ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 100 ให้คนที่บ้านของแกส่งเงินเข้ามา

บทที่ 100 ให้คนที่บ้านของแกส่งเงินเข้ามา

บทที่ 100 ให้คนที่บ้านของแกส่งเงินเข้ามา

“เจียงฉี? แก!แกมาที่นี่ได้ยังไงกัน?” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ไม่กล้าที่จะเชื่อ เหมือนกับเห็นผีก็ไม่ปาน

“หรือว่าลู่กวงพลาดแล้ว? เป็นไปได้ยังไงกัน?” ลูกน้องรายหนึ่งของฉินฝู้กุ้ยก็เอ่ยขึ้นด้วยความช็อกเช่นเดียวกัน จ้องเขม็งไปที่เจียงฉี

ชั่วพริบตา สีหน้าของพวกฉินฝู้กุ้ยต่างก็เปลี่ยนเป็นสับสนจนถึงขีดสุด

เมื่อครู่นี้ยังรอข่าวที่เจียงฉียอมอ่อนข้อเชื่อฟังคำสั่งอย่างปลื้มปริ่ม พวกเขาก็รอรับเงินอย่างมั่นคงเหมือนหมาตาย

แต่คิดไม่ถึง นี่เพิ่งจะกี่นาที เจียงฉีปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาเดี๋ยวนี้?

นี่คงจะไม่ใช่หมายความว่า คนที่ลู่กวงพาไปด้วยต่างก็ราบคาบหมดแล้ว?

“ฉินฝู้กุ้ย แม่ของฉันถูกแกจับไปไว้ที่ไหนแล้ว?” เจียงฉีเอ่ยถามด้วยเสียงที่เยือกเย็น จ้องเขม็งไปที่ฉินฝู้กุ้ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห

ดวงตาของฉินฝู้กุ้ยหรี่ลงเล็กน้อย คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หลังจากเข้าใจความคิดที่เจียงฉีพาคนเข้ามา เขาไม่ตื่นเต้นอีกต่อไป และก็ไม่หวาดกลัวเด็กหนุ่มที่ฝีมืออาจหาญคนนี้อีกเช่นเดียวกัน

ใช่สิ!แม่ของเจียงฉีก็ยังอยู่ในมือของตนเอง กูลนลานอะไรกัน?

หรือว่าเจียงฉียังจะสามารถพลิกฟ้าได้? ยังกลัวมันไม่ยอมเชื่อฟัง?

ต่อให้มันเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้มา แล้วนั่นจะยังไงได้อีก?

ตัวเองลมพายุคลื่นทะเลใหญ่เห็นมาเยอะแล้ว หมัดรุนแรงอีกแค่ไหนก็มีวิธีการที่จะรับมือ!

“หึ” ฉินฝู้กุ้ยหัวเราะขึ้นอย่างประชดประชัน สังเกตหลินอิ่งครู่หนึ่ง ก็หันไปทางเจียงฉีอีกครั้ง “แม่ของแกหายไปแล้ว เกี่ยวอะไรกับฉัน?”

“พวกแกไอ้โง่ทั้งสองคงจะไม่ได้มาที่ฉินหยุนโล๋หาเรื่องให้กับฉันหรอกมั้ง?” ฉินฝู้กุ้ยดูดซิการ์คำหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเต็มร้อย

“ไม่เกี่ยวกับแก?” ความโมโหของเจียงฉีทะลักขึ้น เอ่ยซักว่า “ลู่กวงคือลูกน้องของแก มันจับตัวแม่ของฉันไป แกกล้าบอกว่าแกไม่รู้?”

ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “เจียงฉี แกคงจะไม่ได้คิดว่าจัดการลู่กวงไปคนหนึ่ง ก็สามารถผยองต่อหน้าของฉันได้หรอกล่ะมั้ง? แกรู้หรือไม่ว่า นี่คือที่ของใคร?”

“แกแน่ใจว่า แกจะแกล้งตายก็ไม่ยอมปล่อยคน?” เจียงฉีซักถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ

“อ๋อ? นี่แกกำลังข่มขู่ฉันหรอ?” ฉินฝู้กุ้ยหัวเราะประชดประชันอย่างไม่แยแส “ลู่กวงก็เป็นขยะคนหนึ่ง แม้แต่แกก็จัดการได้ แต่ว่าคราวนี้ก็ดีแล้ว ตัวแกเองมาส่งถึงที่”

“เจียงฉี ในเมื่อแกรู้ว่าแม่ของแกอยู่ในมือของฉัน แกอยากจะช่วยชีวิตเธอใช่หรือเปล่า?” ฉินฝู้กุ้ยพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าหยอกเย้า “งั้นก็แสดงท่าทีขอร้องคนของแกออกมา!ทำให้ชัดเจน ตอนนี้เป็นใครที่ครอบครองอำนาจในการตัดสิน!แกแม่งนึกว่าเรียกผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้มา แอบปะปนเข้ามาในห้องรับรองพิเศษ ก็จะสามารถข่มขู่ฉันได้?”

“ตอนนี้แกคุกเข่าลงให้กับกู!ค่อยให้ผู้ต่อสู้ที่ไม่รู้จักความเป็นความตายด้านข้างของแก คุกเข่าลงขอโทษพี่น้องของฉัน!”

ฉินฝู้กุ้ยลุกพรึ่บขึ้นมา ออร่าเต็มสิบ ออกคำสั่งต่อหน้าหลินอิ่งและเจียงฉี

“กูให้เวลาพวกมึงสองคนสิบวินาที!” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างเผด็จการเต็มร้อย “ขุกเข่าโขกหัว!จากนั้น เจียงฉี มึงค่อยตรงไปตรงมากับกู เซ็นสัญญาส่งต่อบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ให้หมด ไม่เช่นนั้น ตอนนี้ฉันก็จะโทรศัพท์ จัดการกับแม่ของแก!”

ในสายตาของเขา หลินอิ่งก็เป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดมืออาชีพที่เจียงฉีจ่ายเงินจ้างมาก็เท่านั้นเอง จะให้ต่อสู้ได้อีกแค่ไหนแล้วจะยังไง? แม่ของเจียงฉียังอยู่ในมือ ก็คือไพ่ใบเอกที่ไม่มีทางแพ้ได้!

เจียงฉีโมโหจนถึงขีดสุด จ้องเขม็งฉินฝู้กุ้ยอย่างรุนแรง คิดไม่ถึงว่าฉินฝู้กุ้ยยังจะกล้าหยิ่งผยองขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกหลินอิ่งคุกเข่าให้กับเขา? ความตายมาถึงตัวแล้วยังไม่รู้จริงๆ

เพียงแต่ ท่าทีที่หยิ่งผยองนี้ของฉินฝู้กุ้ย ก็ไม่แปลกเพราะสติปัญญาของเขาต่ำเกินไป อย่างไรเสีย เขาก็ไม่เคยเห็นวิธีการและความสามารถที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินของหลินอิ่ง!

“ประธานหลิน ดูเหมือน ฉินฝู้กุ้ยจะไม่ยอมจำนนแล้วครับ คุณดูว่าจะจัดการเขายังไงเถอะ” เจียงฉีเอ่ยขึ้นอย่างเคารพนบนอบ ถอยไปยังด้านหลังของหลินอิ่ง

หลินอิ่งมองดูฉินฝู้กุ้ยครู่หนึ่งด้วยสายตาที่เยือกเย็น

สายตานี้มองจนฉินฝู้กุ้ยในใจรู้สึกเยือกเย็น รู้สึกเหมือนถูกปีศาจตนหนึ่งจับจ้องยังไงอย่างงั้น ทั่วทั้งร่างกายเหน็บหนาวไปหมด

“ประธานหลิน? หมายความว่าอะไร? เจียงฉี เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดของแก?”ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนกประหลาดใจ จ้องเขม็งไปที่หลินอิ่ง อยู่ๆรู้สึกเหมือนเรื่องราวไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

เจียงฉีดูเหมือนมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก แม่ของเขาต่างก็อยู่ในมือของตนเอง อาศัยอะไรมาผยองขนาดนี้? ก็อาศัยแค่เด็กหนุ่มสวมชุดกันลมสีดำนี่?

ฉินฝู้กุ้ยค่อนข้างคิดไม่เข้าใจ หันไปทางหลินอิ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า “เจียงฉีเรียกแกประธานหลิน? แกเป็นใคร?”

“ฉันเป็นใคร?” หลินอิ่งหัวเราะขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “เมื่อครู่นี้แกไม่ได้หยิบเอาเงินของฉัน แบ่งกันอย่างมีความสุขมากหรอกหรอ?”

“เงินของแก?” ฉินฝู้กุ้ยขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปยังธนบัตรสีแดงกระสอบใหญ่สิบกว่ากระสอบภายในห้อง สายตาตกใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดถึงจุดสำคัญของปัญหาขึ้นมาได้

สถานะของเด็กหนุ่ม ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด!

“แก!แกคือบอสใหญ่คนนั้นที่อยู่เบื้องหลังของเจียงฉี? แกเป็นใคร? ทำไมฉันไม่เคยเห็นแกมาก่อน!” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ

ในฐานะที่เป็นบุคคลในยุทธภพที่เก่าแก่คนหนึ่ง บุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองชิงหยูนเขาแทบจะรู้จักทั้งหมด!

ยิ่งอย่าพูดถึง คนที่สามารถหยิบเอาหลายพันล้านไปให้กับเจียงฉีดำเนินการได้อย่างง่ายดาย

บุคคลที่ทรัพย์สินทะลุฟ้าแบบนี้ จะเงียบเชียบไม่มีชื่อเสียงได้ยังไงกัน?

“หลินอิ่ง” หลินอิ่งเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ

“หลินอิ่ง?” หลินอิ่งไหนของเมืองชิงหยูน? มีเงินมากมายขนาดนี้?” ลูกน้องคนหนึ่งของฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย และก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

“ไม่ถูก? หลินอิ่งที่หนุ่มขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเขยขยะในตำนานคนนั้นของตระกูลจาง?” ฉินฝู้กุ้ยเบิกตาโพลงจ้องหลินอิ่ง รู้สึกมีอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมาก

“แม่งเอ๊ย กูไม่สนว่ามึงคือเทพถนนสายไหน อย่ามาเล่นละครแบบนี้กับกู!”ฉินฝู้กุ้ยเพี้ยะเขวี้ยงซิการ์ทิ้ง ในสายตาเผยความมืดมนและเยือกเย็นออกมา

“กูไม่สนใจว่ามึงจะมีเงินมากเท่าไร? กี่หมื่นล้านแล้วจะยังไง? มึงแม่งก็ไม่ใช่ว่ามีชีวิตเดียวหรอกหรอ?” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นอย่างดุเดือด “บุกเดี่ยวมาผยองในเขตของกู? มึงเป็นเทพมังกรตนไหนก็ต้องสยบราบ!”

“บุกเข้าไป!จัดการมันได้ค่อยว่ากัน!”

ฉินฝู้กุ้ยโบกมืออย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย สั่งการเด็ดขาด ลูกน้องหลายคนข้างกายของเขาล้วงเอามีดออกมาในทันที พุ่งเข้าไปจะเอามีดทะลวงหลินอิ่ง ลงมือได้รุนแรงและดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง!

ถึงอย่างไร ลูกน้องของฉินฝู้กุ้ยนี่ต่างก็เป็นพวกเดนตาย โจรที่เรียกค่าไถ่จนครอบครัวเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา โหดเหี้ยมอำมหิตไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้างไม่มีให้กิน เท้าเปล่าก็กล้าฆ่าบอสหลักพันล้านได้ ความกล้านั้นไม่มีปิดคลุม

สำหรับพวกเขาแล้ว บอสที่เงินมากอีกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์

เพล้ง!

มีดหลายเล่มแทงเข้ามา หลินอิ่งลุกขึ้นถีบโต๊ะคว่ำ กระโดดตัวขึ้นไปก็กระบวนท่าแส้ขาอย่างต่อเนื่อง เสียงกระทบกับอากาศพรึ่บพรั่บ ชั่วพริบตากวาดเรียบทุกคน ชายร่างใหญ่ห้าหกคนต่างก็ส่งเสียงร้องที่เจ็บปวดออกมา ทั้งหมดถูกกวาดไปที่ข้อมือ กระดูกหักในทันที มีดก็ยังกำไม่ไหว เพล้งตกลงบนพื้น

“อ๊าก!นี่คือความแข็งแกร่งอะไรกัน!!” ชายร่างใหญ่หลายคนต่างก็ถูกถีบจนข้อมือหัก ทั้งหมดนอนราบอยู่บนพื้นกุมข้อมือโอดร้องเสียงดัง

“กล้าขยับอีกกูจะยิงมึงให้ตาย!”

ฉินฝู้กุ้ยคำรามออกมา ไม่รู้ว่าเอาปืนลูกซองมาจากที่ไหน ดูเหมือนเป็นสิ่งที่พกติดตัวอยู่ในห้องรับรองพิเศษ ปากกระบอกเล็งมาที่หลินอิ่งอย่างแม่นยำ

“นี่ ฉินฝู้กุ้ย แกอย่ารนหาที่ตาย!แกกล้าขยับมั่ว แกก็ตายอย่างแน่นอนเหมือนกัน!” เจียงฉีเอ่ยตะคอก เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ลนลานเล็กน้อย ประธานหลินต่อสู้ได้เยี่ยมมาก แต่นี่เป็นถึงแรงกระสุนปืนจริงก็คงจะต่อต้านไม่ไหวหรอกล่ะมั้ง?

“รู้จักกลัวแล้วใช่หรือเปล่า?” ฉินฝู้กุ้ยมองดูหลินอิ่งด้วยสีหน้าหยอกเย้า หัวเราะอย่างชั่วร้ายขึ้นมา “ความกล้ามีมากจริงๆนะ บุกเดี่ยวฆ่ามาถึงที่นี่ได้? แกแม่งนึกว่าตัวเองกำลังถ่ายละครอยู่หรอ? ไอ้ลาโง่ อยากหาความตื่นเต้นใช่ป่ะ? มีเงินนี่อยากจะได้ความน่าเกรงขาม ไปหากองถ่ายเชิญนักแสดงมาสิ?”

นี่ก็ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน คุณชายที่ไม่รู้จักความเป็นความตาย ลาโง่ เป็นคนโง่ที่มีเงินมากจริงๆ!บุกเดี่ยวมาหาตนเอง นึกว่าตัวเองเป็นใครล่ะ?

พอดี คราวนี้ไม่เพียงแต่กินเงินของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ถือโอกาสเรียกค่าไถ่ไอ้ลาโง่นี่ไปด้วยเลย ยังสามารถไปหาคนที่บ้านมันเรียกเงินมาได้หนักๆ!เป็นเงินที่หล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ สวรรค์จะให้ฉินฝู้กุ้ยร่ำรวยแล้ว!

ฉินฝู้กุ้ยคิดอย่างปลื้มปริ่ม สายตาที่มองหลินอิ่ง เต็มไปด้วยความโลภ ก็เหมือนกับเห็นภูเขาเงินภูเขาทองยังไงอย่างงั้น

“หากแกไม่อยากถูกยิงจนตัวพรุนล่ะก็ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!จากนั้นโทรศัพท์ ให้คนที่บ้านแกส่งเงินเข้ามา!” ฉินฝู้กุ้ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น โจรเรียกค่าไถ่เก่า บทพูดชำนาญรู้ทางดี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท