ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 84จับมือ

บทที่ 84จับมือ

บทที่ 84จับมือ

เมื่อจางซิ่วเฟิงเห็นว่าภรรยาของตัวเองล้มลงกับพื้น เขาก็รีบลงจากรถ แล้วมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่โกรธแค้นมาก

“หลินอิ่ง นี่แกทำอะไรลงไป? หลายปีที่เราเลี้ยงดูแกมามันช่างไร้ค่าจริงๆ ที่แกกล้าปล่อยให้นังแพศยาแบบนี้มาทำร้ายแม่ยายของแกแบบนี้!” จางซิ่วเฟิงพูดออกมาด้วยความโมโห

สีหน้าของจางฉีโม่เองก็ดูไม่ดีเลย เธอจึงรีบเดินเข้าไปดูแม่ของตัวเอง “แม่ เป็นยังไงบ้างคะ?”

“ไม่ต้องมายุ่ง!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดประชดประชัน “ลูกรัก แกเห็นรึยัง ว่าหลินอิ่งที่แกเชื่อใจนักหนาได้ทำอะไรลงไป? มันกล้าลงมือกับแม่แล้วเนี่ย!”

“ลูกรัก วันนี้แกต้องเปลี่ยนใจสักทีนะ แกควรไล่หลินอิ่งออกจากบ้านเราได้แล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างจริงจัง “ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้แม่ก็จะไม่ลุกขึ้นเด็ดขาด!”

“แม่คะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ ถ้าใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดีเอาได้นะคะ” จางฉีโม่ทำหน้าลำบากใจ ไม่คิดว่าแม่ตัวเองจะใช้โอกาสนี้มาบีบบังคับเธอ “นี่มันคนละเรื่องกันนะคะ แม่จะเอามันมารวมกันได้ยังไง?”

“มีอะไรให้อาย? แม่จะให้คนของตระกูลจางทั้งหมดได้เห็นว่าหลินอิ่งคนนี้มันเนรคุณขนาดไหน! ให้พวกเขาได้รู้ว่ามันสมควรที่จะถูกขับออกจากตระกูลขนาดไหน!” ลู่หย่าฮุ่ยสบถอยู่ในลำคอ “จะไม่เป็นไรได้ยังไง? ลูกรัก แกยังมองไม่ออกอีกเหรอว่าหลินอิ่งมันเป็นคนยังไง?”

จางฉีโม่ทำหน้าลำบากใจมาก พยุงตัวแม่ให้ยืนขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า “แม่คะ ในเมื่อแม่ก็ไม่ได้เป็นอะไร งั้นเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะค่ะ”

“ทำไมแม่จะไม่เป็นไร? แม่เจ็บแขน! เจ็บหลังไปหมดแล้ว! แกรีบสั่งให้หลินอิ่งไปตบหน้านังแพศยาคนนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ! บอกให้มันมาขอโทษแม่เดี๋ยวนี้!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

จากนั้นก็หันไปมองหน้าหลินอิ่งด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วพูดออกมาอย่างสง่างามว่า “หลินอิ่ง ได้ยินรึยัง? แกบอกว่าแกบริสุทธิ์ใจไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่ฉันพูดซะ ตบสั่งสอนนังผู้หญิงคนนั้นเดี๋ยวนี้ บอกให้มันขอโทษฉันด้วย!”

“จะให้ฉันขอโทษคุณอย่างนั้นเหรอ? ตบฉันอย่างนั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะให้เกียรติหลินอิ่งละก็ ฉันคงตบคุณไปหลายฉาดแล้วค่ะ!” หวางหงหลิวพูดด้วยความโมโห กับคนที่เป็นถึงคุณหนูตระกูลหวางอย่างเธอ ไม่เคยถูกใครดูถูกอย่างนี้มาก่อนเลยนะ

“อะไรนะ? ลูกได้ยินแล้วใช่ไหม? นี่แหละคือธาตุแท้ของหลินอิ่ง มันตั้งใจใช้ผู้หญิงคนนี้มาก่อกวนแม่! มันเกินไปหรือเปล่า?” ลู่หย่าฮุ่ยคำรามออกมา “ถนนเส้นนี้มีแต่เพื่อนบ้านที่เก่าแก่ของตระกูลจาง ซิ่วเฟิงคะ คุณรีบไปตามให้เพื่อนบ้านมาช่วยสั่งสอนนังแพศยาคนนี้หน่อยได้ไหมคะ!”

“ได้! เดี๋ยวผมจะรีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้เลย!” จางซิ่วเฟิงพูดออกมาด้วยความโมโฆ

จางฉีโม่รีบขวางจางซิ่วเฟิงเอาไว้ สีหน้าลำบากใจมาก เธอถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “เฮ้อ……พ่อคะ แม่คะ เลิกโวยวายสักทีได้ไหมคะ พวกท่านรู้ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์กับหลินอิ่งกันแน่ มาถึงก็ด่ากันฉอดๆๆ เป็นใครก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาแหละค่ะ” เธอเชื่อแล้วว่าหลินอิ่งไม่ได้เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ

ตอนนั่งอยู่ในรถเธอเองก็ได้ยินไปหมดแล้ว สิ่งที่แม่ของเธอพูดออกมามันก็เกินไปจริงๆ ยิ่งพูดกับผู้หญิงแบบนี้แล้ว

ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอ ก็คงต้องเดินเข้าไปผลักบางเหมือนกัน

“ยังต้องถามอีกเหรอ? ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกมันเป็นคู่ที่น่ารังเกียจขนาดไหน!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ “ลูกรัก ทำไมแกโง่อย่างนี้? จนถึงขั้นนี้แล้วแกยังคิดว่าหลินอิ่งสามารถพึ่งได้อีกเหรอ?”

“นี่คุณป้า ถ้าคุณยังไม่หยุดแหกปากอีก ฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” หวางหงหลิงที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า กำลังกระทืบเท้า

ตอนนี้ ไอ้หกไอ้เจ็ดก็เดินเข้ามาแล้ว จ้องมองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยด้วยสายตาที่เย็นเยือก หักนิ้วจนเกิดเสียงดัง

“ดีนี่! หลินอิ่งนี่แกจ้างสมุนมาด้วยสินะ ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว รอเสร็จเรื่องก่อนเถอะ ฉันจะให้น้ารองของฉีโม่ช่วยฉันระบายความคับแค้นใจในครั้งนี้คอยดู!”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ลากจางฉีโม่เข้าบ้านไปด้วยความโมโห

จางซิ่วเฟิงเองก็หันมามองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจเหมือนกัน “ฉันละผิดหวังในตัวแกจริงๆ ไอ้คนเนรคุณ! ต่อไปแกก็พึ่งพาตัวเองไปแล้วกัน!”

คนในครอบครัวของจางฉีโม่ได้เข้าไปในบ้านเก่าของตระกูลจางหมดแล้ว

หวางหงหลิงหน้าแดงก่ำ แล้วหันไปมองหลินอิ่งที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยิ่งทำให้เธออยากจะระเบิดออกมาเลย นี่เขายังนิ่งเฉยอยู่ได้ยังกันเนี่ย?

“มีพ่อตาแม่ยายอย่างนี้คุณทนไหวได้ยังไงเนี่ย? ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัวแทนเลย!” หวางหงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตระกูลจางที่เน่าเฟะขนาดนี้ไม่เห็นจะน่าอยู่เลย ถ้าฉันเป็นคุณละก็คงอาละวาดไปนานแล้ว!”

แต่หลินอิ่งยังคงดูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “พ่อตาแม่ยายไม่ใช่คู่ชีวิตของผมสักหน่อย”

“โอ้วพระเจ้า คุณนี่สมองมีปัญหาจริงๆ สินะ?” หวางหงหลิงทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่มีความสามารถอย่างหลินอิ่ง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็สามารถออกไปสร้างทางของตนเองแท้ๆ! แล้วยังจะมาทนอยู่ในสภาพแบบนี้ทำไม?

“คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย แล้วเดินเข้าบ้านเก่าของตระกูลจางไป

“นี่คุณ? คุณยังคิดจะเข้าไปในบ้านของตระกูลจางอีกเหรอคะ? ทั้งๆ ที่พวกเขาทำกับคุณถึงขนาดนี่เนี่ยนะ!” หวางหงหลิงมองตามแผ่นหลังของหลินอิ่งไป จนอยากจะเป็นลม เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วหลินอิ่งยังคิดจะเข้าไปอีกเหรอ? หรือเขาเป็นพวกซาดิสม์อย่างนั้นเหรอ?

“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ใช้ชีวิตกับคนตระกูลจางสักหน่อย”

เสียงของหลินอิ่งลอยมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หายเข้าไปในประตูของบ้านตระกูลจาง

“ไอ้หก ไอ้เจ็ด พวกคุณคิดว่า การที่คนตระกูลจางต่างก็ทำกับหลินอิ่งถึงขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังทนอยู่ที่นี่อีก?” หวางหงหลิงพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “จางฉีโม่ภรรยาของเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเขาสักเท่าไหร่ นี่ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเขาจะไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า แล้วพวกคุณคิดว่าหลินอิ่งเขาทำไปเพื่ออะไรกัน?”

ไอ้หกไอ้เจ็ดมองหน้ากัน แล้วทำหน้าสงสัย จริงๆ สิ่งที่พวกเขาอยากจะพูดก็คือ : ความจริงแล้วหลินอิ่งเองก็ดูไม่ได้สนใจอะไรคุณหนูเหมือนกัน แล้วคุณหนูล่ะทำไปเพื่ออะไร?

“ที่เขายังสามารถทนได้ถึงขนาดนี้ สรุปเขารักจางฉีโม่ถึงขนาดไหนกันเนี่ย?” หวางหงหลิงเอานิ้วจิ้มคาง กัดริมฝีปากเบาๆ และแสดงความอิจฉาออกมาทางแววตา

……

เมื่อหลินอิ่งเดินเข้าในบ้านเก่าของตระกูลจางแล้ว เขาก็นั่งลงที่ข้างๆ ของจางฉีโม่

“หลินอิ่ง ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอคะ? เธอเป็นอะไรกับคุณ?” จางฉีโม่แอบถามอย่างเงียบๆ สีหน้าดูสับสนและแอบมีความหวั่นใจซ่อนอยู่ในนั้นด้วย

“ผมเคยบอกคุณไปแล้วนะ เธอคือหวางหงหลิง” หลินอิ่งตอบไปตามตรง “และผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเธอด้วยครับ” จางฉีโม่ทำหน้าตกใจ “เธอก็คือคุณหนูของตระกูลหวาง หวางหงหลิงอย่างนั้นเหรอคะ?”

“ฉันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าหวางหงหลินนั้นขึ้นชื่อเรื่องนิสัยเสีย ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก เป็นคุณหนูที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ ในเมืองชิงหยูนนี้ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องเธอเลยนะคะ แล้วเธอทนต่อการที่ถูกแม่ต่อว่าขนาดนั้นได้ยังไงกัน?” จางฉีโม่พูดด้วยความสงสัย และเชื่อไม่ลงจริงๆ

เธอเคยได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่งมานานแล้ว ในเมืองชิงหยูนเคยมีคุณชายของตระกูลนักเลงคนหนึ่งเข้าไปจีบหวางหงหลิง ในการพบกันครั้งแรกเธอก็สั่งให้บอดี้การ์ดหักขาของชายคนนั้นทิ้งซะ และที่สำคัญคือตระกูลของชายคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึงเรื่องนี้เลย

พูดได้ว่า ในเมืองชิงหยูนนี้หวางหงหลิงนั้นขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายเลยล่ะ

“ไม่รู้สิครับ” หลินอิ่งตอบ

“งั้นก็แสดงว่าเธอต้องสนใจในตัวคุณมากเลย เธอคงต้องการให้คุณไปทำงานที่บริษัทของเธอมากแน่ๆ? แล้วคุณจะไปไหมคะ?” จางฉีโม่แอบถาม

“ผมไม่มีทางไปแน่นอนครับ” หลินอิ่งได้ยิ้มออกมา “แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเหรอครับ?”

จางฉีโม่กัดริมฝีกปากเบาๆ จากนั้นก็พูดออกมา “พ่อกับแม่ต่างก็กระทำกับคุณอย่างนี้ คนในตระกูลจางก็จ้องแต่จะไล่คุณออกไป แล้วคุณยังคิดที่จะอยู่กับตระกูลจางต่ออีกเหรอคะ?”

หลินอิ่งหันไปมองจางฉีโม่ แล้วถามไปด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “แล้วคุณอยากให้ผมอยู่ต่อหรือเปล่าล่ะครับ?”

“ฉัน……” จางฉีโม่หันไปมองหลินอิ่งอย่างไม่ค่อยกล้าสู้ตาเขานัก “ฉันยิมยอมชั่วคราวค่ะ! เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด”

“ขอแค่คุณอยากให้ผมอยู่ ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งผมได้ ไม่มีใครสามารถไล่ผมออกจากที่นี่ได้หรอกครับ”

หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย แล้วยื่นมือไปกุมมือของจางฉีโม่เอาไว้

ใบหน้าของจางฉีโม่ค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ แล้วกัดริมฝีปากเบาๆ

ถึงหลินอิ่งจะแต่งงานกับเธอมาสองปีกว่าแล้วก็ตาม แต่นี่คือครั้งแรกเลยที่เขาจับมือกับเธอ……

และนี่ก็คือครั้งแรกเลยที่ทั้งคู่ได้ใจสั่นพร้อมกัน

“หลินอิ่ง! ได้ยินว่าแกกล้าพาผู้หญิงคนอื่นมาที่นี่ด้วยใช่ไหม? แถมยังกล้าทำร้ายแม่ยายของตัวเองอีกจริงไหม?”

ในตอนนั้น จางหงอี้ก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห แล้วก็เริ่มด่าทอหลินอิ่งขึ้นมาทันที

จางหงอี้กระทืบเท้าอย่างแรง แล้วจ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความหยิ่งยโส

“ช่างเป็นหมาที่ใจกล้าจริงๆ เลยนะ! ที่กล้ามารังแกคนของตระกูลจางถึงหน้าบ้าน วันนี้ไม่เพียงแค่แกคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกไล่ตะเพิดไป แต่นังแพศยาคนนั้นเองก็จะต้องมาคุกเข่าขอขมาอยู่ตรงหน้าประตูของตระกูลจางอีกด้วย!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท