ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 77 ลงโทษด้วยการตัดเอว

บทที่ 77 ลงโทษด้วยการตัดเอว

บทที่ 77 ลงโทษด้วยการตัดเอว

“ได้ยินว่า มีคำที่พูดกันในกลุ่มตระกูลชั้นสูงแห่งตี้จิงว่า ลงโทษด้วยการตัดเอว นั่นหมายถึงตระกูลเหวินได้เลื่อนให้เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นๆของประเทศหลุง แทนที่ตระกูลฉีแห่งตี้จิง นายหญิงเหวินในฐานะภรรยาม่ายของนายท่าน ก็ออกหน้ารับช่วงต่อเส้นสาย กิจการ อำนาจ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลฉีไป!” หลี่ผูพูดเหมือนคนไร้วิญญาณ “ตี้จิงยังมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยลือกันว่า ทำนายออกมาเป็นรูปหกเหลี่ยมและแฉกแปดสิบเอ็ดตัว หมายถึงลงโทษด้วยการตัดเอว ดวงของตระกูลฉีก็หมดลง และตระกูลเหวินได้ฝึกฝนมาเป็นเวลาสิบปี มันคงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ตระกูลเหวินก้าวไปสู่จุดสูงสุดของประเทศหลุง”

“ช่างน่าขำจริงๆ! ตระกูลเหวินไม่เพียงแต่ทำลายและยึดครองตระกูลฉี แต่ยังให้คนปล่อยข่าวลือ และแม้แต่ปกปิดความจริงจากคนอื่นๆ นายหญิงเหวินทำเป็นร้องไห้เสียใจอาลัยต่อตระกูลฉีด้วย!” หลี่ผูพูดอย่างเย็นชา “ยังแอบส่งคนมาตามฆ่าถึงเมืองชิงหยูน ต้องการฆ่าให้สิ้น ตามฆ่านายท่าน แล้วยังค้นหาตัวและที่อยู่ของคุณชายด้วย ต้องการตัดรากถอนโคนตระกูลฉีให้สิ้นซาก! นี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ

หลินอิ่งเลือดไหลออกมา และถามด้วยท่าทีปกติว่า “ตระกูลเหวินคือตระกูลของผู้หญิงคนนั้นที่ฉีเหอถูแต่งงานด้วยในภายหลังงั้นเหรอ”

เขาจำได้ว่า ในตอนแรกฉีเหอถู ต้องแข่งขันกับลุงใหญ่และลุงสามเพื่อชิงตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดตระกูล เขาจึงแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลเหวินเพื่อใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ จากนั้นก็ไล่ตัวเขาและหลินซูชิงแม่ของเขาออกจากตระกูลฉี!

ตระกูลเหวินถือได้ว่าเป็นตระกูลชั้นแนวหน้าของตี้จิง และมีอิทธิพลอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างตระกูลฉีแล้ว ก็ยังด้อยกว่าอยู่ดี

“ครับ คือครอบครัวของนายหญิงเหวิน!” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่าทีของหลี่ผูก็แสดงถึงความรังเกียจออกมา “นายท่านสงสัยมาตลอดเวลาว่ารอบตัวมีหนอนบ่อนไส้อยู่ ตอนนี้ฉันยืนยันได้แล้วว่า หนอนบ่อนไส้ตัวนี้ก็คือเหวินเทียนเฟิ่ง! เธอคงวางแผนมากว่าสิบปีตั้งแต่แต่งงานเข้ามาตระกูลฉี! มิฉะนั้น จะเป็นไปไม่ได้ที่จะกวาดล้างคนตระกูลฉีแห่งตี้จิงได้เพียงชั่วข้ามคืน! ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ ต้องใช้เวลาทำการวางแผนเตรียมการหลายปีเท่านั้น!”

“นายท่านแต่งงานกับเหวินเทียนเฟิ่งเข้ามาในบ้าน ก็คือการปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายครอบครัว!” หลี่ผูพูดอย่างเจ็บปวด “หลายปีมานี้ที่อยู่ในตระกูลฉีเหวินเทียนเฟิ่งทำตัวเป็นคนที่มีคุณธรรม มีความกตัญญูและใจดี ไม่เคยขอมีอำนาจในกิจการของตระกูลฉี และคอยดูแลคุณท่านตอนที่นอนป่วยอยู่หลายปี แม้แต่คุณท่านก็ยังชื่นชมเธอมาก จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีความอดทนและฉลาดเป็นอย่างมาก แต่จริงๆคือมีจิตใจที่โหดร้าย!”

“ดีนะ! เป็นคำพูดที่ดีเลย ลงโทษด้วยการตัดเอว!” หลินอิ่งหัวเราะอย่างโกรธแค้น สายตาแสดงความอาฆาต

ผู้หญิงจากตระกูลเหวินคนนี้ เป็นคนบีบตัวเขาเองและแม่ให้ออกจากตระกูลฉีในตอนนั้น และเป็นหนอนบ่อนไส้อยู่นานกว่าสิบปี ตอนนี้ยังช่วยตระกูลเหวินทำร้ายคนตระกูลฉีอย่างใจดำ ทำหน้าที่แทนตระกูลฉีในฐานะภรรยาของตระกูลฉี เป็นคนที่โหดร้ายจริงๆ!

“แค่ก แค่ก แค่ก!” หลี่ผูพูดด้วยความโกรธ พร้อมกับไอเอาเลือดสีดำจำนวนมากออกมาบนพื้น สีหน้าของเขาดูซีดมาก

หลินอิ่งเดินไปจับชีพจรของหลี่ผู จากนั้นทำมือเป็นกำปั้น และกดจุดที่คอของหลี่ผูไปมาอยู่หลายจุด

“คุณชาย นี่คือ” หลี่ผูถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ดวงตามองชัดขึ้น สีหน้ากลับมาดูดีขึ้นเล็กน้อย

“ฉันจะช่วยเอากระสุนออกมาก่อนแล้วค่อยพูดต่อ ไม่เช่นนั้นคงไม่รอดไปถึงพรุ่งนี้” หลินอิ่งพูดเบา ๆ

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ณ วิลล่าหิมะมังกร เขตบ้านพักกลางเมือง

ในบ้านพักของหลินอิ่ง หลี่ผูนอนอยู่บนเตียง กัดฟันด้วยความเจ็บปวด หลังของเขามีเลือดไหล และเนื้อเน่าเป็นหนอง

หลินอิ่งท่าทางเย็นชา ใช้คีมในมือ ค่อยๆคีบกระสุนที่ฝังอยู่ในเนื้อของหลี่ผูออกมา

บนโต๊ะข้างๆมีแอลกอฮอล์ คีมและเครื่องมือต่างๆ รวมถึงยาชา ยารักษาบาดแผล กล่องยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบหลากหลายชนิด ในถาดยังมีปลอกกระสุนปืนสองอันวางอยู่ด้วย

ตึ้ง

เมื่อเอากระสุนนัดสุดท้ายออกมาใส่ในถาดแล้ว หลินอิ่งก็ลุกขึ้นยืนทำหน้าเฉยเมย และพูด “ช่วงนี้คุณก็อยู่รักษาตัวที่นี่ก่อน ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”

หลี่ผูทำสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าคุณชายเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์ขั้นสูงมาจากไหน ถึงขั้นสามารถทำการผ่าเอากระสุนออกมาและเย็บบาดแผลได้

“คุณชาย คุณยังไม่ไปอีกเหรอ ตระกูลเหวินส่งคนมาถึงเมืองชิงหยูนแล้วนะ!” หลี่ผูพูดด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก

“ไปอะไร อีกไม่กี่วันฉันจะไปตี้จิง และไปเจอตระกูลเหวิน” หลินอิ่งพูดด้วยความนิ่งเฉย

“อย่าเป็นอันขาด! ตี้จิงเป็นที่ที่น่ากลัวดุจถ้ำของเสือ คุณไปแล้วต้องตายแน่ๆ! คุณจะจัดการกับตระกูลเหวินได้อย่างไร แม้แต่นายท่านยังต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหาร ถึงจะรอดชีวิตมาได้! อย่าไปคิดเรื่องแก้แค้นเด็ดขาด! คุณเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลแล้วนะ!” หลี่ผูพูดอย่างเป็นกังวลมาก

เขารู้ดีว่า คุณชายออกจากตี้จิงไปนานกว่าสิบปีแล้ว และไม่เคยติดต่อกับคนในแวดวงชั้นนำของตระกูลฉีเลย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเป็นลูกเขยที่ไม่ได้รับการต้อนรับของตระกูลจางที่เมืองชิงหยูน เขาจะอำนาจมากมาย พอที่จะไปสู้กับตระกูลเหวินได้อย่างไรกัน

ตระกูลเหวินเพิ่งเข้ามาแทนที่ตระกูลฉี และมีอิทธิพลที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพูดถึงเมืองเล็กอย่างตุงไห่ แม้แต่ตระกูลนิ่ง หรือตระกูลซูนที่เป็นตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยอันดับต้นๆแห่งตี้จิง ในเวลานี้พวกเขาต่างก็ไม่กล้าขัดแย้งกับตระกูลเหวิน!

“ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลฉี แล้วฉันจะปล่อยให้พวกตระกูลเหวินครอบครองรัง และยึดกิจการของตระกูลฉีที่อยู่มาหลายร้อยปีได้อย่างไร” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

ไม่ว่าเขาจะรู้จักหรือไม่รู้จักฉีเหอถู แต่ศัตรูที่ฆ่าพ่อของเขาก็คงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณปู่ที่ตอนนี้นอนเป็นอัมพาตอยู่ที่ตี้จิง แล้วเขาจะไม่ไปที่ตี้จิง เพื่อยึดทุกสิ่งที่เป็นของเขาคืนมาได้อย่างไร

แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ง่าย และไม่รู้ว่าเบื้องหลังตระกูลเหวินจะมีอำนาจซ่อนเร้นอะไรเข้ามาแทรกแซงอีก การจะยึดกิจการของตระกูลฉีคืนมานั้นต้องใช้การวางแผนระยะยาว

แต่สำหรับเหวินเทียนเฟิ่งผู้หญิงคนนี้ เขาต้องฆ่าให้ได้!

“คุณชายครับ ผมไม่สามารถดูคุณเอาชีวิตตัวเองไปตายได้!” หลี่ผูพูดเกลี้ยกล่อมอย่างขมขื่น “คุณไม่รู้ว่าตระกูลเหวินมีความน่ากลัวแบบไหน คุณอาจจะมีทรัพย์สินมากมาย ได้อยู่ในวิลล่าหรูหราในเมืองชิงหยูน แต่นี่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย!”

“คุณไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว รีบรักษาบาดแผลให้หาย” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา และมองหลี่ผูด้วยสายตาเยือกเย็น

หลี่ผูตกใจ ที่ถูกมองด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมนี้

จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่า คุณชายที่พลัดพรากจากกันมาหลายปี ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป

หลี่ผูใช้ชีวิตในตระกูลฉีมากว่าครึ่งชีวิต ที่ตี้จิงอำนาจพวกเจ้าขุนมูลนายก็เคยเจอมาทุกรูปแบบ แต่สถานการณ์ของหลินอิ่งในเวลานี้ จะอำนาจแบบไหนก็เอามาเทียบไม่ได้! แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวมากๆ

ตื๊ด!

ในเวลานี้ โทรศัพท์ของหลินอิ่งก็ดังขึ้น

“ท่านหลิน ตอนนี้ฉันกำลังเผชิญหน้ากับโจปินอยู่ที่ท่าเรือหลุงหู นัดกับเขาว่าจะส่งคนไปต่อสู้ศึกสังเวียนแห่งชีวิต เพื่อตัดสินการเป็นเจ้าของเขตตะวันออกของเมือง ตอนนี้แชมป์มวยใต้ดินที่อยู่ในมือของฉันตายบนสังเวียนไปหลายคนแล้ว พวกปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ของจีนที่อยู่ฝั่งเขานั้น ฝีมือโหดเหี้ยมเกินไป สามารถหักดาบได้ด้วยมือเปล่า! เมื่อไหร่ท่านจะมา” เสิ่นซานพูดน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ตอนนี้เลย”

หลินอิ่งวางสายลง

เดิมที คิดว่าหลี่ผูแค่ส่งข้อความมาเท่านั้น ก่อนหน้าจึงให้เสิ่นซานพาคนล่วงหน้าไปที่ท่าเรือหลุงหูก่อน จากนั้นตัวเขาเองค่อยรีบตามไป

แต่ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์ทางฝั่งตี้จิงจะร้ายแรงขนาดนี้ และช่วยหลี่ผูเอากระสุนออกไปต้องใช้เวลานานทำให้ล่าช้าไปอีก

“ฉันต้องออกไปทำธุระข้างนอก คุณนึกให้ดีๆ ว่ายังมีข้อมูลอะไรจากตี้จิงเหลืออยู่บ้าง แล้วพวกที่ตามล่าฆ่าคุณที่เมืองชิงหยูน คุณมีวิธีที่จะหาพวกมันเจอได้หรือไม่” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา “ฉันกลับมา แล้วบอกฉันให้ชัดเจนทุกอย่าง ฉันต้องไปจัดการพวกแก๊งที่มาเมืองชิงหยูนก่อน”

เรื่องของตระกูลเหวินแห่งตี้จิงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกคนที่มาจากตี้จิงเพื่อตามฆ่าตัวเขา ก็อยู่ในมุมมืดของเมืองชิงหยูน และอยู่ใต้จมูกของพวกเขา แท้ๆ เหมือนก้างปลาติดคอ ถ้าหาไม่เจอคงเจ็บใจ ฉันั้นต้องหาตัวให้เจอและฆ่าให้ตาย!

“คุณชายครับ ผมเดาได้ว่าคนที่ตระกูลเหวินส่งมานั้นอยู่ที่ไหน และจะหาพวกเขาได้ที่ไหน” หลี่ผูพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหลินอิ่งได้ และท่าทางของหลินอิ่งก็ไม่ยอมหลบหนีไปต่างประเทศแน่นอน

หลินอิ่งพยักหน้า และเดินออกไปจากวิลล่าด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท