บทที่ 72 แม้ว่าจะถูกทุบตีก็ต้องยืนตัวตรง
“ทำไม คุณยังไม่ยอมงั้นเหรอ” อูหยางจ้องหวางจื่อเหวินอย่างเย็นชา
หวางจื่อเหวินท่าทางลังเล และพูดเสียงแข็ง “ประธานอู ฉันบอกคุณเอาไว้นะ ที่นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่คุณจะมีอำนาจยังไง แต่อย่างไรก็ตามคุณก็เป็นคนพื้นเมืองของเมืองตุงไห่ จะล่วงเกินตระกูลหวางของพวกเราในเมืองตุงไห่ คุณรู้ผลที่ตามมาไหม!”
“คุณกำลังคุกคามฉันเหรอ” อูหยางหัวเราะเยาะ ท่าทางดูถูก ตระกูลหวางอะไรกัน ล่วงเกินประธานหลินอย่างนี้ ตระกูลหวางคงอยู่ไม่ไกลจากการถูกสังหารยกครัว!
“รปภ. เข้ามาสั่งสอนคนพวกนี้ แล้วโยนพวกเขาไปข้างถนน!”อูหยางพูดอย่างเย็นชา
พูดจบ กลุ่มรปภ.ที่อยู่นอกประตูก็รีบเข้ามาพร้อมกับกระบองไฟฟ้า ไม่พูดอะไรก็สกัดขาหวางจื่อเหวินกับพวกทั้งสี่คน แล้วลากพวกเขาออกไปเหมือนลากไก่
“พวกคุณทำอะไร! อึก!”
ฉินเฟยกับเสิ่นห้าวต้องการดิ้นรนหนี แต่พวกเขาถูกจี้ด้วยกระบองไฟฟ้าตะโกนร้องเสียงดัง
“อูหยางฉันจะบอกพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้!” หวางจื่อเหวินพูดอย่างไม่ยอม ขณะที่ถูกลากออกไป
“ถ้างั้นก็เรียกให้หวางกั๋วคางพ่อของคุณมาหาฉัน รุ่นลูกอย่างคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะคุยกับฉัน” อูหยางพูดด้วยท่าทางรังเกียจ
หน้าผากหวางจื่อเหวินขึ้นเป็นเส้นเลือดอ่อนๆ มองไปที่หลินอิ่งที่ดูเหมือนกำลังยิ้มเยาะเย้ย รู้สึกเหมือนโดนดูถูก!
“หลินอิ่ง คุณคอยดูเถอะ! มีความก็คุณก็หลบอยู่ที่บริษัทเครื่องประดับจางซื่อไปตลอดชีวิตอย่าออกมา!” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความโกรธ
เจ้าคนขี้ขลาดตาขาวนี่ โชคดีจริงๆ! ในช่วงเวลาสำคัญ ยังจะมาเจอประธานอูหยางแผลงฤทธิ์อีก
วันนี้ตนตั้งใจมาที่นี่เพื่ออวดบารมีและจัดการหลินอิ่ง ต้องการแสดงอำนาจให้จางฉีโม่ได้เห็น แต่ไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้ มาถึงที่แต่กลับถูกด่าเหมือนหมา แถมยังจะถูกไล่ออกจากจางซื่อกรุ๊ปอีก!
หวางจื่อเหวินยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ความเกลียดชังที่มีต่อหลินอิ่งก็ไม่มีที่สิ้นสุด!
หลังจากที่หลังจากที่หวางจื่อเหวินและพวกถูกพาตัวออกไป สีหน้าจางหงจูนพี่น้องทั้งสองคนก็ดูซีดลง
“ประธานอู เหตุใดบริษัทของเราจะไปล่วงเกินคนที่มีอำนาจอย่างคุณชายใหญ่ตระกูลหวาง เพราะผู้บริหารเพียงคนเดียวด้วยล่ะ” จางหงซวนถาม
เดิมทีสัญญาว่าจะช่วยหวางจื่อเหวินเหยียบย่ำคนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่ง ได้ระบายความโกรธของตัวเอง และได้เป็นมิตรกับตระกูลหวาง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คาดว่าหวางจื่อเหวินคงจะเกลียดพี่น้องทั้งสองเข้าแล้ว
“โครงสร้างเล็กๆ ไม่น่าแปลกใจที่จางซื่ออยู่ในมือคุณแล้วจะแย่มากอย่างนี้” อูหยางพูดแดกดันอย่างไม่เกรงใจ
“นี่” จางหงจูนกับจางหงซวนโกรธจนหน้าแดง ต่อหน้าผู้บริหารของบริษัทหลายคน แต่ไม่เหลือความมั่นใจในตนเองเลย
“ในฐานะกรรมการบริหารพวกคุณสองคนสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอก เพื่อจัดการกับผู้จัดการเล็กๆของบริษัท พวกคุณยังมีหน้าจะอยู่ในคณะกรรมการบริหารอีกเหรอ” อูหยางพูดอย่างเย็นชา “ฉันขอเตือนพวกคุณสองคน ตอนนี้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของบริษัทเชื่อมโยงกับนิ่งซื่อกรุ๊ป ฉะนั้นห้ามมีพฤติกรรมใดๆที่ทำร้ายบริษัทให้เสียชื่อโดยเด็ดขาด!”
“พวกคุณจะกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เพื่อเอาใจตระกูลหวาง ก็อย่าเอาทรัพย์สินของนิ่งซื่อกรุ๊ปเป็นชุดแต่งงาน เข้าใจไหม” อูหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และมองไปรอบๆกลุ่มผู้บริหาร “วันนี้ฉันจะพูดต่อหน้าผู้บริหารของบริษัททุกคน ถ้ามีฉันในบริษัท คนนอกก็ไม่มีอำนาจมารังแกพนักงานของบริษัท!”
แปะแปะแปะแปะ!(คำเลียนเสียงปรบมือ)
ผู้บริหารของบริษัทที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างปรบมือ และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินอิ่งและจางฉีโม่ก็ปรบมือไปพร้อมรอยยิ้ม
เสียงปรบมือนี้ดูเหมือนจะเป็นการหักหน้าของสองพี่น้องจางหงจูนทั้งสองรู้สึกโกรธจนหน้าแดง
ตอนนี้จางซื่อกรุ๊ปนั้นมีความสง่าน่าเกรงขามมาก
จางหงจูนคิดกับตัวเองว่า ต้องติดต่อกับตระกูลซูนให้หาทุกวิถีทางเพื่อขับไล่อูหยางออกไป แซ่อูคนนี้มีความสามารถในการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำเรื่องให้ยุ่งยากเกินไป และเรื่องเล็กน้อยก็สามารถกัดพวกเขาให้ตายได้ ทำให้พวกเขาอับอายขายขี้หน้ามากจริงๆ!
“ในฐานะกรรมการบริหารระดับสูง พวกคุณทั้งสองก็ควรมีพฤติกรรมที่เป็นตัวอย่างที่ดี” อูหยางพูดช้าๆ “ตอนนี้ คุณสองคนต้องไปขอโทษผู้ช่วยหลิน! ไม่งั้น ต่อไปใครจะตั้งใจทำงานหนัก ใครจะยอมจงรักภักดีกับบริษัทละ ในเมื่อถูกพฤติกรรมกินบนเรื่องขี้รดบนหลังคาของคุณทั้งสองคนทำร้ายจิตใจ! และนี่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญของการทำงานร่วมกันของบริษัท!”
“ไม่สิ ประธานอู กลัวว่าจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่” จางหงซวนพูดด้วยสีหน้าแย่ๆ
จะให้คนตระกูลจางอย่างพวกเขาสองคน ไปขอโทษลูกเขยของตระกูลจางงั้นเหรอ
แถมยังอยู่ในห้องประชุมของจางซื่อกรุ๊ปอีก คงกลายเป็นเรื่องตลกขายหน้านะสิ
“ประธานอู ฉันคิดว่า มอบเงินสดจำนวนหนึ่งให้ผู้ช่วยหลิน เพื่อเป็นค่าปลอบขวัญก็พอแล้ว และเงินจำนวนนี้ ฉันจะเป็นคนจ่ายเอง” จางหงจูนเองจะไม่ยอมขอโทษหลินอิ่งแน่ๆ
อูหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูด: “ถ้าอย่างนั้น พวกคุณก็หารือกับผู้ช่วยหลินก็แล้วกัน ถามเขาว่าเห็นด้วยหรือไม่ ต่อหน้าผู้บริหาร วันนี้จะต้องได้ข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา หากไม่มีคำอธิบายใดๆ ในอนาคตจะเป็นผู้นำทีมก็คงยาก และคณะกรรมการบริหารเองก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปโดยสิ้นเชิง!”
จางหงซวนตำหนิอยู่ในใจ ทำพูดวางท่า แต่จริงๆแล้วอูหยางคุณนั่นแหละที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เพื่อทำลายศักดิ์ศรีในบริษัทของพวกฉันสองคน และคิดอยากจะเปลี่ยนคณะกรรมการบริหาร
“หลินอิ่ง ฉันกับลุงใหญ่ ออกเงินคนละห้าพัน ให้คุณเป็นเงินค่าปลอบขวัญนะ” จางหงซวนพูดและมองไปที่หลินอิ่งท่าทางกระวนกระวาย และพูดว่า “ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
หลินอิ่งยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ทำไมเหรอ หรือคุณคิดว่าเงินน้อยไป” จางหงจูนถามด้วยความไม่พอใจ
หากพูดถึงการให้เงินค่าปลอบขวัญหลินอิ่งแค่ห้าพันก็รู้สึกเสียดาย คิดว่าเป็นเงินให้ขอทาน แต่ผลก็คือเจ้าขยะนี่ยังไม่รู้จักพอ
“ดูเหมือนว่าผู้ช่วยหลินจะไม่เต็มใจรับเงินค่าปลอบขวัญของพวกคุณ เขาต้องการให้คุณขอโทษและยอมรับผิด” อูหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ให้ขอโทษเขางั้นเหรอ” จางหงจูนยิ้มและส่ายหัว “ประธานอู คุณอาจไม่รู้ว่า หลินอิ่งเป็นลูกเขยของตระกูลจางของเรา ฉันเป็นลุงใหญ่ของเขา และประธานจางเป็นลุงสามของเขา จะให้ผู้ใหญ่ขอโทษเด็กที่เกิดหลังได้อย่างไร”
“ถูกต้อง ประธานอู การตัดสินของคุณคงไม่เหมาะ” จางหงซวนก็หัวเราะขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าเราจะต่อต้านคุณ พวกเราต้องการขอโทษผู้ช่วยหลิน คุณไปถามเขาดูก็ได้ว่า เขากล้ารับคำขอโทษไหม”
“เมื่อคุณทำผิดคุณต้องยอมรับ ถ้าถูกตีก็ต้องยืนตรงเพื่อรับมัน” หลินอิ่งมองไปที่สองพี่น้องจางหงจูนและพูดเบาๆ “พวกคุณสองคนต้องมาขอโทษและยอมรับผิด”
“คุณพูดอะไร” จางหงจูนจ้องไปที่หลินอิ่งด้วยความโกรธ จนมีเส้นเลือดดำเขียวโปนขึ้นที่คอ
ไอ้เศษขยะนี่กล้าแสดงท่าทีที่ตรงข้ามกับฉัน ถ้าไม่ได้อยู่ในสำนักงาน เขารีบเข้าไปเตะไปลูกเขยขยะนี่ทันที
“ต้องการให้ฉันและลุงใหญ่ขอโทษแก แกกล้ามาก!” จางหงซวนพยายามสยบหลินอิ่ง “แกกล้าดียังไงมาทำตัวแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ ฉันจะเรียกประชุมครอบครัว และใช้กฎครอบครัวจัดการแก!”
“ฉีโม่ บ้านพวกคุณได้ลูกเขยดีนิ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้ากังวล “คนอกตัญญู เนรคุณ กล้าจะแก้แค้นเชียวเหรอ”
จางฉีโม่ดูลำบากใจ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกลี้ยกล่อมหลินอิ่งได้