ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 72 แม้ว่าจะถูกทุบตีก็ต้องยืนตัวตรง

บทที่ 72 แม้ว่าจะถูกทุบตีก็ต้องยืนตัวตรง

บทที่ 72 แม้ว่าจะถูกทุบตีก็ต้องยืนตัวตรง

“ทำไม คุณยังไม่ยอมงั้นเหรอ” อูหยางจ้องหวางจื่อเหวินอย่างเย็นชา

หวางจื่อเหวินท่าทางลังเล และพูดเสียงแข็ง “ประธานอู ฉันบอกคุณเอาไว้นะ ที่นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่คุณจะมีอำนาจยังไง แต่อย่างไรก็ตามคุณก็เป็นคนพื้นเมืองของเมืองตุงไห่ จะล่วงเกินตระกูลหวางของพวกเราในเมืองตุงไห่ คุณรู้ผลที่ตามมาไหม!”

“คุณกำลังคุกคามฉันเหรอ” อูหยางหัวเราะเยาะ ท่าทางดูถูก ตระกูลหวางอะไรกัน ล่วงเกินประธานหลินอย่างนี้ ตระกูลหวางคงอยู่ไม่ไกลจากการถูกสังหารยกครัว!

“รปภ. เข้ามาสั่งสอนคนพวกนี้ แล้วโยนพวกเขาไปข้างถนน!”อูหยางพูดอย่างเย็นชา

พูดจบ กลุ่มรปภ.ที่อยู่นอกประตูก็รีบเข้ามาพร้อมกับกระบองไฟฟ้า ไม่พูดอะไรก็สกัดขาหวางจื่อเหวินกับพวกทั้งสี่คน แล้วลากพวกเขาออกไปเหมือนลากไก่

“พวกคุณทำอะไร! อึก!”

ฉินเฟยกับเสิ่นห้าวต้องการดิ้นรนหนี แต่พวกเขาถูกจี้ด้วยกระบองไฟฟ้าตะโกนร้องเสียงดัง

“อูหยางฉันจะบอกพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้!” หวางจื่อเหวินพูดอย่างไม่ยอม ขณะที่ถูกลากออกไป

“ถ้างั้นก็เรียกให้หวางกั๋วคางพ่อของคุณมาหาฉัน รุ่นลูกอย่างคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะคุยกับฉัน” อูหยางพูดด้วยท่าทางรังเกียจ

หน้าผากหวางจื่อเหวินขึ้นเป็นเส้นเลือดอ่อนๆ มองไปที่หลินอิ่งที่ดูเหมือนกำลังยิ้มเยาะเย้ย รู้สึกเหมือนโดนดูถูก!

“หลินอิ่ง คุณคอยดูเถอะ! มีความก็คุณก็หลบอยู่ที่บริษัทเครื่องประดับจางซื่อไปตลอดชีวิตอย่าออกมา!” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความโกรธ

เจ้าคนขี้ขลาดตาขาวนี่ โชคดีจริงๆ! ในช่วงเวลาสำคัญ ยังจะมาเจอประธานอูหยางแผลงฤทธิ์อีก

วันนี้ตนตั้งใจมาที่นี่เพื่ออวดบารมีและจัดการหลินอิ่ง ต้องการแสดงอำนาจให้จางฉีโม่ได้เห็น แต่ไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้ มาถึงที่แต่กลับถูกด่าเหมือนหมา แถมยังจะถูกไล่ออกจากจางซื่อกรุ๊ปอีก!

หวางจื่อเหวินยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ความเกลียดชังที่มีต่อหลินอิ่งก็ไม่มีที่สิ้นสุด!

หลังจากที่หลังจากที่หวางจื่อเหวินและพวกถูกพาตัวออกไป สีหน้าจางหงจูนพี่น้องทั้งสองคนก็ดูซีดลง

“ประธานอู เหตุใดบริษัทของเราจะไปล่วงเกินคนที่มีอำนาจอย่างคุณชายใหญ่ตระกูลหวาง เพราะผู้บริหารเพียงคนเดียวด้วยล่ะ” จางหงซวนถาม

เดิมทีสัญญาว่าจะช่วยหวางจื่อเหวินเหยียบย่ำคนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่ง ได้ระบายความโกรธของตัวเอง และได้เป็นมิตรกับตระกูลหวาง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คาดว่าหวางจื่อเหวินคงจะเกลียดพี่น้องทั้งสองเข้าแล้ว

“โครงสร้างเล็กๆ ไม่น่าแปลกใจที่จางซื่ออยู่ในมือคุณแล้วจะแย่มากอย่างนี้” อูหยางพูดแดกดันอย่างไม่เกรงใจ

“นี่” จางหงจูนกับจางหงซวนโกรธจนหน้าแดง ต่อหน้าผู้บริหารของบริษัทหลายคน แต่ไม่เหลือความมั่นใจในตนเองเลย

“ในฐานะกรรมการบริหารพวกคุณสองคนสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอก เพื่อจัดการกับผู้จัดการเล็กๆของบริษัท พวกคุณยังมีหน้าจะอยู่ในคณะกรรมการบริหารอีกเหรอ” อูหยางพูดอย่างเย็นชา “ฉันขอเตือนพวกคุณสองคน ตอนนี้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของบริษัทเชื่อมโยงกับนิ่งซื่อกรุ๊ป ฉะนั้นห้ามมีพฤติกรรมใดๆที่ทำร้ายบริษัทให้เสียชื่อโดยเด็ดขาด!”

“พวกคุณจะกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา เพื่อเอาใจตระกูลหวาง ก็อย่าเอาทรัพย์สินของนิ่งซื่อกรุ๊ปเป็นชุดแต่งงาน เข้าใจไหม” อูหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และมองไปรอบๆกลุ่มผู้บริหาร “วันนี้ฉันจะพูดต่อหน้าผู้บริหารของบริษัททุกคน ถ้ามีฉันในบริษัท คนนอกก็ไม่มีอำนาจมารังแกพนักงานของบริษัท!”

แปะแปะแปะแปะ!(คำเลียนเสียงปรบมือ)

ผู้บริหารของบริษัทที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างปรบมือ และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

หลินอิ่งและจางฉีโม่ก็ปรบมือไปพร้อมรอยยิ้ม

เสียงปรบมือนี้ดูเหมือนจะเป็นการหักหน้าของสองพี่น้องจางหงจูนทั้งสองรู้สึกโกรธจนหน้าแดง

ตอนนี้จางซื่อกรุ๊ปนั้นมีความสง่าน่าเกรงขามมาก

จางหงจูนคิดกับตัวเองว่า ต้องติดต่อกับตระกูลซูนให้หาทุกวิถีทางเพื่อขับไล่อูหยางออกไป แซ่อูคนนี้มีความสามารถในการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำเรื่องให้ยุ่งยากเกินไป และเรื่องเล็กน้อยก็สามารถกัดพวกเขาให้ตายได้ ทำให้พวกเขาอับอายขายขี้หน้ามากจริงๆ!

“ในฐานะกรรมการบริหารระดับสูง พวกคุณทั้งสองก็ควรมีพฤติกรรมที่เป็นตัวอย่างที่ดี” อูหยางพูดช้าๆ “ตอนนี้ คุณสองคนต้องไปขอโทษผู้ช่วยหลิน! ไม่งั้น ต่อไปใครจะตั้งใจทำงานหนัก ใครจะยอมจงรักภักดีกับบริษัทละ ในเมื่อถูกพฤติกรรมกินบนเรื่องขี้รดบนหลังคาของคุณทั้งสองคนทำร้ายจิตใจ! และนี่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญของการทำงานร่วมกันของบริษัท!”

“ไม่สิ ประธานอู กลัวว่าจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่” จางหงซวนพูดด้วยสีหน้าแย่ๆ

จะให้คนตระกูลจางอย่างพวกเขาสองคน ไปขอโทษลูกเขยของตระกูลจางงั้นเหรอ

แถมยังอยู่ในห้องประชุมของจางซื่อกรุ๊ปอีก คงกลายเป็นเรื่องตลกขายหน้านะสิ

“ประธานอู ฉันคิดว่า มอบเงินสดจำนวนหนึ่งให้ผู้ช่วยหลิน เพื่อเป็นค่าปลอบขวัญก็พอแล้ว และเงินจำนวนนี้ ฉันจะเป็นคนจ่ายเอง” จางหงจูนเองจะไม่ยอมขอโทษหลินอิ่งแน่ๆ

อูหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูด: “ถ้าอย่างนั้น พวกคุณก็หารือกับผู้ช่วยหลินก็แล้วกัน ถามเขาว่าเห็นด้วยหรือไม่ ต่อหน้าผู้บริหาร วันนี้จะต้องได้ข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา หากไม่มีคำอธิบายใดๆ ในอนาคตจะเป็นผู้นำทีมก็คงยาก และคณะกรรมการบริหารเองก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปโดยสิ้นเชิง!”

จางหงซวนตำหนิอยู่ในใจ ทำพูดวางท่า แต่จริงๆแล้วอูหยางคุณนั่นแหละที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เพื่อทำลายศักดิ์ศรีในบริษัทของพวกฉันสองคน และคิดอยากจะเปลี่ยนคณะกรรมการบริหาร

“หลินอิ่ง ฉันกับลุงใหญ่ ออกเงินคนละห้าพัน ให้คุณเป็นเงินค่าปลอบขวัญนะ” จางหงซวนพูดและมองไปที่หลินอิ่งท่าทางกระวนกระวาย และพูดว่า “ไม่มีปัญหาใช่ไหม”

หลินอิ่งยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“ทำไมเหรอ หรือคุณคิดว่าเงินน้อยไป” จางหงจูนถามด้วยความไม่พอใจ

หากพูดถึงการให้เงินค่าปลอบขวัญหลินอิ่งแค่ห้าพันก็รู้สึกเสียดาย คิดว่าเป็นเงินให้ขอทาน แต่ผลก็คือเจ้าขยะนี่ยังไม่รู้จักพอ

“ดูเหมือนว่าผู้ช่วยหลินจะไม่เต็มใจรับเงินค่าปลอบขวัญของพวกคุณ เขาต้องการให้คุณขอโทษและยอมรับผิด” อูหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ให้ขอโทษเขางั้นเหรอ” จางหงจูนยิ้มและส่ายหัว “ประธานอู คุณอาจไม่รู้ว่า หลินอิ่งเป็นลูกเขยของตระกูลจางของเรา ฉันเป็นลุงใหญ่ของเขา และประธานจางเป็นลุงสามของเขา จะให้ผู้ใหญ่ขอโทษเด็กที่เกิดหลังได้อย่างไร”

“ถูกต้อง ประธานอู การตัดสินของคุณคงไม่เหมาะ” จางหงซวนก็หัวเราะขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าเราจะต่อต้านคุณ พวกเราต้องการขอโทษผู้ช่วยหลิน คุณไปถามเขาดูก็ได้ว่า เขากล้ารับคำขอโทษไหม”

“เมื่อคุณทำผิดคุณต้องยอมรับ ถ้าถูกตีก็ต้องยืนตรงเพื่อรับมัน” หลินอิ่งมองไปที่สองพี่น้องจางหงจูนและพูดเบาๆ “พวกคุณสองคนต้องมาขอโทษและยอมรับผิด”

“คุณพูดอะไร” จางหงจูนจ้องไปที่หลินอิ่งด้วยความโกรธ จนมีเส้นเลือดดำเขียวโปนขึ้นที่คอ

ไอ้เศษขยะนี่กล้าแสดงท่าทีที่ตรงข้ามกับฉัน ถ้าไม่ได้อยู่ในสำนักงาน เขารีบเข้าไปเตะไปลูกเขยขยะนี่ทันที

“ต้องการให้ฉันและลุงใหญ่ขอโทษแก แกกล้ามาก!” จางหงซวนพยายามสยบหลินอิ่ง “แกกล้าดียังไงมาทำตัวแบบนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่ ฉันจะเรียกประชุมครอบครัว และใช้กฎครอบครัวจัดการแก!”

“ฉีโม่ บ้านพวกคุณได้ลูกเขยดีนิ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้ากังวล “คนอกตัญญู เนรคุณ กล้าจะแก้แค้นเชียวเหรอ”

จางฉีโม่ดูลำบากใจ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกลี้ยกล่อมหลินอิ่งได้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท