ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 53 ของปลอม

บทที่ 53 ของปลอม

บทที่ 53 ของปลอม

สายตาหลายสิบคู่มองมาอย่างอยากรู้เห็น เวลานี้ จางฉีโม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที

สีหน้าหลินอิ่งไม่เปลี่ยน ไม่ใส่ใจ ชิมชาที่ถืออยู่ในมือขวาไปคำหนึ่ง

“ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? เขาเหรอ?” คุณชายตระกูลหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เชื่อมองไปในตัวหลินอิ่ง “ของตลาดนัดทั้งตัว ผมว่าแม้แต่ของโบราณถูก ๆ ชิ้นเดียวก็ไม่มีเงินซื้อมั้ง? ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญของโบราณ?”

“ไม่ใช่? คุณชายหวาง คุณหมายถึงหลินอิ่งลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลจางเหรอ? คงไม่ใช่ไอ้ขยะที่ขึ้นชื่อคนนั้นมั้ง?”

“ใช่ ชื่อนี้ผมก็รู้สึกคุ้นหูดี ผมกับจางเถียนไห่ของตระกูลจางสนิทสนมกันดี ได้ยินเรื่องของไอ้ขยะหลินอิ่งอยู่เป็นประจำ ได้ยินจางเถียนไห่บอกว่านายคนนี้เกาะเมียกินอยู่ที่ตระกูลจางเมียเขายังดูถูกเขาเลย อยู่บ้านก็ยกน้ำล้างเท้าให้พ่อแม่เมียทุกวัน ยังต้องขัดห้องน้ำ บางทีก็ถูกพ่อแม่เมียแขวนตัวขึ้นมาเฆี่ยน นี่มันคนที่น่าอับอายที่สุด”

“คุณชายหวาง คนไร้ประโยชน์แบบนี้นั่นเหรอ ยังกล้าบอกว่าตัวเองมีความรู้ด้านการสะสม?”

แขกในงานเมื่อรู้สถานะของหลินอิ่งแล้ว ต่างก็มีสีหน้าดูถูก พูดจาดูถูกขึ้นมา

หวางจื่อเหวินสีหน้าได้ใจ นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ

“ทุกท่านครับ รู้หน้าไม่รู้ใจ อย่างนี้ดีกว่า ผมชี้ของสองชิ้น ดูว่าคุณรู้จักไหม” หวางจื่อเหวินพูดด้วยน้ำเสียงตลก เดินไปหน้าโต๊ะยาวสีแดง ชี้ไปที่กล่องสีแดง อีกชิ้นคือกระถางทองแดง

“สองชิ้นนี้ละกัน ผู้เชี่ยวชาญหลิน ให้คนนำมาข้างหน้า ดูสักหน่อยไหม?” หวางจื่อเหวินพูดอย่างล้อเลียน

“พี่หวาง อย่างเขาเนี่ยนะยังต้องให้ดู?” ฉินเฟยสายตาดูถูก ช่วยพูดอีกแรง

“ไอ้ขยะอย่างมันถ้าแยกของจริงของปลอมได้ แยกออกว่าดีไม่ดี ชื่อผมให้เขียนกลับกันเลย” เสิ่นห้าวหัวเราะเยาะ

หลินอิ่งมองของสองชิ้นบนโต๊ะไม้แดงอย่างใจเย็น พูดขึ้น “ไม่ต้องเอามา”

“ทำไม? ผู้เชี่ยวชาญหลินยอมแพ้แล้วเหรอ?” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูก “นี่แค่เริ่มต้นเอง เลือกแค่สองชิ้นประเดิมกันก่อน แค่ให้แยกของจริงหรือปลอมแค่นั้น ก็กลัวแล้วเหรอ?”

หลินอิ่งพูดขึ้น “แยกแยะของโบราณ แค่ดูก็รู้ได้”

“เด็กสมัยนี้ชั่งโอ้อวดจริงนัก” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุผมขาวท่านหนึ่งส่ายหัวพูดขึ้น

พวกเขาร่วมงานแลกเปลี่ยนแบบนี้ในวงการบ่อย ๆ ก็พอมีความรู้ด้านของโบราณพอสมควร ใครจะไม่รู้ว่า การแยกแยะพวกของสะสมของโบราณนั้นต้องดูใกล้ๆ อย่างละเอียด ยังต้องใช้กล้องขยายส่อง และใส่ถุงมือเฉพาะเพื่อสัมผัสอย่างละเอียด แม้กระทั่งใช้จมูกดมก็มี

ถึงแม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งก็ต้องใช้เวลาดู จึงจะสรุปได้

ขยะไร้ค่าอย่างหลินอิ่ง วัตถุโบราณก็คงเคยเห็นไม่กี่ชิ้น ยังกล้าพูดว่าแค่ดูก็รู้แล้ว?

หวางจื่อเหวินหัวเราะเยาะอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “ได้เลย ผู้เชี่ยวชาญหลิน ทุกคนกำลังรอผลจากคุณอยู่ อยากถามว่ากล่องเล็กกับกระถางนี้มีที่มายังไง?”

หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ “จานสีเหลืองนี้เป็นของจริง เครื่องเคลือบดินเผาในสมัยหงจื่อราชวงศ์หมิงกระถางทองแดงนี้เป็นของเลียนแบบ เลียนแบบขึ้นอย่างละเอียดในสมัยราชวงศ์ชิง”

“นี่มัน?” หวางจื่อเหวินขมวดคิ้ว เขาแค่ชี้ของสองชิ้นไปเลื่อย ตัวเขาเองก็ยังสรุปของจริงของปลอมไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะสรุปออกมาอย่างมีเหตุมีผลแบบนี้

หวางจื่อเหวินให้ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งใส่ถุงมือหยิบจานเล็กใบนั้นขึ้นมาดู และมันก็มีสลักชื่อของสมัยหงจื่อราชวงศ์หมิงอยู่จริง

“นี่เป็นของสะสมของท่านใด? เชิญออกมาอธิบายให้ทุกคนหน่อย” หวางจื่อเหวินพูดขึ้น เขาเองก็ไม่รู้

“พี่หวาง หรือมันเป็นอย่างที่มันพูด? เป็นไปได้ยังไงไอ้ขยะนี้มันรู้ได้ พูดไปเลื่อยรึเปล่า?” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ

“ผู้ชายเกาะเมียกินอย่างมันเนี่ยนะ จะแยกแยะออกได้อย่างไร ยังพูดอย่างมีเหตุมีผล ฉันดูแล้วน่าจะแต่งขึ้นมาเองมั้ง” อูฉู่เวินพูดอย่างดูถูก และไม่ใส่ใจ

“ฉินเฟย พวกคุณไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็อย่าพูดไปเลื่อย นี่มันของสะสมของผม แน่นอนมันเป็นจานของสมัยหงจื่อราชวงศ์หมิง”

ชายหนุ่มท่านหนึ่งมองหน้าฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจริงจัง จากนั้นสายตาก็มองไปที่หลินอิ่งอย่างน่าทึ่ง

ต้องรู้ว่า ครั้งที่เขาประเมินของชิ้นนี้ ใช้เวลาไปหลายเดือน หาผู้เชี่ยวชาญไปเป็นสิบคน ล้วนพูดไปต่างกัน สุดท้ายถึงสรุปผลที่มาและจริงเท็จได้

“แค่ก แค่ก กระถางทองแดงเลียนแบบสมัยราชวงศ์ชิงชิ้นนี้เป็นของผมเอง” ผู้เชี่ยวชาญใส่แว่นสายตาคนหนึ่งพูดขึ้น มองหลินอิ่งอย่างรู้สึกอาย ก่อนหน้านี้ยังพูดจาดูถูกหลินอิ่ง แค่ชั่วสายตาเดียวเขาก็ดูของในมือตัวเองออกทันที

แค่ครู่เดียว ฉินเฟยสามคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างหวางจื่อเหวินก็พูดอะไรไม่ออก หน้าแดงก่ำ บรรยากาศเงียบกริบไปทันที

แขกที่อยู่ในงานก็ได้ดูของสะสมสองชิ้นก่อนหน้านี้แล้ว จานเคลือบสีเหลืองของหงจื่อไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกคนต่างดูออกแล้วว่าเป็นของจริง แต่อีกชิ้นคือกระถางทองแดงต่างคนต่างพูด ไม่มีบทสรุป

สายตาของทุกคนที่มองหลินอิ่งก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ได้ดูถูกเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

สายตาของหลินอิ่งคนนี้แม่นยำจนน่ากลัวเกินไปไหม?

ดูของแท้ชิ้นหนึ่งออกอาจจะเดาได้ แต่เตาซวนเด๋อที่ราชวงศ์ชิงเลียนแบบราชวงศ์หมิง แค่ดูก็ประเมินของจริงหรือปลอมได้ และยังบอกรายละเอียดว่าราชวงศ์ชิงเลียนแบบราชวงศ์หมิงได้? นี่เกรงจะไม่ใช่คนธรรมดา?

“ก็พอมีความรู้บ้าง” หวางจื่อเหวินมองหลินอิ่งพูดขึ้น “อย่างนี้ก็สนุกแล้ว หวังว่างานแลกเปลี่ยนต่อจากนี้ นายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”

“พี่หวาง ผมว่ามันก็แค่จับพลัดจับผลู เดาถูกแค่นั้น ถ้าดูต่ออีกกี่ชิ้น ก็คงความแตก” อูฉู่เวินพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“เหอะ” หวางจื่อเหวินสบถเสียง กวาดสายตามองอัญมณีบนโต๊ะไม้แดง กำลังจะเลือกเพชรสักกี่ชิ้นมาทดสอบหลินอิ่งไม่สามารถตอบได้และขายหน้า

“วันนี้ครึกครื้นขนาดนี้หรือ? ได้ยินว่า คุณชายหวางพาคนฝีมีดีมาหรือ? ได้สมญานามว่าผู้เชี่ยวชาญนักสะสมแห่งเมืองชิงหยูน?”

ในเวลานี้เอง เสียงเคร่งขรึมก็ดังขึ้นมา

ชายวัยกลางคนที่สวมชุดโบราณสมัยถังคนหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างใจเย็น ในมีกำลูกแก้วหยกสองชิ้นไว้

“อาจารย์หู?วันที่ทำไมถึงมีเวลามาหมิงเป่าซวนได้?”

“อาจารย์หู ไม่เจอกันนาน หรือวันนี้ท่านมีของรักชิ้นสำคัญจะนำมาปล่อยในวันนี้?”

ชายวัยกลางคนในชุดถังโบราณเดินเข้ามา แขกที่มาร่วมงานต่างก็ทักทายท่าน ดูแล้วน่าจะเป็นคนมีหน้ามีตาในวงการ

“ฉีโม่ คนนี้เป็นปรมาจารย์เรื่องวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน หูหมิงหยิน เธอน่าจะเคยได้ยินมั้ง?” จางหงอี้พูดแนะนำ “วันนี้ถือว่าโชคดี เมื่อไหร่ที่หูหมิงหยินมาหมิงเป่าซวน ต้องมีของมีค่าชิ้นสองชิ้นมาปล่อย ถือว่าได้เห็นเป็นบุญตาแล้ว”

“หูหมิงหยิน?ก็คือบุคคลในตำนานของเมืองชิงหยูนนั่นเหรอคะ?” จางฉีโม่ถามขึ้นด้วยสายตาประหลาดใจ แสดงว่าเคยได้ยินชื่อของบุคคลนี้แล้ว

หูหมิงหยินในวงการนักสะสมของโบราณในเมืองชิงหยูน เขาเป็นที่สอง ก็ไม่คนกล้าเป็นหนึ่งแล้ว

ที่สำคัญคนนี้มาจากครอบครัวธรรมดา เมื่อก่อนเป็นลูกศิษย์ในตลาดนักสะสม จากนั้นก็ฝึกฝนเรียนรู้ฝีมือการประเมินของมีค่า ด้วยฝีมือตัวเอง ทำงานหลายปี สะสมเงินทอง จนก่อตั้งบริษัทหมิงหยินด้วยมือตนเอง ดำเนินกิจกรรมบริษัทรับซื้อและงานประมูล จนวันนี้เป็นถึงบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน

หวางจื่อเหวินมองหูหมิงหยินไปทีหนึ่ง ยิ้มพูด “อาจารย์หู นักเชี่ยวชาญวัตถุโบราณที่ผมพูดถึงก็คือหลินอิ่งคนนี้ครับ”

“ออ?” หูหมิงหยินมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยิ้มพูด “พอดีเลย วันนี้ฉันมีของมาด้วย มีอยู่ชิ้นหนึ่งฉันเองก็ดูไม่ออก ต้องขอคำชี้แนะด้วย”

“ขอให้ทุกคนช่วยกันดูให้ด้วยนะ”

หูหมิงหยินพูดไปยิ้มไป พูดจบก็นั่งลง ตบมือ ลูกศิษย์หนุ่มสองคนที่อยู่ด้านหลัง ก็ยกหีบไม้อย่างระมัดระวังขึ้นวางบนโต๊ะ แล้วหยิบของสะสมออกมาอย่างระวัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท