ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 59ร้านชาหงฮุย

บทที่ 59ร้านชาหงฮุย

บทที่ 59ร้านชาหงฮุย

“ดูแล้วคุณหลินก็น่าจะเคยได้ยินชื่อฉันแล้ว” หวางหงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ตาหมวยยาวสวยงามมีเสน่ห์ยิ่งเห็นได้ชัด “ตอนแรกคิดว่าคุณหลินแค่ไม่ธรรมดาในเรื่องของสะสมโบราณเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าวิชาการต่อสู้จะดีขนาดนี้”

“คุณหาผมมีธุระอะไร?” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้มาหาเขาเพราะอะไร

หวางหงหลิงพูดขึ้น “คุณหลิน วันนี้คุณทำให้เรื่องสำคัญของฉันพัง คุณว่าฉันหาคุณเพราะเรื่องอะไร?”

หลินอิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ยิ้มขึ้นมาแล้วพูด “หูหมิงหยินเป็นคนของคุณ?”

“ฉลาด” หวางหงหลิงท่าทางภูมิใจ สายตาชื่นชม

“เรื่องนี้เดิมเป็นแผนที่ฉันวางขึ้นมา เพื่อให้พี่ชายหน้าโง่ของฉันตกหลุมพราง” หวางหงหลิงถอนหายใจอย่างดัดจริต “ตอนแรกว่าจะรอจนถึงวันเกิดคุณปู่ หวางจื่อเหวินเอาแจกันไปให้ท่าน ฉันจะได้เปิดโปงว่านั่นมันเป็นของปลอม แต่เสียดาย โดยคุณทำลายแล้ว ทำให้ฉันเสียแผนหมด”

หลินอิ่งพูดขึ้น “แผนดี”

เขาจะไม่รู้สถานการณ์ได้อย่างไร แจกันคู่นั้นของหูหมิงหยินเป็นแผนการ เพราะจะให้หวางจื่อเหวินติดเบ็ด รอไอ้โง่นั่นดีใจที่ได้แจกันมาแล้วเอาไปอวยพรวันเกิด คนที่อยู่เบื้องหลังหวางหงหลิง ก็ขึ้นมาเปิดโปงว่านั่นคือของปลอม ต่อหน้าคุณปู่ตระกูลหวาง ในงานวันเกิดอายุแปดสิบ ทำให้คุณปู่ของตระกูลหวางผิดหวังในตัวหวางจื่อเหวินอย่างที่สุด

นี่คือการอยากเหยียบหวางจื่อเหวินให้ตายไปเลย

การแย่งชิงกันภายในตระกูลผู้ดีแบบนี้ แย่งชิงตำแหน่งคนสืบทอด ก็ถือว่าเห็นมามากแล้ว

แต่ว่า ต้องพูดว่า หวางหงหลิงคนนี้ มีนักฆ่ามืออาชีพสองคนติดตามอยู่ และมีหมากตัวสำคัญซ่อนอยู่ข้างหลังอย่างหูหมิงหยินที่มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญด้านสะสมของโบราณ ถือว่าเป็นผู้หญิงไม่ธรรมดา

“คุณหลิน คุณว่า คุณทำลายแผนฉันแบบนี้ ควรชดเชยให้ฉันยังไง?” หวางหงหลิงพูดขึ้นมาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

หลินอิ่งพูด “การแย่งชิงกันภายในของตระกูลหวาง เกี่ยวอะไรกับผม”

“คุณหลิน พี่รองของฉันโง่จนหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ว่า ตระกูลหวางของเราไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด ถ้าคุณคิดว่าลำพังคุณคนเดียว จะต่อต้านกับตระกูลหวางทั้งตระกูลได้?”หวางหงหลิงเสียงขรึม มีแววตักเตือนอยู่ในน้ำเสียง

“คุณคิดว่า พี่รองที่โง่เขลาของฉันจะปล่อยคุณไปง่าย ๆ เหรอ?” หวางหงหลิงพูดขึ้นเสียงเรียบ น้ำเสียงเข้มขรึม “คุณหลิน เรื่องที่เกิดขึ้นในหมิงเป่าซวนฉันเห็นหมดแล้ว คุณเป็นคนมีความสามารถ ฉันจะให้โอกาสคุณ ช่วยฉันทำงาน สำหรับเรื่องหวางจื่อเหวิน คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วง”

หลินอิ่งรู้สึกสนใจขึ้นมา ถามขึ้น “คุณมั่นใจเหรอว่าผมจะช่วยคุณทำงาน?”

“คุณปฏิเสธได้เหรอ?” หวางหงหลิงหัวเราะคิกคิกขึ้นมา หัวเราะอย่างมีเสน่ห์

เท่าที่เธอดู นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับหลินอิ่ง ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเธอ เขาจะเอาอะไรไปสู้กับหวางจื่อเหวิน? ถึงหวางจื่อเหวินจะโง่ขนาดไหน ก็ยังเป็นคุณชายรองของตระกูลหวาง เมื่อถูกบีบคั้นการฐานะเงินทอง ลำพังความสามารถในการประเมินของมีค่าแน่นี้มีประโยชน์อะไร?

“ผมไม่สนใจ” หลินอิ่งส่ายหัว

“คุณหลิน คุณไม่กังวลการแก้แค้นของหวางจื่อเหวินเหรอ?” หวางหงหลิงขมวดคิ้วถามขึ้น

หลินอิ่งยิ้มไม่พูดอะไร

หวางหงหลิงพูดขึ้นจริงจัง “คุณหลิน สถานที่นี้คุยไม่ค่อยสะดวก เราหาที่นั่งคุยอย่างละเอียดกันดีกว่า?”

“ไม่จำเป็น” หลินอิ่งส่ายหัวพูดจบก็หันหลังกลับ

“คุณ” หวางหงหลิงโกรธจนหน้าแดง เธอไม่เคยเจอคนอย่างหลินอิ่ง ไม่พิจารณาแม้แต่น้อยก็ปฏิเสธ การเชื้อเชิญจากเธอคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวาง

ไม่รู้เขาเอาความกล้ามาจากไหน

“หลินอิ่ง กับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณทำแบบนี้จะไม่สุภาพบุรุษเกินไปไหม?” หวางหงหลิงพูดจาตัดพ้อขึ้น ท่าทางออดอ้อน “ฉันอุตส่าห์มาช่วยคุณกำจัดคนที่หวางจื่อเหวินส่งมา คุณคิดดู ถ้าไม่ใช่แผนการของฉัน คุณจะทำให้หวางจื่อเหวินขายหน้าได้อย่างไร? ตอนนี้ แค่เวลาดื่มชาสักแก้วก็ไม่มีเลยเหรอ?”

สีหน้าของชายชุดดำทั้งสองคนจากเรียบเฉย ตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป

ในความทรงจำของพวกเขา คุณหนูใหญ่ไม่เคยมีท่าทีอ่อนโยนแบบนี้กับผู้ชายคนไหนมาก่อน จากนิสัยของคุณหนูใหญ่แล้ว เมื่อโดนหลินอิ่งปฏิเสธไปครั้งหนึ่ง ก็น่าจะโมโหแล้วสั่งให้พวกเขาซ้อมหลินอิ่งไปนัดหนึ่งแล้ว?

ทำไมถึงได้เกรงใจกับหลินอิ่งที่เขาลือกันว่าไอ้ขยะขนาดนี้ ?

หลินอิ่งลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า

ชายชุดดำสองคนเดินไปขับรถบูกัตติ เวย์รอนสีแดง หวางหงหลิงขึ้นไปนั่งหลังคนขับ และหลินอิ่งก็ตามเข้าไปนั่งข้าง

ครู่เดียว รถก็ขับออกไปจากซอบโบราณ ขับเข้าไปในถนนที่คึกคัก รถสปอร์ตสีแดงคันนี้โดดเด่นกลางถนน ดึงดูดสายตาผู้คน

หลินอิ่งนั่งเงียบอยู่ด้านหลังไม่พูดอะไร ภายในรถตกแต่งอย่างหรูหรา นั่งอย่างสบาย และยังมีกลิ่นน้ำหอมจากดอกกุหลาบ เสมือนผู้หญิงทุกคนล้วนชอบดอกกุหลาบ

จากกลิ่นดอกกุหลาบ หลินอิ่งหันไปมองหวางหงหลิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง แล้วหันกลับมา

ต้องบอกว่า ผู้หญิงคนนี้หน้าตาสวยจนเป็นภัย ขาเรียวยาวมีเสน่ห์ หุ่นสวยเซ็กซี่ ไม่แปลกใจที่ได้ชื่อว่าเป็นสามงามแห่งเมืองคู่กับฉีโม่ หน้าตาบุคลิกและยังมาจากครอบครัวผู้ดีมีตระกูล

“เป็นไงบ้าง? รถของฉันคันนี้ใช้ได้ไหม?” หวางหงหลิงท่าทางภูมิใจ พูดโอ้อวดขึ้น

“ก็งั้น ๆ” หลินอิ่งตอบ

“เหอะ” หวางหงหลิงทำเสียง ท่าทางยังคงภูมิใจ

เธอก็รู้สถานภาพของหลินอิ่ง ก็เป็นเพียงแค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลจางที่เกาะเมียกิน ยังกล้าบอกว่ารถรักของเธอรถบูกัตติ เวย์รอนสีแดงว่าแค่งั้น ๆ?

ยี่สิบนาทีผ่านไป

รถสปอร์ตคันนี้จอดลงที่หน้าร้านชาที่ตกแต่งแบบโบราณอย่างสง่างาม หลินอิ่งกับหวางหงหลิงลงจากรถ

ชั้นบนของร้านมีป้ายแขวนอยู่ว่า ร้านชาหงฮุย

พนักงานต้อนรับหญิงหน้าร้าน พาหลินอิ่งและหวางหงหลิงขึ้นมาที่ชั้นสาม

การตกแต่งภายในชั้นสามเป็นแบบโบราณ สวยสง่าคลาสสิค หลินอิ่งสองคนมาถึงห้องอาหาร ชายชุดดำสองคนยืนเฝ้าประตูอยู่ด้านนอก

“คุณหลินยินดีต้อนรับครับ เชิญนั่ง ดื่มน้ำชา”

หลินอิ่งเพิ่งเข้ามา ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

หูหมิงหยินยื่นน้ำชาแก้วหนึ่งให้ด้วยรอยยิ้ม

หลินอิ่งไม่ได้เกรงใจ ก็รับน้ำชามา แล้วนั่งลงกับที่ และหวางหงหลิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“คุณหนูใหญ่ อาหารจัดเตรียมไว้เรียบแล้ว” หูหมิงหยินพูดขึ้นด้วยความเคารพ พูดจบ ก็หันไปยิ้มให้หลินอิ่ง แล้วถอยไปยืนอยู่ด้านหลังของหวางหงหลิง

หวางหงหลิงพยักหน้า มีบุคลิกความเป็นผู้นำ

บนโต๊ะกลมเต็มไปด้วยอาหารหลายสิบอย่าง กลิ่นหอมเย้ายวน สีสันอร่อย ล้วนเป็นอาหารเลื่องชื่อ มีทั้งเนื้อทั้งเจ แกง ยำ ของหวาน ครบถ้วน พิถีพิถันทุกอย่าง

“หลินอิ่ง ฉันของเรียกคุณแบบนี้ละกัน” หวางหงหลิงพูดขึ้น สายตาจ้องไปที่หลินอิ่ง อย่างสนอกสนใจ “เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินชื่อคุณ ล้วนแล้วแต่เรียกคุณว่าไอ้ขยะ แต่นึกไม่ถึงว่าคุณยังรอบรู้เรื่องวัตถุโบราณ วิชาต่อสู้ก็ใช้ได้ ดูแล้ว หัวสมองก็ใช้ได้”

“ฉันอยากให้โอกาสคุณ ให้คุณเป็นผู้ช่วยของหูหมิงหยิน เงินเดือนปีละล้าน” หวางหงหลิงพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “แล้วจะช่วยคุณจัดการปัญหา ที่คุณก่อขึ้นในหมิงเป่าซวน ฉันว่าจากสถานการณ์ของคุณ คงปฏิเสธข้อเสนอฉันไม่ได้หรอกนะ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท