ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 83โหวกเหวกโวยวาย

บทที่ 83โหวกเหวกโวยวาย

บทที่ 83โหวกเหวกโวยวาย

เช้าวันต่อมา

หลินอิ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้หรูตัวหนึ่ง ด้านหน้าคือโต๊ะอาหารตัวใหญ่ที่มีอาหารตั้งเรียงรายเต็มไปหมด

ภายในภาชนะที่หรูหราทุกใบล้วนแล้วแต่เป็นอาหารชั้นเลิศที่หากินได้ยากทั้งนั้น

ข้างๆ ของโต๊ะอาหารยังมีกองภูเขาที่สร้างจากชา Wuyiตั้งอยู่ เขาสีแดงฉาน กลิ่นหอมเย้ายวนใจ

“คุณชาย ของพวกนี้ล้วนแต่เป็นอาหารที่คุณชอบกินสมัยเด็กทั้งนั้นเลยนะครับ” หลี่ผูพูดด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความหนักใจ

“รสมือของตาแก่คนนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่นึกเลยว่าชีวิตนี้ผมยังจะสามารถมีโอกาสได้รับใช้คุณชายด้วยตนเองแบบนี้อีก”

หลินอิ่งยังคงทำหน้าเรียบเฉย แล้วยื่นมือไปตักซุปรังนก “รบกวนคุณแย่เลย มานั่งกินด้วยกันครับ”

“ช่วงนี้คุณก็อยู่รักษาตัวในวิลล่าหิมะมังกรให้ดีๆ นะครับ การที่ผมจะหาคนมาช่วยดูแลคุณจากภายนอกมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“คุณไม่ต้องเป็นห่วงครับ กระสุนก็ถูกผ่าออกมาแล้ว เดี๋ยวแผลมันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองครับ ลูกน้องที่หลงเหลืออยู่ในเมืองชิงหยูนของผมก็ถูกพวกเหวินเป้าฆ่าไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมก็เหลือแค่ตัวคนเดียว ผมจะคอยอยู่เคียงข้างคุณชาย ช่วยคุณชายดูแลบ้านหลังนี้ต่อไปครับ” หลี่ผูเองก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังเช่นกัน

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ

“คุณชายครับ เมื่อคืนคุณไปที่โรงแรมชิงหยูนผลออกมาเป็นยังไงบ้างครับ?” หลี่ผูถามด้วยความสงสัย ดูเขาสนใจเรื่องนี้มาก

“คนที่ตระกูลเหวินส่งมา ผมจัดการไปหมดแล้วครับ” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ

เขาได้รับข้อความจากเสิ่นซานตั้งแต่เช้าแล้ว เขารายงานว่าคนที่มากับเหวินเป้าได้ถูกจัดการไปหมดแล้ว

หลี่ผูพยักหน้า แววตาซับซ้อน เหมือนอยากพูดอะไร แต่ก็เงียบไป

หลี่ผูรู้ดีว่าสิบกว่าปีมานี้คุณชายจะต้องพบเจอกับเรื่องยากลำบากมากมาย แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะถามไถ่

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณชายถึงไม่ให้พวกคุณหญิงย้ายเข้ามาในวิลล่าล่ะครับ?” หลี่ผูถามขึ้น

การที่เขายังอาศัยอยู่ที่เมืองชิงหยูนนี้ เขาก็คอยติดตามข่าวสารของหลินอิ่งอยู่ตลอด เขาจึงต้องรู้อยู่แล้วว่าหลินอิ่งมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าหลินอิ่งย้ายเข้าไปในวิลล่าหิมะมังกรตั้งแต่เมื่อไหร่ แสดงว่าอำนาจใต้ดินของเขาก็มีมากพอสมควรเลย

“เรื่องพวกนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงที่ทุ้มลึก “คุณจำให้ขึ้นใจเลยนะ สถานะของคุณในตอนนี้คือคนที่ผมจ้างมาให้เป็นพ่อบ้านเท่านั้น ส่วนเรื่องหรือคนนอกเหนือจากนี้คุณก็ไม่ต้องถาม”

“ครับ” หลี่ผูพยักหน้าอย่างแรง

“โอเค ผมจะออกไปทำงาน ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมจะติดต่อกลับมาเองครับ” หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินอิ่งก็ได้ยืนขึ้นแล้วเดินออกจากวิลล่าหิมะมังกรไป หลี่ผูมาส่งเขาถึงที่หน้าประตู

สามสิบนาทีหลังจากนั้น

หลินอิ่งได้นั่งแท็กซี่มาถึงที่ทางใต้ของเมือง หยุดลงตรงหน้าถนนเส้นหนึ่งที่ค่อนข้างเก่าแก่

บ้านของตระกูลจางก็อยู่ในถนนเส้นนี้ ถนนจางฟา

บ้านของตระกูลจางนั้นเป็นบ้านสไตล์โบราณ มีลานหน้าบ้านและสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ล้อมอยู่รอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตระกูลที่มั่งคั่ง ปกติจะไม่มีคนอยู่ มันจะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อมีกิจกรรมขนาดใหญ่ภายในตระกูลเท่านั้น

การที่จางหงจูนกับจางหงอี้ตั้งใจจัดการประชุมครั้งใหญ่ของสมาชิกในตระกูลแบบนี้ ก็เพื่อต้องการบีบให้ครอบครัวของจางฉีโม่ขับหลินอิ่งออกไปซะ และถือโอกาสเปิดประเด็นเรื่องหวางจื่อเหวินกับจางฉีโม่ไปด้วย จะได้เข้าไปพึ่งพาบารมีของตระกูลหวางสักที

ในตอนนั้น ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมเสื้อกันลมสีแดงเดินเข้ามา เธอมาพร้อมกับรอยยิ้มอันซุกซนบนใบหน้า

หลินอิ่งมองไปยังหญิงสาวที่โดดเด่นคนนั้นแล้วขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็ถามไปว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ?”

เขามองไปรอบๆ แล้วก็ได้สังเกตเห็นว่าทางซอยเล็กๆ ที่อยู่ไกลๆ ได้มีบูกัตติคันแดงจอดอยู่ ไอ้หกไอ้เจ็ดได้นั่งอยู่ภายในรถคันนั้น

“ก็ตั้งใจมาดูอะไรสนุกๆ หน่ะสิคะ” หวางหงหลิงขำออกมา “มาดูคนบางคนถูกถีบออกจากบ้านไป”

หลินอิ่งพูดขึ้น “ผมว่าคุณอาจจะมาเสียเที่ยวก็ได้นะครับ”

“หือ! นี่คุณยังจะปากแข็งอยู่อีกเหรอคะ?” หวางหงหลิงส่งเสียงในลำคอ “คุณกำลังกลัวจะตายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? กลัวว่าจะถูกหวางจื่อเหวินแก้แค้นคุณ แม้แต่ตอนที่ไอ้หกแอบสะกดรอยตาม คุณยังกลัวว่าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยไม่ใช่เหรอ? หลายวันมานี้คุณคงแอบไปซ่อนตัวอย่างหวาดกลัวอยู่ในรูไหนสักรูสินะ!”

“คนตระกูลจางได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะขับไล่คุณออกไป ที่บริษัทคุณก็ไม่กล้าไป บ้านก็ไม่มีให้กลับ ดูสิต่อไปคุณจะใช้ชีวิตอยู่ต่อยังไง!”

หลินอิ่งพูดพร้อมรอยยิ้ม “นี่คุณสนใจเรื่องของผมขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

หวางหงหลิงหน้าแดงเล็กน้อย จากนั้นก็ตะคอกออกมา “เจ้ก็แค่ต้องการมาสมน้ำหน้าคุณเท่านั้น มีปัญหาเหรอ? คุณไปสร้างปัญหาให้ฉันที่หมิงเป่าซวน ไหนจะเรื่องที่คุณมาหลอกใช้ฉันอีก!”

“เจ้เองก็อยากมาดูเหมือนกันว่า คนอย่างคุณจะถูกทำให้อับอายได้ถึงขนาดไหน กล้าปฏิเสธงานของฉัน คุณก็ต้องมีจุดจบที่น่าเวทนาแบบนี้แหละ!”

หลินอิ่วยิ้มออกมาแต่ไม่ได้พูดอะไร

และในตอนนั้นเองก็ได้มีบีเอ็มสีน้ำตาลคันหนึ่งได้ขับเข้ามา อู่เจิ้งนั่งอยู่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับ ครอบครัวของจางฉีโม่ได้มาถึงแล้ว

ในขณะที่จางฉีโม่กับจางซิ่วเฟิงยังนั่งอยู่ในรถ ลู่หย่าฮุ่ยก็ทนไม่ไหวกระโดดลงจากรถ แล้วเริ่มด่าทอหลินอิ่งขึ้นมาทันที

“หลินอิ่ง หลายวันนี้แกไปหลบอยู่ที่ไหนมา ที่บริษัทก็ไม่กล้าเสนอหน้าไป ได้ข่าวว่าแกไปทำร้ายหวางจื่อเหวินด้วยสินะรนหาที่ตาจริงๆ เลยนะแก!”

ลู่หย่าฮุยยิ้มเยาะเย้ย วางท่าเหมือนเตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดี “โชคยังดีที่ฉันรู้ทันแล้วขับแกออกจากบ้านไปก่อนถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถูกคนอย่างแกทำร้ายไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้!

พูดจบ ลู่หย่าฮุ่ยก็หรี่ตามองไปยังหวางหงหลิง ย่นจมูก จากนั้นก็ทำหน้าประมาณว่าอย่างนี้นี่เอง

“ผู้หญิงคนนี้สินะที่แกเคยออกไปใช้ชีวิตเหลียวแลด้วยหน่ะ? แกนี่ช่างใจกล้าเหลือเกินนะ! ที่กล้าพานังผู้หญิงคนนี้มาเหยียบที่บ้านตระกูลจางแบบนี้?”

ลู่หย่าฮุ่ยสบถออกมา จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางที่เหยียดหยามว่า “หน้าไม่อายเลยสักนิด! ต่อไปถ้าไม่มีฉีโม่คอยให้ท้ายแกแล้ว แกก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปหาเงินในบริษัทอีก! ดูสิว่านังแพศยาคนนี้ยังจะคอยติดตามแกอยู่อีกรึเปล่า!”

“นี่คุณพูดอะไรออกมาคะ?” หวางหงหลิงหางตากระตุก จากนั้นก็ถามไปด้วยความโมโห สีหน้าเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง หลังถูกคำพูดของลู่หย่าฮุ่ยเสียดแทงเข้า

“ฉันพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะพิจารณาหวางหงหลิงอยู่ “ฉันว่าเธอเองก็หน้าตาสวยใช้ได้เลยนะ แต่ทำไมถึงได้ไร้ยางอายขนาดที่มายุ่งกับคนที่แต่งงานแล้วแบบนี้? ไม่ไปเลือกคนที่มันดีกว่านี้ล่ะ จะมาเลือกคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งอีกทำไม?”

“ฉันจะบอกอะไรให้นะ คุณผู้หญิง ที่หลินอิ่งมีกินมีใช้อย่างทุกวันนี้เนี่ย มันก็แค่ได้รับความช่วยเหลือจากฉีโม่ของเราเท่านั้น แต่อีกเดี๋ยวมันก็จะถูกเราขับไล่ออกไปแล้ว เธออย่างได้เข้าใจผิดคิดว่าเขายังเป็นคนของตระกูลจางอีกล่ะ มีเงินแค่นิดหน่อย แถมยังไม่หาเรื่องคุณชายของตระกูลหวางเข้าแล้วด้วย ถ้าเธอยังคิดจะอยู่กับเขาต่อไประวังต่อไปจะไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนนะ!” ลู่หย่าฮุ่ยยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ “หลินอิ่ง ต่อไปแกเองก็อย่าได้คิดที่จะใช้ชื่อเสียงของตระกูลจางไปหลอกผู้หญิงอีกล่ะ ดูแกน่าจะชอบสร้างภาพต่อหน้าสาวๆ น่าดูเลยนะ”

หลินอิ่งได้แต่ส่ายหน้าอย่างเงียบๆ ลู่หย่าฮุ่ยนี่ช่างโวยวายเก่งซะจริง

ด้วยพฤติกรรมที่เธอแสดงออกไป ถ้าเกิดเธอรู้ว่าหวางหงหลิงเป็นถึงคุณหนูของตระกูลหวางละก็ เธอคงจะถูกตบตาบวมเลยมั้ง

“นี่คุณ!” หวางหงหลิงโกรธจนหน้าแดง ตอนแรกก็ตั้งใจที่จะตบไปสักฉาดสองฉาด เธอทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วผลักลู่หย่าฮุ่ยไปทีหนึ่ง

“โอ้ย!”

ลู่หย่าฮุ่ยแสร้งทำเป็นล้มลงกับพื้น จากนั้นก็มองมาที่หลินอิ่งกับหวางหงหลิงด้วยใบหน้าที่โกหกแค้น นอนอยู่บนพื้นแล้วส่งเสียงร้องออกมา

“ไอ้หย๋า! หลินอิ่ง! ไอ้คนเนรคุณ นี่แกกล้าสั่งให้นังแพศยาคนนี้ให้มาทำร้ายฉันอย่างนั้นเหรอ? คุณคะ ลูกรัก! รีบมาดูเร็ว มันคิดจะต่อต้านแล้ว!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท