ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 66 วิลล่าหิมะมังกร

บทที่ 66 วิลล่าหิมะมังกร

บทที่ 66 วิลล่าหิมะมังกร

“ไม่ต้องต้อนรับหรอก” หลินอิ่งพูดขึ้น

“ครับ ทำตามที่ประธานหลินต้องการเลยครับ” เจียงฉีพูดขึ้น

วิลล่าหิมะมังกรเป็นวิลล่าที่หรูที่สุดในเมืองชิงหยูน และถูกขนานนามว่าเป็นพื้นที่ใจกลางรวมคนร่ำรวย คนที่อาศัยอยู่ในวิลล่าไม่ใช่ข้าราชการระดับสูวของเมืองชิงหยูน แต่เป็นคนที่ร่ำรวยมาก เพราะคฤหาสน์ทุกหลังมีราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งพันล้านขึ้นไป

ถึงแม้ไม่ทราบประวัติความเป็นมาของหลินอิ่ง แต่เขาเชื่อมั่นว่าหลินอิ่งมีกำลังทรัพย์มหาศาลแน่นอน

สำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ที่เขาดูแลทั้งหมด มีหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ที่วิลล่าหิมะมังกรพอดี ดังนั้นเขาสามารถช่วยหลินอิ่งจัดการคฤหาสน์ระดับหรูให้กับหลินอิ่งได้

แน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาต้องทุ่มเงินจำนวนไม่น้อยกับนายหน้า

แต่เขาอยากเชื่อมต่อความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินอิ่ง เพราะมีเรื่องใหญ่ที่ต้องการขอความช่วยเหลือ ดังนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรล้วนไม่มีปัญหา!

“ประธานหลินครับ ดึกมากขนาดนี้ ทำไมจู่ๆนึกคิดอยากซื้อคฤหาสน์ล่ะครับ?” เจียงฉีซักถามขึ้น

อันที่จริงเขามีความสงสัยต่อหลินอิ่งมากไม่น้อย ทั้งที่เป็นบุคคลร่ำรวย แต่ปกติกลับไม่ขับรถ สวมเสื้อผ้าตามอำเภอใจ อีกอย่างก็พักอาศัยอยู่พื้นที่ธรรมดาอย่างชุมชนสุ่ยหยวนด้วย

แต่กลับสามารถโยนทิ้งบัตรธนาคารใบหนึ่งที่ข้างในมีเงินยี่สิบกว่าพันล้านได้ แบบนี้หมายความยังไงกัน?

“ไม่มีบ้านพักนะสิ ถูกคนไล่ออกจากบ้าน” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบง่ายขึ้น

“เป็นไปไม่ได้ครับ มีใครบ้างกล้ายึดครองบ้านของคุณ สงสัยคงไม่อยากมีชีวิตแล้วแน่เลย?” เจียงฉีเผยสายตาแปลกใจแฝงไม่อยากจะเชื่อขึ้น

เมื่อลองครุ่นคิดสักพัก เจียงฉีก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะประจบสอพลอหลินอิ่ง เลยพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า : “ประธานหลินครับ ชุมชนสุ่ยหยวนอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทพวกเรา ดังนั้นผมสามารถแทรกแซงได้ และสามารถช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคุณได้ด้วยครับ”

สถานที่อื่นไม่กล้าแทรกแซง แต่ชุมชนสุ่ยหยวน เจียงฉียังพอมีความสามารถแทรกแซงอยู่

“ผมถูกพ่อตาแม่ยายไล่ออกมาครับ” หลินอิ่งหัวเราะประชดตัวเองเล็กน้อย

เจียงฉีนิ่งอึ้งทันที และไม่รู้จะพูดยังไงต่อ

เขาครุ่นคิดในใจเงียบๆสักพัก ก่อนหน้านี้เคยไปสอบถามเรื่องของหลินอิ่งมาก่อนแล้ว และทราบมาว่าหลินอิ่งเป็นลูกเขยของตระกูลจาง คนนอกต่างเรียกขานเขาว่าเป็นไอ้ขยะ ซึ่งคนตระกูลหลินต่างพากันรังเกียจเขา

ส่วนพ่อตาและแม่ยายของประธานหลินก็คือคนของตระกูลจางไม่ใช่หรอ?

เจียงฉีแค่นเสียงประชดออกมา หืม คนของตระกูลจางมีพระอยู่เบื้องหน้ากลับไม่บูชา แถมกลับบอกว่าเป็นลูกเขยขยะ และไล่ออกจากบ้านด้วยหรอ?

“อืม ประธานหลิน คุณนี่มีความอดทนมากเลยนะครับ” เจียงฉียิ้มอย่างเก้อเขินขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกโมโหแทนหลินอิ่งด้วย

หลินอิ่งสูบบุหรี่ม้วนหนึ่ง แล้วเหลือบมองเจียงฉีแวบหนึ่ง

“เจียงฉี เบื้องหลังเจ้าของของสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ของพวกคุณคือใครหรอ?” หลินอิ่งซักถามขึ้น

การที่เจียงฉีสามารถช่วยตัวเองเข้าอาศัยที่วิลล่าหิมะมังกรอย่างมั่นใจคืนนี้ได้ บ่งบอกว่า สำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนต้องเป็นคนลงทุนวิลล่าหิมะมังกรแน่

แต่สิ่งที่ควรรู้คือ คฤหาสน์ที่หรูที่สุดในเมืองชิงหยูนแห่งนี้ไม่ใช่ใครสามารถครอบครองได้ แม้แต่คนมีเงินมหาศาลก็ตาม

เจียงฉีเผยสีหน้าสับสนเล็กน้อยขึ้น และพูดขึ้นว่า : “หุ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์คือตระกูลซูน แต่คณะกรรมการบริหารไม่เคยปรากฏเลย สนใจแต่กำไร”

“ห่ะ? ตระกูลซูนหรอ?” หลินอิ่งพูดต่อว่า “งั้นคุณรู้จักซูนเหิงไหม?”

“ซูนเหิง….” เจียงฉีเผยสายตาขุ่นเคืองอย่างชัดเจนขึ้น จากนั้นก็รีบกลบเกลื่อน

“รู้จัก เขาเป็นพี่ใหญ่ของผมเอง” เจียงฉีเผยสีหน้าหม่นหมองขึ้น “ประธานหลิน ผมพูดแบบนี้ต่อหน้าคุณเท่านั้น”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย และจ้อมองเจียงฉีด้วยสายตาลึกซึ้ง

เขาพอรู้คร่าวๆแล้วว่า ทำไมเจียงฉีที่เป็นผู้จัดการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดสาขาเหนือ ถึงยอมไปกล่าวขอโทษที่อาคารเป่าติ่งด้วยตัวเอง

“คุณเป็นฉลาด มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ” หลินอิ่งพูดขึ้น

ที่เจียงฉีตีสนิทกับตัวเองเพราะมีเป้าหมาย แต่เพราะเจียงฉีเป็นคนรู้จักวางตัว เลยไม่ถือสาที่ให้โอกาสสักครั้ง

เจียงฉีหันหน้ามองหลินอิ่งด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย

เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า : “ประธานหลินครับ ก่อนอื่นผมต้องกล่าวขอโทษคุณด้วย ที่ผมตีสนิทกับคุณ เพราะผมต้องการที่หลบภัย แต่ผมมีความจริงใจนะครับ”

หลินอิ่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

เจียงฉีพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า : “ผมรู้ว่าคุณกับซูนเหิงไม่ถูกคอกัน ผมเองก็มีความแค้นต่อซูนเหิงด้วย แต่พึ่งพาตัวผมเพียงคนเดียว ต่อให้พยายามชั่วชีวิตก็คงต่อกรกับเขาไม่ได้!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจียงฉีก็กัดฟันแน่น เหมือนกับนึกถึงเรื่องในอดีตที่เลวร้ายขึ้น

“คุณพูดต่อเถอะ” หลินอิ่งพูดขึ้น

“อันที่จริงเราสองคนมีส่วนเหมือนกันหลายอย่าง ผมเองก็เป็นลูกเขยเหมือนกัน” เจียงฉีส่ายหน้ายิ้มขืนข่มขึ้น “ผมเข้ามาอยู่ในตระกูลซูนมาสิบปีแล้ว ในตอนแรกสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์เป็นผมคนเดียวที่ดำเนินกิจการ จนกลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดทางภาคเหนือ ส่วนตระกูลซูนทำหน้าที่รอรับกำไรเท่านั้น และยังกีดกั้นอนาคตของผมด้วย ผมทำงานอย่างยากลำบากหลายปีเพื่อตระกูลซูน แต่คิดไม่ถึงว่า พวกเขากลับไม่อนุญาตให้ผมพูดกี่คนอื่นว่า ผมเป็นคนของตระกูลซูน……”

“มันเป็นเรื่องอับอายในครอบครัว แต่ผมไม่ถือสาหรอก ในตอนนั้นเพื่อกำไร ซูนเหิงจับคู่ภรรยาของผมกับน้องสามของตระกูลหวาง ต่อมาผมจับได้ แต่ซูนเหิงกลับเหยียบย่ำผมจมดิน และบอกผมว่า หากผมไม่ยินยอม เขาจะทำให้ผมหายสาบสูญในเมืองชิงหยูนทันที!” เจียงฉีกัดฟันพูดด้วยสีหน้าเคียดแค้น “อันที่จริงตอนนี้ผมใช้ชีวิตสุขสบายดี สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่เงินหรอกครับ ผมแค่ต้องการศักดิ์ของผู้ชายเท่านั้น!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจียงฉีดก็กำหมัดไว้อย่างแน่น พร้อมถอดใบหน้าเป็นสีหน้าที่จริงใจที่สุดออกมา

ตอนแรกเขาอดทนใช้ชีวิตผ่านมา จนสามารถปลงได้แล้ว และคิดว่าชั่วชีวิตนี้ตัวเองคงไม่มีความสามารถเป็นคู่ต่อกรที่สมฐานะกับซูนเหิงได้

แต่การปรากฏตัวของหลินอิ่งเหมือนกับแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่มอบความหวังและโอกาสในการแก้แค้นขึ้น…..

หลินอิ่งเผยสีหน้าปกติ ไม่มีความรู้สึกอะไร

“แล้วภรรยาของคุณ?” หลินอิ่งซักถามขึ้น

“เธอ….ผมไม่ได้อยู่ร่วมห้องกับเธอมาหลายปีแล้ว พบกันแต่ตอนปีใหม่เท่านั้น” เจียงฉีเผยสายตาเคียดแค้นขึ้น “ตอนนี้ผมยังมีประโยชน์อยู่ และเป็นอุปกรณ์หาเงินให้กับตระกูลซูน ดังนั้นพวกเขาเลยกีดกั้นผมไม่ให้ก้าวหน้า!”

“ตอนแรกตระกูลซูนเห็นแก่ฐานะคณะกรรมการประจำจังหวัดของคุณท่านผมเลยยอมให้ผมเป็นลูกเขยของตระกูลซูน แต่หลังจากที่คุณปู่ของผมจากไป ไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหน ในสายตาของพวกเขาก็เป็นแค่เรื่องตลก ผมพยายามสร้างสำนักงานใหญ่บริษัทโอเซี่ยนอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโต แต่ผมกลับเป็นหุ่นเชิดเท่านั้นเอง” เจียงฉียิ้มอย่างจนปัญญาขึ้น

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า : “ผมให้โอกาสคุณครั้งหนึ่งทำลายตระกูลซูนให้พังพินาศด้วยมือของคุณเอง”

เจียงฉีเงยหน้ามองหลินอิ่งขึ้น พร้อมเผยสายตาเป็นประกาย แต่หลินอิ่งกลับมีสีหน้าตาเฉย

“ขอบคุณครับ ประธานหลิน!” เจียงซีพูดขึ้น

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และคิดว่าเจียงฉีน่าจะสามารถทำสำเร็จ

ระหว่างที่พูดคุยกัน รถยนต์ก็มาถึงวิลล่าหิมะมังกร

เจียงฉีเปิดประตูรถขึ้น แล้วรีบเดินตามหลังหลินอิ่ง

ณ คฤหาสน์วิลล่าหิมะมังกร

ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำชิงหยูน แนวสันเขาภูเขาหิมะมังกร ได้ยินมาว่า ก่อนก่อสร้างได้เชิญสินแซ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองตุงไห่มาเลือกสถานที่

หลินอิ่งกวาดตามองรอบบริเวณรอบหนึ่ง วิลล่าหิมะมังกรมีบรรยากาศร่มรื่น ถือเป็นคฤหาสน์ที่สง่าไม่ธรรมดาเลย ใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพ การออกแบบก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้วย

เมื่อมองที่ไกลก็จะเห็นคฤหาสน์หลังหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับมีมังกรอยู่แนวสันเขา

สมกับเป็นคฤหาสน์ระดับหรูที่สุดในเมืองชิงหยูนจริงๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท