ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 41 ชุมชนสุ่ยหยวน

บทที่ 41 ชุมชนสุ่ยหยวน

บทที่ 41 ชุมชนสุ่ยหยวน

“เจียงฉี? แกรู้จักเจียงฉี?” ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนไปไม่น้อย ใบหน้าทั้งโกรธทั้งอาย

“ฟางผิง เจียงฉีคือใคร?”หลี่เจิ้นถามขึ้น พบว่าสีหน้าของลูกเขยตนเองแปลกไป

“เจียงฉี คือ……”ฟางผิงสีหน้าทั้งอายทั้งโกรธ ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี

เขาไม่มีทางพูดออกไปตรงๆหรอก ว่าเจียงฉีคือผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่าตบหน้าตัวเอง

จริงๆแล้วอยากที่จะคุยโม้โอ้อวดตัวเองสักหน่อย คิดไม่ถึงว่า ไอ้เศษสวะบ้านนอกอย่างหลินอิ่ง จะบังเอิญรู้จักผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ที่ชื่อเจียงฉี

แต่ว่าคิดๆดูแล้ว หลินอิ่งรู้จักแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ?

ต่อให้ไม่ต้องโอ้อวดตัวเอง ก็เก่งกว่าไอ้เศษสวะบ้านนอกแบบเขาหลายร้อยเท่าแล้ว!

“เจียงฉีเป็นหัวหน้าของผม ผู้จัดการใหญ่ ผู้รับผิดชอบสำนักใหญ่บริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์” ฟางผิงพูดขึ้น

ลู่หย่าฮุ่ยยิ้มออกมา ในตอนนี้เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ก่อนจะพูดขึ้น“อ๋อ? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ครั้งก่อนที่นายบอกว่าตัวเองเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ ก็แค่คุยโม้อย่างนั้นเหรอ? ”

“ผมไม่ได้โม้นะ!ผมเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์!”ฟางผิงกัดฟันพูดขึ้น ทั้งรู้สึกอายและรู้สึกโมโหไม่น้อย พร้อมกับพูดอธิบาย“ผมเป็นผู้จัดการใหญ่สาขาเขตเหนือของเมืองของบริษัท”

ความจริงแล้ว สถานะของเขาเป็นเหมือนกับผู้จัดการสำนักงานสาขาย่อยแห่งหนึ่งของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์

แต่ครั้งนี้เพื่อเป็นการไว้หน้าพ่อตาแม่ยาย แน่นอนว่าต้องคุยโม้โอ้อวดให้ดูใหญ่โตไว้ก่อน หลอกลวงจางฉีโม่ตระกูลบ้านนอก

“ใช่น่ะสิ!ฟางผิงก็พูดถูก ผู้จัดการใหญ่ของสาขาย่อย แล้วมันจะทำไม?” หลี่เจิ้นพูดขึ้น“หลินอิ่ง แกคงไม่เอาการที่แกบังเอิญไปรู้จักชื่อผู้รับผิดชอบสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่ฟางผิงทำงานอยู่ แล้วจะใช้สิ่งนี้มาพูดเยาะเย้ยเขาหรอกใช่ไหม?”

“เหอะๆ พูดถึงด้านความสามารถดีกว่าไหม”หลี่เจิ้นพูดอย่างเย้ยหยัน“ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจของฟางผิงก็อยู่ตั้งระดับนี้แล้ว หรือว่ามันไม่จริง? ต่อให้ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบของบริษัทใหญ่ เขาที่เป็นถึงผู้จัดการสาขาย่อยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเขตเหนือของเมือง หรือว่ามันยังดูไม่ดีพอหรือไง?”

“ไม่รู้จริงๆว่าในหัวของแกกำลังคิดอะไรอยู่ นึกว่าตนเองได้ข้อมูลอะไรนิดหน่อย แล้วมาทำเป็นเข้าใจทุกอย่างดี”หลี่เจิ้นยิ้มอย่างดูแคลน

ลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา

ใช่สิ ต่อให้ลูกเขยของฝั่งนั้นจะโอ้อวดเกินจริงไปบ้าง แต่ความสามารถก็อยู่ระดับนี้เช่นกัน เก่งกว่าหลินอิ่งตั้งเยอะ!

“ฉันอยากรู้เหลือเกิน ว่าที่แกพูดเหมือนกับว่าแกกับผู้จัดการใหญ่ของพวกเราสนิทกันเลย? ไม่ใช่ว่าไปเก็บได้นามบัตรจากที่ไหนก็ไม่รู้ มาแล้วมาทำเป็นว่าตัวเองรู้จักหรอกเหรอ?”

“เหอะ เด็กสมัยนี้ ตนเองไร้ความสามารถเองแท้ๆ กลับเอาแต่รู้สึกว่าตัวเองรู้จักใคร คนนั้นก็คือสุดยอดแล้ว จากนั้นก็เอามาพูดโกหกหลอกลวง” หลี่เจิ้นก็พูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน“ที่จริงแล้ว คิดเอาเองทั้งเพ!”

“ผมและเจียงฉีไม่ได้สนิทกัน” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“ตอนที่ผมไปซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนครั้งที่แล้วเจียงฉีช่วยผมจัดการเรื่องธุรการต่างๆให้ ผมถึงได้รู้จักคนคนนี้”

“อะไร? แกยังบอกอีกเหรอว่าแกซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนด้วย?”หลี่เจิ้นหัวเราะอย่างสะใจ“ทำไมพูดซะเหมือนเป็นเรื่องจริงเลยล่ะ? เศษสวะแบบแกเนี่ยนะ จะซื้อไหวเหรอ? แกรู้ไหมว่าบ้านของชุมชนสุ่ยหยวนราคาแพงขนาดไหน? ยังจะกล้าคุยโม้โอ้อวดออกมาจากปากอีก!”

“ฮ่าๆๆ!”ฟางผิงก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจเช่นกัน“พวกบ้านนอกแบบแก แม้แต่จะจะพูดโม้ ยังพูดไม่เป็นเลยเหรอ? แค่พูดออกมาก็จับโป๊ะได้เยอะแล้ว!”

“ประธานเจียงเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของบริษัทพวกเรา แกรู้ไหมว่ามันคือตำแหน่งอะไร? ปกติแล้วเวลาผู้บริหารระดับร้อยล้านไปบริษัทหลัก ประธานเจียงก็ส่งเลขาไปรับตลอดแทบทุกครั้ง”ฟางผิงพูดขึ้นด้วยสายตาไม่สนใจใยดี“แล้วประธานเจียงมาช่วยแกจัดการเรื่องซื้อบ้าน? แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

“หลินอิ่ง!ถ้าแกไม่พูดจะตายหรือไง? คุยโม้เกินจริง”ลู่หย่าฮุ่ยตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ รู้สึกว่าหน้าเริ่มแดงและร้อนผ่าว

หลินอิ่งให้ตายเถอะ คุยโม้เกินจริง จนคนเขาจับโป๊ะได้หมดแล้ว คนอื่นแค่ฟังก็รู้แล้วว่าปลอม หัวสมองต้องโง่ขนาดไหนกันเชียว?

“ช่างมันๆๆหย่าฮุ่ย ไม่ต้องไปสั่งสอนลูกเขยแล้ว วัยรุ่นก็อย่างนี้แหละชอบแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน ผมเข้าใจ”หลี่เจิ้นดูสีหน้าท่าทางไม่ตรงกับสิ่งที่พูด

“เพราะว่าการชิงดีชิงเด่นกันแบบนี้แหละ ถึงต้องรู้จักสถานะของตัวเอง ถูกไหมล่ะ ปากเอาแต่คุยโม้อย่างเดียว แบบนี้มันไม่น่าขำหรือไง”

“อย่าเลย”ฟางผิงยิ้มอย่างสะใจ“บอกไม่ได้ว่าเขาซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนแถมให้ประธานเจียงไปจัดการเรื่องเองกับตัวด้วยจริงๆหรือเปล่า”

“พอดีเลย ทานอาหารกันจนอิ่มแล้ว”ฟางผิงพูดขึ้นอย่างเล่นๆ“พวกเราไปเดินเล่นที่ชุมชนสุ่ยหยวนสักหน่อยสิ ให้ผมได้ไปเปิดตา ดูบ้านที่หลินอิ่งซื้อสักหน่อย ดูสิว่าบ้านมันจะเกรดสูงขนาดไหน”

หลี่เจิ้นก็หัวเราะออกมา ก่อนจะพูดขึ้น“ข้อเสนอของฟางผิงไม่เลวเลย พอดีเลยซิ่วเฟิง หย่าฮุ่ยก็ไปดูบ้านใหม่ของตระกูลผมสักหน่อยสิ ไปดูๆหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”

ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงสีหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที หันไปมองหลินอิ่งด้วยสายตาตำหนิติเตียน

ในสถานการณ์แบบนี้มันน่าขายหน้าเสียจริง

“ช่างเถอะ คุณลุงคุณป้า มันยุ่งยากเกินไป พวกเราไม่ไปดีกว่า”จางฉีโม่เปิดปากพูดขึ้นอย่างประนีประนอม สีหน้าก็ดูบึ้งตึงเช่นเดียวกัน

“ไม่ได้ ต้องไป”หลี่เจิ้นเด็ดเดี่ยว พูดขึ้นอย่างครุ่นคิด“พูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเกิดไม่ไปดูบ้านใหม่ของผมล่ะก็ เท่ากับไม่ไว้หน้าผมสักนิดเลยเหรอ? แถม ถ้าเกิดหลินอิ่งซื้อบ้านด้วยตัวเองจริงๆล่ะ? จากนี้ไปพวกเราสองตระกูลก็จะได้เป็นเพื่อนบ้านกันไม่ใช่หรือไง?”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูหน่อยแล้วกัน” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“แบบนี้สิถึงจะถูก”หลี่เจิ้นยิ้มขึ้นมา ขณะที่พูดก็ลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่าง

ฟางผิงและหลี่หลานก็ลุกขึ้น แล้วลงไปขับรถ

“คนบ้านนอกที่เกาะผู้หญิงกินแบบแก ในใจก็รู้ดีอยู่แล้วแต่มาโกหกต่อหน้าฉันเนี่ยนะ?”ฟางผิงออกจากประตูไป ตอนที่เดินผ่านหลินอิ่ง ก็พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ลุกขึ้นลงไปเช่นเดียวกัน

“ฉีโม่ แม่บอกให้ลูกพาหลินอิ่งมาทานอาหาร แล้วตอนนี้จู่ๆมาทำเรื่องให้ขายหน้าแล้วได้ยังไง?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางไม่พอใจ เดินออกมาจากร้านอาหารปาเซียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง

จางฉีโม่เดินมาหยุดข้างๆหลินอิ่ง ก่อนจะถามขึ้น“หลินอิ่งคุณซื้อบ้านที่ชุมชนสุ่ยหยวนจริงๆใช่ไหม”

หลินอิ่งพยักหน้า

จางฉีโม่สีหน้าท่าทีสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ ทั้งครอบครัวขึ้นไปบนรถหมดแล้ว

……

หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที

ชุมชนสุ่ยหยวน ตึกสูงเรียงกันเป็นแถวๆ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในแถวบริเวณนั้นดูสวยงาม สระน้ำกลางสวนดอกไม้ เห็นแล้วสบายตา

หลินอิ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่ชั้นล่างของตึกสูงสี่สิบห้าสิบชั้นอยู่เพียงลำพัง

สูบเสร็จไปหนึ่งมวน ตระกูลของจางฉีโม่และตระกูลของหลี่เจิ้น เดินออกมาจากประตูใหญ่

หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยท่าทางพออกพอใจ“ซิ่วเฟิง หย่าฮุ่ย บ้านใหม่ของผมพูดไม่ออกเลยล่ะสิ? ซื้อมามูลค่าหนึ่งล้านสองแสนเลยนะ แม้ว่ามันไม่เหมือนกับ บ้านโทรมๆเมื่อสิบกว่าปีก่อนของชุมชนเจียงฉือ ตอนนี้ขายตะรางเมตรละสามพัน อย่างมากสุดก็แค่สามหมื่นเองใช่ไหมล่ะ?”

คู่สามีภรรยาของลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าเริ่มดูไม่ค่อยดีนัก

“ห้องห้องนี้ดูไม่เลวเลยหลี่เจิ้น ลูกเขยของตระกูลคุณมีอนาคตนะเนี่ย”จางซิ่วเฟิงแสร้งทำเป็นยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น

“พูดแบบนี้ไม่ได้สิ จะมาลูกเขยของตระกูลคุณอะไรกันล่ะ? แค่บ้านที่เกรดต่ำที่สุดของผมก็เท่านั้น”หลี่เจิ้นพูดประชด“ไปกันเถอะซิ่วเฟิง พาผมไปเปิดตาดูๆหน่อยว่าหลินอิ่งลูกเขยของตระกูลคุณซื้อบ้านแบบไหน”

“เอ่อ ช่างมันเถอะหลี่เจิ้น ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอะไรมากมายกับหลินอิ่งหรอก”จางซิ่วเฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าอึดอัด

ฟางผิงมองหลินอิ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ไปสิ ไอ้บ้านนอก บ้านที่แกซื้ออยู่ตึกไหนล่ะ? ไม่ใช่ว่ารู้สึกผิดแล้วหรือไง เลยไม่กล้าพาพวกเราไป?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท