ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 71 ไว้หน้าฉันบ้าง

บทที่ 71 ไว้หน้าฉันบ้าง

บทที่ 71 ไว้หน้าฉันบ้าง

“หลินอิ่งทีนี้คุณรู้หรือยังว่ามาขัดแย้งกับฉันจะมีจุดจบอย่างไร” หวางจื่อเหวินมองไปที่หลินอิ่ง และพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า“ไอ๊หยา ต้องเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัย แถมยังต้องตกงาน ไหนจะถูกฟ้องร้องอีกร้อยล้าน และอาจถึงขั้นติดคุกได้เลย”

“เอาอย่างนี้ไหม” หวางจื่อเหวินพูดด้วยสีหน้าแสดงความสงสาร “เห็นแก่หน้าของฉีโม่ หลินอิ่งเพียงแค่คุณคุกเข่าและขอโทษฉัน ฉันสามารถสัญญาต่อหน้าประธานจางทั้งสองว่า นับจากนี้จะปล่อยคุณไป และจะไม่ฟ้องร้องคุณอีก และยังช่วยพูดให้คุณสามารถอยู่ทำงานที่จางซื่อกรุ๊ปต่อไปได้อีก”

พูดจบ ในใจของหวางจื่อเหวินก็รู้สึกมีความสุขมาก ที่สามารถบังคับหลินอิ่งต่อหน้าจางฉีโม่ด้วยวิธีนี้ได้ ช่างมีความสุขจริงๆ

จางหงซวนและจางหงจูนต่างยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก

นี่คือสิ่งที่คนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งสมควรได้รับ ตัวเองไม่มีกำลัง ยังกล้าที่จะหยาบคายต่อหน้าพวกเขา

เพียงแค่หลินอิ่งกล้าปฏิเสธที่จะขอโทษ พวกเขาก็จัดให้รปภ.เข้ามาทุบตีหลินอิ่งสักหมัด แล้วลากโยนออกไป ปล่อยให้คนไร้ประโยชน์อย่างเขาถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีต่อหน้าภรรยาของตัวเอง และต่อหน้าคนหลายสิบคนในบริษัท!

สีหน้าหลินอิ่งยังดูปกติ และมองไปที่หวางจื่อเหวินกับจางหงซวนสองพี่น้อง

“พวกคุณกำลังต่อบทละครกันอยู่เหรอ”หลินอิ่งถาม

“อะไรกัน ตัวเองตกอยู่ในความลำบากแล้วคุณยังกล้าที่จะเหน็บแนมกรรมการทั้งสองคนของเรากับคุณชายหวางงั้นเหรอ”จางหงจูนพูดอย่างโกรธเกรี้ยวมาก

ในความคิดของเขา ตอนนี้คนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งควรคุกเข่าขอโทษ และออกไปจากบริษัทได้แล้ว

พวกเขาทั้งสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีใครไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยของเมืองชิงหยูนบ้างละ คนไร้ประโยชน์แบบหลินอิ่งยังกล้าเถียงด้วยเหรอ

“รปภ.เข้ามา! หลินอิ่งไม่ใช่คนของบริษัทอีกต่อไป และยังจงใจสร้างปัญหาในบริษัทด้วย พาไปสั่งสอน และโยนออกไปเดี๋ยวนี้!” จางหงซวนตะโกนออกคำสั่ง และหันไปจ้องหลินอิ่งอย่างภูมิใจ

เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเรียกรปภ.มาทุบตีหลินอิ่งเพราะได้ระบายความคับแค้นใจที่ได้รับตอนอยู่ที่บ้านของจางฉีโม่ครั้งก่อนออกมา!

แกร๊ก!

ชายร่างสูงกำยำในเครื่องแบบรปภ.หลายสิบคน เดินเข้ามาจากนอกสำนักงาน ถือกระบองไฟฟ้าในมือ ดูเหมือนว่าได้เตรียมพร้อมมาอย่างดี

“ลุงใหญ่ ลุงสาม พวกคุณทำแบบนี้ในบริษัทมันเกินไปไหม” จางฉีโม่ถามด้วยความไม่พอใจอย่างมาก และมองไปที่หลินอิ่งอย่างเป็นห่วง

หวางจื่อเหวินมองไปที่จางฉีโม่กล่าวด้วยสีหน้าติดตลก “ฉีโม่ ความจริงแค่คุณเอ่ยปากขอร้องฉัน และออกไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับฉัน ฉันจะไว้ชีวิตเขาทันที”

“ฉีโม่ ไม่ต้องสนใจเขา” หลินอิ่งพูดอย่างไม่สนใจไยดี

“ดีนะ ในเมื่อให้โอกาสคุณแล้วแต่ไม่เอาเอง พาเขาออกไปแล้วตีด้วยกระบอง!” หวางจื่อเหวินพูดด้วยเสียงเยือกเย็น

พอเขาพูดจบ ก็มีรปภ.หลายสิบคนถือกระบองไฟฟ้าพุ่งเข้าหาหลินอิ่งทันที

“ใครกล้าลงมือก็ลองดู!”

ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงตำหนิด้วยความโกรธดังเข้ามา ทีมรปภ.ต่างตกตะลึงหยุดอยู่กับที่

และอูหยางเดินมาจากห้องทำงาน

“สำนักงานเป็นที่ที่พวกคุณจะเข้ามาได้งั้นเหรอ ออกไปให้หมด” อูหยางตะโกนใส่รปภ.เหล่านี้

บรรดารปภ.ต่างกลัวจนไม่กล้าพูด และออกไปจากสำนักงานโดยเร็ว

หลังจากนั้น อูหยางมองไปที่จางหงจูนและจางหงซวนด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นเพ่งมองที่หวางจื่อเหวิน และหัวเราะเยาะ

“คุณช่างน่าเกรงขามจริงเลยนะ ถึงขั้นบงการพนักงานตลอดจนผู้บริหารของบริษัทได้” อูหยางพูดด้วยเสียงต่ำ

หวางจื่อเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่อูหยาง และถามด้วยท่าทีเหยียดหยาม : “คุณเป็นใคร มาอวดเก่งอะไรกับฉัน”

บริษัทเล็กๆอย่างบริษัทเครื่องประดับจางซื่อไม่รู้ว่าผู้บริหารเล็กๆของบริษัทโผล่มาจากไหน และยังกล้าท้าทายตระกูลหวางของเขา

จางหงซวนพูดกระซิบสองสามคำข้างๆหวางจื่อเหวิน สีหน้าของหวางจื่อเหวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทีที่หยิ่งยโสก็เหือดหายไป

อูหยางหัวเราะเยาะ มองไปที่จางหงจูน และถาม:“คนนี้พวกคุณสองคนเป็นคนพาเข้ามาเหรอ”

“ประธานอู ท่านนี้คือนายน้อยตระกูลหวาง หวางจื่อเหวิน สนใจลงทุนในบริษัทของพวกเรา และเป็นแขกผู้มีเกียรติของบริษัทของพวกเรา” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

“เป็นคนนอก แต่มาโยกย้ายทีมรปภ.ของบริษัทได้ตามอำเภอใจ ยังสามารถกำหนดตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทได้อีกด้วย พวกคุณสองคนเป็นกรรมการบริหารทำงานประสาอะไร ทำตัวกินบนเรือนขี้รดบนหลังคางั้นเหรอ” อูหยางตำหนิอย่างไม่เกรงใจ

สีหน้าของจางหงจูนกับจางหงซวนเปลี่ยนไปอย่างมาก รู้สึกอายมากที่ถูกต่อว่า

ไม่รู้ว่าแซ่อูคนนี้มาจัดการเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้อย่างไร ดูท่าทางเหมือนต้องการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

“คุณคือประธานอูใช่ไหม สวัสดี ฉันชื่อหวางจื่อเหวินจากตระกูลหวาง หวางกั๋วคางเป็นพ่อของฉัน ตระกูลหวางและนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ของเรามีการติดต่อทางธุรกิจกันบ้าง” หวางจื่อเหวินพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นซื่อๆ “มาที่บริษัทของคุณวันนี้ เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการเล็กน้อย”

“เรื่องเล็กน้อยอะไร” อูหยางถามด้วยความใจเย็น

“บริษัทของคุณมีพนักงานชื่อหลินอิ่ง เขาเจตนาร้ายทำลายโบราณวัตถุมูลค่าหลายสิบล้านของฉัน เป็นปลาเน่าตัวเดียวทำเหม็นทั้งข้องฉันคิดว่าคนแบบนี้ไม่ควรให้อยู่ในบริษัทของคุณนะ” หวางจื่อเหวินกล่าว “ถ้าประธานอูมีเวลาว่าง คืนนี้ฉันเลี้ยงมื้อค่ำคุณ และเห็นแก่หน้าของฉัน ไล่หลินอิ่งคนนี้ออกด้วย”

หลังจากหวางจื่อเหวินได้รู้เกี่ยวกับฐานะของอูหยาง ในใจก็รู้สึกหวาดกลัวมาก ไม่คาดคิดว่าบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ บริษัทเล็กๆจะมีเสือซุ่มมังกรอย่างอูหยางซ่อนตัวอยู่

แม้ว่าอูหยางจะบอกว่าเป็นแค่เลขาพ่อบ้านของประธานนิ่งซวนแห่งนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ แต่นิ่งซวนไม่ค่อยได้ออกมาแสดงตัว ในแวดวงธุรกิจของเมืองชิงหยูน อูหยางก็เป็นโฆษกของนิ่งซวน!

แม้ว่าจะเป็นคนของตระกูลหวางที่อยู่มาหลายชั่วคน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะล่วงเกินนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่

แต่เบื้องหลังของนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่คือตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง!นิ่งซวนเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง!เมื่อเทียบกับตระกูลที่ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างตี้จิง ตระกูลหวางก็เป็นเพียงมดที่น่าสงสารตัวหนึ่ง

ถ้าหากต่อหน้านิ่งซวน เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะผายลมอย่างแน่นอน จะถูกหรือจะผิด ก็ต้องรีบพูดขอโทษทันที

แต่ต่อหน้าอูหยางเลขาของนิ่งซวน ก็ยังพอมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง

เช่นเดียวกับเรื่องเล็กน้อยอย่างการไล่คนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งออก เชื่อว่าอูหยางก็จะทำให้ขายหน้าตระกูลหวางของเขาไม่น้อยเช่นกัน

“ขายหน้าคุณงั้นเหรอ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร”อูหยางพูดอย่างไร้ความปรานี

“อูหยาง คุณ!” หวางจื่อเหวินหน้าแดง และโกรธอย่าง มาก อูหยางทำให้โกรธจนพูดออกมาไม่ได้

ในเวลาปกติ อูหยางจะไม่ไปหาหวางจื่อเหวินซึ่งเป็นคุณชายของตระกูลหวาง แต่ปัญหาคือ หลินอิ่งมีประธานหลินหนุนหลังอยู่! แม่ง มีปัญหากับประธานหลิน ในเมืองชิงหยูนใครที่มาแล้วกล้าทำให้อูหยางเกลียด ศักดิ์ศรีที่มีก็ใช้งานไม่ได้!

อูหยางมองหวางจื่อเหวินด้วยสายตาเย็นชา และพูด “เรื่องที่คุณพูด ฉันรู้มานานแล้ว คุณอย่าทำเหมือนว่าทุกคนเป็นคนโง่ และยังกล้ามาที่นี่อีก! คุณกำลังทำลายชื่อเสียงของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ คุณรู้ไหมว่าสิ่งนี้ส่งผลเสียต่อบริษัทของพวกเรา ทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรง คุณจะรับผิดชอบเงินที่สูญเสียไปได้หรือไม่ และยังเข้ามาสั่งการรปภ. ให้ทุบตีผู้บริหารบริษัทของฉัน และยังจะไล่เขาออกด้วย คุณไม่เห็นว่าฉันเป็นคนเหรอ”

“ตอนนี้ฉันบริหารบริษัทเครื่องประดับจางซื่อแทนในนามของประธานนิ่ง ที่นี่เป็นทรัพย์สินของนิ่งซื่อกรุ๊ป คุณทำแบบนี้ เท่ากับคุณกำลังตบหน้าฉัน และตบหน้าประธานนิ่งอยู่!” อูหยางพูดเสียงดัง “กลับไปถามหวางกั๋วคางพ่อของคุณ ว่าเขากล้าทำแบบนี้ไหม”

“คุณ! ฉัน….” หวางจื่อเหวินไม่ต่อเนื่องเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแดง อยากจะด่ากลับ แต่ก็ไม่มีความกล้า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท