ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 86 มีคนมาจากตระกูลหวาง?

บทที่ 86 มีคนมาจากตระกูลหวาง?

บทที่ 86 มีคนมาจากตระกูลหวาง?

หลินอิ่งเหลือบมองไปที่จางหงจูน

หลังจากนั้น เขาก็มองไปที่จางฉีโม่ สายตาของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อยและพูดว่า “ฉีโม่ คุณเห็นด้วยกับการหย่าหรือไม่?”

การแสดงออกสีหน้าของจางฉีโม่ดูไม่ค่อยดีมาโดยตลอด และเมื่อเธอได้ยินคำพูดของหลินอิ่ง การแสดงออกของเธอก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย

“ฉันไม่เห็นด้วย” จางฉีโม่กล่าวอย่างเคร่งเครียด “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาตัดสินแทนฉัน”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย สายตาของเขาเย็นชามาก และเขามองไปที่คนในครอบครัวของตระกูลจางที่นั่งอยู่รอบๆ

“เรื่องที่ฉีโม่ไม่ตกลงนั้น ไม่มีใครสามารถบังคับเธอได้” หลินอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ว่าจะเป็นใคร จะอยู่ในฐานะอะไร ถึงเทพพระเจ้าจะมาก็ไม่มีประโยชน์!”

“ใครก็ตามกล้าที่จะบังคับความประสงค์ของฉีโม่ ผมก็จะไม่ปล่อยเขาไว้แน่ๆ!”

“คุณ?”

เมื่อหลินอิ่งกล่าวคำพูดนี้ออกมา พี่น้องสามคนจางหงจูนและพ่อแม่ของฉีโม่ ต่างก็ตกใจในทันที และอึ้งไปกับสายตาที่เย็นชาของหลินอิ่ง

แต่อึ้งไปเพียงชั่วครู่ พวกเขาทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม

ถ้าหวางจื่อเหวินผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหวางพูดสิ่งนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

เป็นหลินอิ่งไอ้ขยะนั่นเหรอ ยังอยากจะทำให้พวกเขากลัวงั้นหรือ? เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?

“คุณกำลังขู่ให้พวกเรารู้สึกกลัวเหรอ?” จางหงอี้พูดด้วยสีหน้าที่ดูถูก “ฉันรู้ว่าคุณเคยฝึกกังฟูมาก่อนเล็กน้อย คิดว่าตัวเองเก่งการต่อสู้มากงั้นเหรอ? โง่มากจริงๆ! ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว คุณกล้าที่จะตีฉันหรือไม่?”

“โอ้ย เขาก็เก่งได้เท่านี้แหละ ไม่มีความสามารถอะไรเลย เป็นเรื่องมวยนิดหน่อย ยังอยากจะฆ่าคนอื่นโดยไม่คิดอีกด้วย มันน่าขันจริงนัก” จางหงซวนกล่าวเย้ยหยัน

“ฉีโม่ ทำไมคุณถึงไม่เห็นด้วย? นี่คุณไม่ใช่หาเรื่องหรือ? ยังปล่อยให้หลิ่นอิ่งอยู่ที่บ้านเพื่ออะไร? ฝั่งตระกูลหวางได้เตรียมสินสอดไว้เรียบร้อยแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ และพยายามเกลี้ยกล่อมจางฉีโม่ ถ้าหลินอิ่งไม่ถูกไล่ออกจากบ้าน ครอบครัวของพวกเขาจะเข้าสู่ในตระกูลที่ร่ำรวยได้อย่างไร? จะมีโอกาสอาศัยอยู่ในบ้านวิลล่าและขับรถสปอร์ตได้อย่างไร?

“ช่างมันเถอะ หลินอิ่งไม่ยอมเซ็นชื่อก็ดีเหมือนกัน! พวกเราก็ผ่านกระบวนการทางกฎหมายกันโดยตรงเถอะ จ่ายค่าครองชีพให้เขาเก้าหมื่นหยวนยังไม่รู้จักขอบคุณ” จางหงจูนพูดด้วยความเย่อหยิ่ง “เขาคิดว่าตัวเองต่อสู้เก่งมาก พอดีเลย ผมจะโทรคุณชายหวางให้เขามาที่นี่ แล้วปล่อยให้หลินอิ่งไปสู้กับบอดี้การ์ดของคุณชายหวาง”

“คุณประธานจาง คนของตระกูลหวางมาแล้วอยู่นอกประตู!”

ในขณะนี้ บอดี้การ์ดในชุดสูทเข้ามาอย่างเร่งรีบ และรายงานให้กับจางหงจูน

“พึ่งพูดถึงผู้มีอุปการคุณ ผู้มีอุปการคุณก็มาถึง” จางหงจูนกล่าวด้วยสีหน้าได้ใจ “ไปกันเถอะ พวกเราออกไปต้อนรับกัน! คุณชายหวางน่าจะส่งสินสอดมาแล้ว หลินอิ่ง คุณอยากจะตีคนไม่ใช่เหรอ? คนของคุณชายหวางมาแล้ว คุณไปต่อสู้กับบอดี้การ์ดของคุณชายหวาง!”

“ยังจะต่อสู้เหรอ? ฉันว่านะเขาไม่กลัวจนฉี่ราดใส่กางเกงก็ดีแค่ไหนแล้ว” จางหงอี้พูดพร้อมกับเยาะเย้ย ขณะที่เดินออกไปนอกประตู “อีกอย่าง หลินอิ่ง คนในตระกูลหวางก็มาถึงแล้ว วันนี้ถ้าคุณไม่เรียกผู้หญิงคนนั้นมาคุกเข่าหน้าประตูและขอโทษ คุณก็อย่าคิดว่าจะได้จากไป!”

“หืม หลินอิ่ง คุณก็คอยรอดูแล้วกัน ดูว่าความน่ากลัวของคุณชายหวาง คุณทำให้คุณชายหวางขุ่นเคือง พวกเขามาที่นี่ก็จะมาหาเรื่องของคุณในครั้งนี้ คุณตายแน่ๆ!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเย็นชา และวิ่งไปต้อนรับที่หน้าประตูอย่างเร่งรีบ อยากจะสร้างความประทับใจให้กับลูกเขยผู้ร่ำรวยในอนาคตคนนี้

เธออยากให้หวางจื่อเหวินเอาชนะหลินอิ่งจนคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว จนให้เขาเสียความมั่นใจในตนเอง และออกจากตระกูลจางอย่างเชื่อฟัง เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับคุณชายหวาง

“หลินอิ่ง คุณจากไปทางประตูหลังเถอะ หวางจือเหวินคนนี้กำลังมาอย่างอุกอาจ เขาจะต้องพาคนมาหาเรื่องของคุณแน่ๆ” จางฉีโม่กล่าวด้วยสีหน้าที่กังวล

“ไม่เป็นไร ออกไปดูให้หน่อยว่า หวังจือเหวินอยากจะเล่นกลเม็ดอะไร” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น และก็เดินไปที่ทางประตู

ตอนเช้าก็ให้เสิ่นซานจัดกลุ่มกำลังพลแล้ว และรถยนต์สิบสองคันติดตามหวางจือเหวินอย่างลับๆตลอดเวลา เขาจะเล่นกลอะไรได้อีก?

หลังจากนั้นไม่นาน คนก็เดินมาถึงที่หน้าประตูบ้านหลังเก่าของตระกูลจาง

“หลินอิ่ง คุณโทรหาหญิงคนนั้นเดี๋ยวนี้ และบอกให้เธอมาคุกเข่าขอโทษทันที มิฉะนั้นเธอจะแย่กว่านี้ ถ้าฉันพบเธอ! ก็คือผู้หญิงคนที่ไปเกลือกกลั้วที่ห้อง หลังจากที่คุณออกมาจากหมิงเป่าซวนในวันนั้น ได้ยินมาว่ายังใช้น้ำหอมกลิ่นกุหลาบด้วยเหรอ?” จางหงอี้พูดเยาะเย้ย ทำสีหน้าเยอะหยิ่ง เท้าเอวแล้วยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านหลังเก่า

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่เห็นคุณชายหวางจือเหวินมาเลย?” จางหงจูนมองอย่างงงงวย และมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใครอยู่แถวๆนั้นเลย

ก่อนหน้านี้หวางจือเหวินไม่ใช่บอกว่าเขาจะนำบอดี้การ์ดหลายสิบคนมาจัดการกับหลินอิ่งหรือ?

“โอ้ คุณหนูใหญ่อย่างข้าอยู่ที่นี่ คนไร้ประโยชน์อย่างหวางจือเหวินจะกล้ามาที่นี่หรือ?”

เสียงผู้หญิงเย็นชาดังออกมา

ไอ้หกและไอ้เจ็ดเปิดประตูรถยนต์ และหวางหงหลิงก็ลงมาจาก Bugatti Veyron สีแดงกุหลาบอย่างกระตือรือร้น ปรับคอเสื้อให้เรียบร้อย และมองไปที่กลุ่มคนของตระกูลจางด้วยสีหน้าที่เย็นชา

“ยายตัวแสบยังกล้าต่อว่าคุณชายหวางจือเหวิน? ผู้หญิงที่ไร้ยางอายอย่างแก ยังกล้าที่จะอยู่ที่นี่หรือ?” ลู่หย่าฮุ่ยดูหมิ่นหวางหงหลิงและมองไปรถยนต์ที่อยู่ข้างหลังตัวเธอ “ยังทำเหมือนของจริงสักด้วย รถหรูคันนี้เช่ามาหรือเปล่า? อยากจะมาขู่คนเหรอ?”

“พี่สาวสอง ใช่ผู้หญิงคนนี้ ที่ผลักตัวฉันก่อนหน้านี้ และยังกล้าตีฉันที่หน้าบ้านของตระกูลจางด้วย คุณพึ่งบอกว่าจะตามหาเธอ ตอนนี้ไม่ต้องตามหาตัวเธอแล้ว และช่วยฉันแก้แค้นที!” ลู่หย่าฮุ่ยบ่นกับจางหงอี้ “รีบเรียกคนจับเธอไว้ทันที วันนี้เธอต้องคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตระกูลจางให้ได้ และยอมรับว่าเธอเคยมีอะไรกับหลินอิ่ง!”

จางหงอี้มองไปที่หวางหงหลิง ด้วยสีหน้าซีดเซียว ผลักมือของลู่หย่าฮุ่ยออกไป และพูดอย่างโหดเหี้ยม “ยัยผู้หญิงปากร้ายรีบหุบปากไปซะ! คุณไม่ห้ามปากตัวเองบ้าง! นี่คือคุณหนูคนโตของตระกูลหวางชื่อว่าหวางหงหลิง คุณอยากหาที่ตายเอง อย่าลากฉันไปด้วย!”

“อ๊ะ! คุณหนูคนโตของตระกูลหวางเหรอ?” ลู่หยาฮุ่ยหน้าซีดด้วยความตกใจ มองไปที่หวางหงหลิงด้วยความไม่น่าเชื่อ ขาแทบจะอ่อนแรงลง

มันจะเป็นไปได้ยังไง ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่หลินอิ่งหาอยู่ข้างนอกเหรอ? แม้แต่น้ำหอมกลิ่นกุหลาบบนร่างกายของหลินหยินในคืนนั้นก็ตรงกันแล้ว เหตุใดเธอจึงกลายเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลหวางอีกครั้ง?

คนอย่างไอ้ขยะนั่นหลินอิ่ง รู้จักกับคุณหนูคนโตของตระกูลหวางได้อย่างไร?

“หงหลิง ทำไมคุณถึงมาที่นี่? คุณป้าไม่ได้เจอคุณมาตั้งนานแล้ว สวยขึ้นเยอะเลย” จางหงอี้พูดพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

ถึงจะเป็นสมาชิกของตระกูลหวางเหมือนกัน และก็มีความแตกต่างมากระหว่างสฐานะ หวางหงหลิงเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้านายของตระกูลหวาง สฐานะและอำนาจของเธอนั้นสูงกว่าหวางจือเหวิน พ่อของเธอหวางเฉิงเฉียนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในตระกูลหวาง!

และพ่อของหวางจือเหวินหวางกั๋วคางเป็นคนรับใช้ของผู้บังคับบัญชาของผู้อาวุโสของตระกูลหวาง และหวางโจงสามีของเธอ ซึ่งทำงานเลี้ยงชีพอยู่ภายใต้ของหวางกั๋วคาง ด้วยสฐานะของเธอที่อยู่ในตระกูลหวาง เธอจะกล้าทำให้หวางหงหลิงขุ่นเคืองได้อย่างไร และไม่กล้าที่จะแสดงความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เลยสักนิด

“คุณจะเรียกฉันว่าหงหลิงได้หรือ?” หวางหงหลิงจ้องมองจางหงอี้อย่างเย็นชา และเต็มไปด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย

“ขอโทษค่ะ คุณหนูใหญ่ ฉันเรียกผิดไป ฉันควรจะเรียกว่าคุณหนูใหญ่” จางหงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม เธอสามารถแสดงความยิ่งใหญ่อยู่ข้างนอกได้ แต่เมื่อเธอได้พบกับหวางหงหลิง สฐานะของเธอเกือบจะเหมือนกับสาวใช้ของตระกูลหวางไปเลย

“สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้นี้ ฉันได้ยินหมดแล้ว! คุณบอกว่าจะตามหาฉัน และให้ฉันคุกเข่าที่หน้าบ้านของตระกูลจางและขอโทษงั้นเหรอ?” หวางหงหลิงถามอย่างเย็นชา “คุณบอกว่าฉันกับหลินอิ่งมีอะไรกันอยู่ในห้องหรือ? ว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้นอีกหรือ?”

เมื่อกี้นี้เธอถูกลู่หย่าฮุ่ยเยาะเย้ยมาก่อนจนกั้นความโกรธไว้ที่นี้ เพราะไว้หน้าของหลินอิ่งเธอจึงไม่ได้โกรธ คราวนี้จางหงอี้เยาะเย้ยและใส่ร้ายเธออยู่ข้างนอก และเธอก็ได้ยินพอดี ครั้งนี้ความโกรธของเธอก็เป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องทันที!

ภรรยาของหวางโจง ไอ้ขยะนั่นที่ทำงานอยู่ภายใต้ของหวางกั๋วคางเหมือนสุนัขตัวนึ่ง กล้าดูถูกต่อว่าหวางหงหลิงต่อหน้าเช่นนี้หรือ? ไม่รู้จริงๆแล้วว่าตัวเองกำลังกินข้าวของบ้านไหนอยู่!

ใบหน้าของจางหงอี้ซีดเซียว เหงื่อออกที่หน้าผาก เธอไม่คาดคิดว่าหลินอิ่งไอ้ขยะนั่นจะรู้จักกับหวางหงหลิง และผู้หญิงที่สงสัยว่าหลินอิ่งกำลังมีอะไรด้วยอยู่ข้างนอกก่อนหน้านี้ จะเป็นนางมารของตระกูลหวางคุณหนูหวางผู้นี้! ยังเยาะเย้ยอยู่ต่อหน้าและหวางหงหลิงก็ได้ยินพอดี?

“คุณหนูใหญ่ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ฉันไม่ได้คาดคิดว่าคุณจะเป็นเพื่อนกับหลินอิ่ง” จางหงอี้พูดด้วยสีหน้าอัปลักษณ์ “คุณหนูใหญ่ ขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษ”

“จางหงอี้ เหยียดใบหน้าของคุณออกมา!” หวางหงหลิงพูดด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ยกฝ่ามือขึ้น น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท