้ดำเนินการตรวจสอบภายในบริษัทเป็นการชั่วคราว

ถึงอย่างไร เรื่องนี้จางฉีโม่ก็เป็นคนรับผิดชอบ ยิ่งเกิดเรื่องใหญ่มาก ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อเธออยู่ไม่น้อย

เรื่องนี้เป็นโครงการที่จางฉีโม่รับผิดชอบ แม้แต่อูหยางที่เป็นประธานคณะกรรมการบริหารนี้ก็คงไม่กล้ารับผิดชอบหรอก……

“อุ๊ยตายจริง ผู้อำนวยการจางช่างน่าเกรงขามจริงๆ นี่ต้องเอาตำแหน่งหน้าที่มากดขี่คนเลยหรอ?” จางเถียนไห่พูดจากลับตาลปัตร แต่ทว่าใบหน้าแสดงออกอย่างลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง

“จางฉีโม่ คุณต้องจัดการสถานภาพและสถานการณ์ของตนเองตอนนี้ให้ชัดเจน!” จางเถียนไห่พูดพลางยิ้มๆ “เดิมทีคุณก็เป็นเพียงผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการการออกแบบคนนึง ต้องรอให้โครงการKing of the worldของคุณสำเร็จราบรื่นดี และอีกอย่างต้องให้ผ่านหลังจากการจัดแสดงนิทรรศการอัญมณีไปแล้วถึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นสมาชิกได้อย่างสมบูรณ์”

จางเถียนไห่กล่าวอย่างยกตนข่มท่าน: “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง? ตอนนี้คุณไม่เพียงแต่ค้นคว้าวิจัยโครงการKing of the worldไม่สำเร็จราบรื่น ยังมีเรื่องนี้ที่ทำอัญมณีที่มีไม่กี่ชิ้นบนโลกมูลค่ากว่าสิบล้านหายไปอีก! และอีกอย่าง พรุ่งนี้กลุ่มเครือข่ายภายนอกของนิทรรศการอัญมณีก็จะเรียกประชุมแล้ว คุณจะชี้แจงกับกลุ่มบริษัทเครือข่ายอย่างไร? คุณคิดว่าคุณยังสามารถนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการการออกแบบได้อย่างมั่นคงอีกหรอ?”

จางฉีโม่กัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว แต่ในสายตายากที่จะระงับความกล้ำกลืนในความไม่เป็นธรรม

เธอเป็นพนักงานตัวเล็กๆมาโดยตลอด ขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงาน ในที่สุดด้วยแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง จึงได้รับการชื่นชมจากผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรักษาการแทนผู้อำนวยการ มีโอกาสที่โดดเด่นกว่าคนอื่น

พยายามทุ่มเทมาหลายวันหลายคืน ในที่สุดก็ค้นคว้าวิจัยผลงานของตนเองออกมา แต่เมื่อผลงานจะได้รับการจัดแสดงในวันพรุ่งนี้ งานที่ทำขึ้นจากกำลังกายและกำลังสมองของตนเองก็ถูกคนขโมยไป ในท้ายที่สุดยังถูกคนในบริษัทประณามอย่างโหดเหี้ยม

นี่อาจจะกล่าวได้ว่า ในชีวิตของจางฉีโม่ เป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดที่เคยพบเจอเรื่องนึง

อีกอย่าง เธอยังไม่มีทางร้องขอ ทำได้เพียงอดทนต่อคำประณามอย่างไม่มีมูลเหตุของคนเหล่านี้ในบริษัท!

“จางฉีโม่ นี่ยังไม่รู้อีกนะว่าเวลาที่คุณทำโครงการค้นคว้าวิจัย อย่างด้อยคุณภาพ ทำสินค้าคุณภาพต่ำออกมา แต่กลัวว่าจะแบกความรับผิดชอบไว้ไม่ไหว ก็เลยปล่อยมือจากหม้อเสียเลย(ไร้ซึ่งทางเลือกใดๆ) แล้วนำสินค้าอัญมณีไปเก็บไว้ส่วนตัว แล้วมาประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าหายไปแล้ว อย่างไรเสียนอกจากพวกคุณสามีภรรยาแล้ว พวกเราก็ไม่มีใครเคยได้เห็นว่าKing of the worldเป็นยังไง” จางจี้หนิงก็ลุกขึ้นยืน พูดพลางยิ้มอย่างเยือกเย็น คาดคะเนอย่างไม่ยั้งคิด ไม่ระงับสีหน้าความลำพองใจบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

“คุณพูดจาเหลวไหล แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยทำงานด้อยคุณภาพ! ผลงานนี้ก็ออกมาอย่างเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความไม่พอใจ

เธออดกลั้นต่อการคาดเดาและประณามของชั้นผู้บริหารของบริษัทได้ แต่ทว่าก็จนปัญญาที่จะทนรับไหว ในฐานะที่เธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการออกแบบอัญมณี ที่จะโดนดูถูกผลงานที่เธอได้สร้างสรรค์ขึ้น

“เหอๆ ช่างน่าขำเสียจริงๆ” จางจี้หนิงกล่าวเย้ยหยันต่อ “ยังกล้าพูดว่าผลงานของตนเองเสร็จสมบูรณ์ดีอีกหรอ? ฉันดูแล้วนะ บางทีคุณอาจจะคิดว่าผลงานดีกว่าฉัน พรุ่งนี้ก็คืองานแสดงนิทรรศการอัญมณีแล้ว จึงจงใจให้สินค้าขยะชิ้นนั้นหาย หลังจากนั้นก็มาเสแสร้งทำเป็นคนไม่มีความผิดเพื่อมาฉกฉวยความเห็นใจจากทุกคน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะ เดิมทีคุณไม่ได้มีความสามารถในการออกแบบเครื่องประดับอัญมณีมูลค่ากว่าสิบล้านนี้อยู่แล้ว สวมหน้ากาก แล้วเก็บเกี่ยวผลกำไรอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก็พูดมาประโยคนึงว่าไม่พบอัญมณี เพื่อตบตาทุกคน ใช่ไหม?”

“คุณคิดว่าทุกคนเป็นคนโง่จริงๆหรอ? ตัวคุณเองมีหรือไม่มีความสามารถที่จะทำผลงานมูลค่าสิบกว่าล้าน ในใจไม่มีหยกสักนิดเลยหรอ? จางจี้หนิงร้องเชอะอย่างเย็นชา สีหน้าท่าทางแสดงความเยาะหยันอย่างไม่มีอะไรเปรียบ

“ใช่ๆ พวกเราไม่มีใครเคยเห็นสินค้าจริงๆ เป็นดำเป็นขาวก็ไม่ใช่ตามที่พวกเขาสองสามีภรรยาพูดส่งเดชเรื่อยเปื่อย!”

“จุ๊ๆ ที่พูดมาก็ถูก เดิมทีแล้วจางฉีโม่ก็เป็นคนไร้ความสามารถอยู่แล้ว น่าจะเป็นอย่างที่พี่หนิงพูด หาเงินภายใต้หน้ากาก สุดท้ายก็มาตบตาคิดว่าทุกคนเป็นคนโง่”

กลุ่มผู้บริการหลายคนของแผนกจางหงจูน ต่างก็ออกปากพูดตำหนิกันอย่างเซ็งแซ่

“ฮึ เหมือนกับเป็นมอดของกลุ่มบริษัทนี้ คนไร้ยางอาย ทำไมยังอยู่ที่บริษัทอย่างไม่ละอายใจอีก?” ซูนเหิงก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “จางฉีโม่ หลินอิ่ง ฉันจะบอกอะไรคุณสองคนให้นะ ผลงานชิ้นนี้ใช้ค่าใช้จ่ายของกลุ่มเครือข่ายในการสร้างไปถึงยี่สิบสามสิบล้าน สิ่งสำคัญยังเพิ่มโฆษณาภายนอกอีก แหล่งทรัพยากรการติดต่อสื่อสารในการขับเคลื่อน แต่ใช้จ่ายต้นทุนไปมาก! มูลฐานต้นทุนนี้จนปัญญาที่จะประมาณการ คุณคิดว่าครอบครัวพวกคุณจะรับผิดชอบไหวหรอ?”

“เมื่อเรียกประชุมงานนิทรรศการอัญมณีในวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้ส่งผลกระทบให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล ครอบครัวพวกคุณต้องชดใช้อย่างสิ้นเนื้อประดาตัว!”

พูดถึงตอนนี้ ซูนเหิงก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา กล่าวว่า: “ในฐานะที่ฉันเป็นรองผู้อำนวยการกลุ่ม บริหารงานเป็นสมาชิกกรรมการบริษัท ในนามของฉันคนเดียวทั้งหมด ให้ดำเนินการฟ้องร้องพวกคุณทั้งสองที่เป็นคนจัดทำโครงการตามกฎหมาย! ฟ้องร้องว่าพวกคุณละเมิดผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันอย่างร้ายแรง! อีกอย่าง ฉันยังต้องให้กรรมการบริษัทผู้ถือหุ้นทุกคนขององค์กร ดำเนินการทางกฎหมายกับพวกคุณสองคนด้วย!”

“เมื่อถึงเวลา พวกคุณก็จะต้องติดคุก!” ซูนเหิงใช้อำนาจคุกคามกล่าวขู่ขวัญ

“นี่มันกลับตาลปัตรจากขาวเป็นดำจริงๆ มีเรื่องอะไรที่พวกคุณจะเอ่ยปากใช้เป็นพยานหลักฐานหรอ?” หลินอิ่งกล่าวยิ้มอย่างเยือกเย็น

“ในฐานะที่พวกคุณสองคนเป็นคนรับผิดชอบโครงการ คุณจะหนีพ้นความเกี่ยวพันธ์นี้หรอ?” จางเถียนไห่โผล่ขึ้นมาซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน

“การเรียกประชุมงานนิทรรศการอัญมณีในวันพรุ่งนี้ King of the world โดยธรรมดาจะต้องแสดงที่งานนิทรรศการ ฉันและฉีโม่เป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้ เรื่องนี้ ยังไม่ถึงช่วงที่พวกคุณจะเป็นทุกข์เรื่องเหล่านี้” หลินอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา

“ดี! เก่งจริงๆ! ผู้ช่วยหลินมั่นใจขนาดนี้ งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว หวังว่าคุณจะสามารถพูดได้ทำได้นะ” จางเถียนไห่แสดงออกอย่างโอ้อวด กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำพองใจ “ทุกคนล้วนได้ยินนะ! นี่คือผู้ช่วยหลินพูดด้วยปากของตัวเองเลยนะ พรุ่งนี้King of the worldจะต้องแสดงในงานนิทรรศการ!”

“ถ้าไม่มีออกมาแสดง ผู้ช่วยหลิน ถึงเวลานั้นพวกเราก็จำเป็นต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลกับพวกคุณสองคน! พวกคุณสองคนก็จะต้องถูกไสหัวออกจากบริษัทไปอย่างเปิดเผย!” จางเถียนไห่กล่าวด้วยท่าทีที่ขึงขัง สายตาแสดงออกถึงความมีอำนาจเหนือกว่าอย่างมาก

หลินอิ่งหันมองจางเถียนไห่ ไม่ได้พูดจา

“หลินอิ่ง ทำไมคุณพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจำนวนมากขนาดนี้ นี่จะถูกพวกเขาเอาไปเป็นขี้ปากได้นะ” จางฉีโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆหลินอิ่งกล่าวกระซิบ แสดงออกด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง “เดิมทีนี่ก็เป็นเพียงแค่การกล่าวหาของพวกเขาอย่างไร้มูลเหตุ ไม่จำเป็นต้องแข็งข้อ อดทนๆไป ตามใจพวกเขาจะพูดยังไงก็พอแล้ว”

หลินอิ่งยิ้มๆ กล่าวว่า: “ฉีโม่ ตอนนี้ก็เลิกงานแล้ว พวกเรากลับบ้านไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”

“ทำไมคุณยังมีอารมณ์ที่จะทานข้าวอีกหรอ!” จางฉีโม่มองค้อนหลินอิ่ง ทันทีก็ถูกหลินอิ่งลบเลือนความโกรธนี้อย่างรวดเร็ว

“อย่ากังวลไป กลับบ้านแล้วค่อยคุย” หลินอิ่งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

จางฉีโม่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร การแสดงออกของความกังวลที่เดิมทีมีอยู่มหาศาล ก็ถูกท่าทีที่มีอำนาจของหลินอิ่งนี้ลบเลือนไป รู้สึกมั่นคงปลอดภัยขึ้นมา

คนทั้งสองไม่ชายตามองจางเถียนไห่และคนทั้งหลาย ลงจากตึกและออกจากบริษัท

หลังจากที่คนทั้งสองออกไปแล้ว จางเถียนไห่ยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น เดินไปยังด้านข้างของจางจี้หนิง กล่าวกระซิบว่า: “พี่หนิง ฉันจัดการเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมไหม?”

บนใบหน้าของจางจี้หนิง เต็มไปด้วยความพอใจ พูดกระซิบว่า: “เถียนไห่ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณยังมีวิธีการนี้อีก แต่ก่อนพี่กลับดูถูกคุณ ครั้งนี้คุณมีความดีความชอบ ฉันจะกลับไปปรึกษาหารือกับพี่เขยคุณ ให้ตระกูลซูนยื่นมือมาช่วยครอบครัวพวกคุณให้กลับฟื้นคืนมาเหมือนเดิม”

“ฮึ” จางเถียนไห่ทอดถอนใจอย่างเย็นชา “อูหยางสุนัขรับใช้ของนิ่งซื่อกรุ๊ปนี่อะนะ เป็นเลขาฯคนนึง มาวางอำนาจบาตรใหญ่กับคนตระกูลจางของพวกเรา เมื่อถึงเวลาพวกเราสองครอบครัวก็จะร่วมมือกัน และตระกูลซูนครอบครัวของพี่เขยจะช่วยทรัพยากรการติดต่อซึ่งกันและกัน หาโอกาสทั้งหมดเพื่อจะเตะอูหยางออกจากกรรมการบริษัท!”

“ครอบครัวจางฉีโม่คิดจะประจบสอพลออูหยาง ก็สามารถเป็นศัตรูกับพวกเรา ก็เท่ากับรนหาที่ตาย” จางจี้หนิงพูดพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ครั้งนี้ โครงการของจางฉีโม่และหลินอิ่งประสบความล้มเหลวไปหลายสิบล้าน ถึงแม้ว่าอูหยางจะเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปกป้องพวกเขาทั้งสอง พรุ่งนี้ก็จะสามารถไสหัวพวกเขาออกจากบริษัทแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท