บทที่ 56 ตกตะลึงทั่วกัน
“นายพูดอะไร? แจกันที่ฉันซื้อเป็นของปลอม?” หวางจื่อเหวินตะลึงไปก่อน จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เสมือนได้ยินคำที่ตลกที่สุดในโลก
“ผู้เชี่ยวชาญหลิน แจกันที่ฉันซื้อ ทุกคนในงาน ไม่มีใครดูออกว่ามันมีปัญหา ฉันอยากฟังดู ว่านายดูจากตรงไหนว่ามันเป็นของปลอม?”
หวางจื่อเหวินมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ฉันขอบอกนายนะ ถ้าวันนี้นายพูดอะไรไม่ออก นายต้องขอโทษทุกคนในงานนี้ ตรงนี้ และยอมรับว่านายก็แค่ไอ้ขี้โม้ที่ไร้ประโยชน์”
“ไม่อย่างนั้น วันนี้ไม่มีคนปล่อยนายไปจากหมิงเป่าซวนแน่” น้ำเสียงของหวางจื่อเหวินเต็มไปด้วยความข่มขู่
“ใช่ พวกเราผู้เชี่ยวชาญตั้งเยอะก็เห็นด้วยแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาตรงไหน นายดูตรงไหนว่าเป็นของปลอม? ถ้าพูดไม่ออก วันนี้นายต้องคลานออกจากหมิงเป่าซวน” เสิ่นห้าวพูดอย่างอวดดี
หลินอิ่งไม่สะทกสะท้าน จีบชาคำหนึ่ง พูดขึ้น “มั่นใจนะว่าจะให้ฉันยืนยันว่ามันเป็นของปลอม?”
“ได้ นายพูดเหมือนมั่นใจเหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นก็ยืนยันให้ฉันดู ว่ามันปลอมตรงไหน” หวางจื่อเหวินถามอย่างสงสัย สีหน้าดูถูก
ถ้วยเฉิงหว้าคู่นี้ ทุกคนที่อยู่ในงานล้วนบอกเป็นของจริง แต่แค่ไม่กล้าพูด แต่เขาดูอย่างชัดเจนแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทุ่มเงินมากมายซื้อไว้ ยังจะให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณปู่อีก
แค่ไอ้ขยะอย่างหลินอิ่ง ยังกล้าตัดสินว่าเป็นของปลอม ยื่นหน้าตัวเองมาให้คนอื่นตบแท้ ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้นายสมหวัง”
หลินอิ่งยิ้มหน้าเฉย วางแก้วน้ำชาในมือ ดีดแก้วออกไปทันที แก้วน้ำชาใบเล็กปลิวอยู่กลางอากาศ
เพล้ง
แก้วชาใบเล็กลอยออกไป ชนเข้ากับแจกันคู่นั้น ทะลุแจกันที่ดูเป็นงานประณีตอย่างดีทั้งสองชิ้นทันที เสียงแตกเพล้งดัง แตกกระจายไปทั่ว บนโต๊ะไม้สีแดง
“นี่มัน”
“พระเจ้า ของล้ำค่าขนาดนี้โดนนายทำแตกหมด”
เมื่อเห็นชิ้นส่วนแจกันแตกกระจายบนโต๊ะไม้แดง ทุกคนในงานก็ตกตะลึงกันหมด อุทานเสียงออกมา
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้พวกเขาตกตะลึงกันหมด
ในงานเงียบสนิท……
“นาย ไอ้ขยะนายทำอะไรของนาย?” หวางจื่อเหวินหน้าเขียว มองหน้าหลินอิ่งอย่างโมโห ตาลุกเป็นไฟ “นายกล้าทำสมบัติฉันแตก? นายชดใช้ด้วยชีวิตนายเถอะ”
“นายมันรนหาที่ตาย กล้าทำของขวัญที่พี่หวางเตรียมจะให้คุณปู่แตก ในเมืองชิงหยูนไม่มีใครช่วยนายได้แล้ว ไปคุกเข่าให้พี่หวาง” ฉินเฟยตะโกนชี้หน้าหลินอิ่ง
“นายคิดว่าพวกเราไม่กล้าลงมือกับนายเหรอ? ต่อยจนนายคุกเข่าลงค่อยว่ากัน” เสิ่นห้าวลุกขึ้นกะทันหัน
ฉินเฟยกับเสิ่นห้าว สุนัขเสียขาทั้งสอง ท่าทางดุดันเดินเข้าไปจะไปสั่งสอนไอ้ขยะมารนหาที่ตาย
ทั้งสองคนพุ่งเข้าไป ไม่พูดอะไรสักคำยกหมัดจะต่อยไปที่หน้าหลินอิ่ง
หลินอิ่งยังนั่งอยู่กับที่ชิมชาอย่างใจเย็น ยิ้มอย่างเย็นชา ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ตบไปสองที
เพียะ เพียะ
เสียงดังฟังชัดสองที ฉินเฟยกับเสิ่นห้าวเหมือนโดนค้อนทุบ ถูกตบจนตัวหมุน ตัวเอียงยืนไม่อยู่ ถอยออกไปเป็นสิบเมตร แล้วล้มลงที่พื้น ร้องเสียงดังออกมา
ฉินเฟยกับเสิ่นห้าวจับหน้าที่แสบร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ จ้องหน้าหลินอิ่งตาลุกเป็นไฟ แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้นไปต่อยหลินอิ่งอีก
บนหน้าทั้งสองคนมีรอยนิ้วมือห้าคิ้วอย่างชัดเจน ดูแล้วตลกมาก
“หลินอิ่ง แกอยากตายใช่ไหม?” หวางจื่อเหวินมองหน้าหลินอิ่งอย่างดุดัน โมโหอย่างลุกเป็นไฟ “ทำสมบัติฉันแตกไม่พอ ยังกล้าตบคนของฉันอีก?”
หลินอิ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่โต๊ะไม้แดง หยิบเศษแจกันขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
“แจกันใบนี้ด้านในเมื่อเผาเสร็จแล้ว ลายเส้นที่ออกมาตามธรรมชาติ มันสวยเกินไป เพียงพอที่จะตัดสินได้ว่ามันเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาใหม่” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างใจเย็น
พูดจบ ก็โยนเศษแจกันในมือไปที่ตัวของหวางจื่อเหวิน
หวางจื่อเหวินสีหน้าตะลึง เก็บเศษแจกันขึ้นมาดู จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เหมือนอั้นอะไรอยู่ หน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ
แขกในงานต่างก็ยังอยู่ในอาการตกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินอิ่งแล้ว รีบคืนสติกลับมา แล้วเดินไปที่โต๊ะไม้แดง สังเกตเศษแจกันอย่างสีหน้าจริงจัง
“คุณหลินพูดถูกแล้ว ถ้าดูจากเศษแจกันแล้วก็แยกออกมาแล้ว เศษพวกนี้ลายด้านในชัดเจน เรียบเนียน สมบูรณ์แบบเกินไป งานเครื่องปั้นของคนโบราณ ล้วนเป็นงานที่ใช้มือปั้นขึ้นมา เผาออกมาแล้วลายเส้นด้านจากเป็นลายธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะสมบูรณ์แบบอย่างนี้ นี่เป็นของใหม่” ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพูดขึ้นจริงจัง
“เป็นของปลอมจริง ๆ ทำของเลียนแบบได้ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ทุบให้แตกแล้วดูลายด้านใน จะแยกออกได้อย่างไร?” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุใส่แว่นท่านหนึ่งพูดขึ้นอย่างตะลึง ในมือมีกล้องขยายกำลังส่องดูเศษแจกัน
“หลินอิ่งไม่ได้พูดไปเลื่อย เป็นของปลอมจริง ถ้าอย่างนั้นเขาดูจากด้านนอกออกได้อย่างไร? สายตาดีจนน่าทึ่งเกินไปแล้ว?” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง
“ไม่น่าเชื่อ ฝีมือนี่เทียบเท่าของจริงได้ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ทุบให้แตก ใครจะไปรู้ว่าเป็นของปลอม? แต่หลินอิ่งเพียงแค่มองอยู่ไกล ๆ ก็ดูออกได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร? เขากล้าทุบแตกได้อย่างไร นี่มันของราคาสามสิบล้าน กล้าตัดสินขนาดนี้? นี่เขาช่างกล้าเหลือเกิน?” คุณชายท่านหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
คนที่อยู่ในงานเมื่อรู้ผลแล้ว ต่างก็มีสีหน้าตกใจ มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมว่าคงไม่มีคนสงสัยแล้วนะ? เศษแจกันที่แตกแล้ว แม้กระทั่งคนเพิ่งเข้าวงการนี้ ก็ต้องแยกออกว่าเป็นของปลอม”
พูดถึงตรงนี้ หลินอิ่งสีหน้าเย็นชามองไปที่หวางจื่อเหวินที่หน้าซีด
“ใช้เงินสามสิบล้านซื้อของปลอม ยังพูดเหมือนมีความรู้อย่างไม่รู้จักอาย? ความสามารถกับสายตาแค่นี้ ยังกล้าพูดว่าตัวเองมาจากครอบครัวนักสะสม?” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ก็แค่คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ยังกล้าพูดว่าตัวเองมาจากครอบครัวผู้ดี? ตลกคนทั้งโลกแล้ว”
พูดจบ หลินอิ่งก็ดูไปที่จางหงอี้ ยิ้มอย่างเย็นชา “ นี่เหรอหลานที่คุณยกย่องนักหนา? รอบรู้ทั้งจีนและตะวันตก? ขนาดเรื่องใช้เงินสามสิบล้านซื้อของปลอมยังทำขึ้นมาได้? โง่ยิ่งกว่าหมูกว่าหมา คนแบบนี้เหรอที่จะแนะนำให้ฉีโม่?”
“แก แก” หวางจื่อเหวินโมโหจนหน้าแดง สายตาลุกเป็นไฟมองไปที่หลินอิ่ง อยากโต้แย้งกลับไป แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
จางหงอี้ก็หน้าแดงก่ำ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์ขายหน้าแบบนี้ขึ้นได้
“หลินอิ่ง แกคิดว่าแค่โชคดีรู้จักของโบราณชิ้นหนึ่งก็ทำอะไรได้ กู กู ยังไงแล้วกูก็รวยกว่ามึง” หวางจื่อเหวินโดนตอกกลับจนไม่รู้จะพูดอะไร ภายใต้สีหน้าแดงก่ำ ก็พูดออกมาได้แค่นี้
หลินอิ่งยิ้มพูด “อย่าไปพูดว่านายมาจากครอบครัวผู้ดีอันดับหนึ่งในเมืองชิงหยูน ร่ำรวยมหาศาล ให้เงินนายเป็นร้อย ร้อยล้าน โง่ยิ่งกว่าหมูกว่าหมา ยังคู่ควรกับทรัพย์สมบัติพวกนี้เหรอ?”
คำพูดของหลินอิ่ง เหมือนเข็มทิ่มลงกลางอกเขาทีละเข็ม ทำให้เขารู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออก มีความรู้สึกอยากมุดเข้าไปในดินทันที
ทำไมถึงดูพลาดได้ สามสิบล้านซื้อสองปลอม ถึงแม้จะมีเงินแค่ไหน ในใจก็เหมือนเลือดอาบ
อีกอย่าง เงินจ่ายไปก็แล้วไป ยังขายหน้าจนไม่มีชิ้นดี กลายเป็นตัวตลกในงานเลย
นี่มันใช้เงินขายหน้าตัวเองจริง ๆ
หวางจื่อเหวินสมองมึนไปหมด ใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว
นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้คนสังคมผู้ดีทั้งหลายรวมตัวกันที่หมิงเป่าซวน
ก่อนหน้านี้ก็โอ้อวดต่างๆ นานา ต่อหน้าจางฉีโม่ และยังดูถูกหลินอิ่งอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏแค่ไม่นาน ก็โดนไอ้ขยะอย่างหลินอิ่งด่าจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ยังไม่สามารถคัดค้านได้