ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่111 คนที่ทั้งมีความสามารถทั้งร่ำรวย

บทที่111 คนที่ทั้งมีความสามารถทั้งร่ำรวย

บทที่111 คนที่ทั้งมีความสามารถทั้งร่ำรวย

“คนกระจอกอย่างคุณนี่สมองมีปัญหาด้วยหรือเปล่าเนี่ย?” ชายหัวล้านใส่สูทพูดสวนขึ้นมา “คุณกล้ามาก่อเรื่องถึงเจ๋อเฉิงกรุ๊ปเลยเหรอ?ไม่ไปสืบหน่อยเหรอ ว่าที่นี่เป็นที่ของใคร!”

“นั่นสิ ยังกล้ามาเรียกชื่อของประธานของพวกเราอีก ไม่เจียมตัวเลย!”

“ไอหนุ่มนี่ กล้ามาบอกว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ของประธานอีกเหรอ?คุณบอกว่าประธานเป็นพ่อเลี้ยงของคุณฉันยังไม่เชื่อเลย!คุณไม่เหมาะแม้แต่จะเป็นหลานของประธาน!”

ผู้รักษาความปลอดภัยหลายๆ คนพูดจาแดกดันขึ้นมา

“ลากตัวเขาออกไป ตบให้ได้สติสักทีสองทีค่อยมาคุยกันใหม่ สุดท้ายทำโทษโดยการให้เขาคุกเข่าอยู่หน้าประตูของบริษัท ให้คนอื่นดู เพื่อเป็นการเตือนสักหน่อย!” ชายหัวล้านใส่สูทพูดด้วยความเนิบ พลางโบกไม้โบกมือ

แล้วก็ไม่รู้ว่ามีไองั่งที่ไหน เหมือนกับพวกสมองผิดปกติ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ?ขึ้นมากพูดฉายาของประธาน แถมยังอาจหาญ บอกให้ประธานลงมาหาเขาอีก?

เขาทำงานให้ประธานหยูจื๋อเฉิงมาตั้งหลายปี พวกคนร่ำรวยและคนมียศมีอำนาจในเขตจงเทียน มีใครบ้างที่ไม่เคารพต่อประธาน?ที่ในเขตจงเทียน ฐานะของประธานใหญ่แค่ไหนหล่ะ?ออกจากบ้านทีก็มีทหารกว่ายี่สิบคันคอยรับใช้!

ไม่เคยเจอใครที่สามหาวขนาดนี้มาก่อนเลย!

“ไอหนุ่ม คุณแหว่งเท้าหาเสี้ยนเองนะ เดี๋ยวจะจัดให้คุณเอง!”

พูดไป ก็มีผู้รักษาความปลอดภัยรูปร่างกำยำปรี่เข้ามา ในมือก็ถือไม้สีดำตีไปที่ตัวของหลินอิ่ง

ผัวะ!

ชายร่างกำยำเจ็ดแปดคนปรี่เข้ามา ก่อนจะหาที่ว่างเข้าไป บางคนถึงกับหัวชนกัน ชนเข้าไปเต็มๆ จนต้องเอามือกุมหัวแล้วร้องโอดโอย

แต่หลินอิ่ง เหมือนกับเป็นลม เขาหายไปจากที่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าหนีออกไปไกลราวๆ สิบกว่าเมตรตั้งแต่เมื่อไหร่

ฉากนี้มันทำให้ผู้รักษาความปลอดภัยเจ็ดแปดคนถึงกับตกใจ พลางมีสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

หลินอิ่งไวเหมือนกับสายลม เพียงแวบเดียวก็หายไปแล้ว สับขาวิ่งไปอย่างราวเร็ว เสียงดังท่ามกลางอากาศนั้น เข่าของทุกคนชนขา และรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างจริงจัง ทำให้พวกเขาเจ็บปวด มีเสียงปึกปักดังขึ้น ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้น อยู่ต่อหน้าหลินอิ่ง

“คุณ!คุณกล้ามาลงไม้ลงมือที่นี่เหรอ?” ชายหัวล้านใส่สูทงงเป็นไก่ตาแตก จากนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาต่อยเข้าไปเต็มๆ

เขาลงมืออย่ารวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเป็นนักมวยที่เก่งกาจ ออกหมัดอย่างมั่นใจ

ปั่ก!

มีเสียงดังขึ้น หลินอิ่งยืนอยู่กับที่โดยที่ไม่ขยับไปไหน ก่อนจะรับหมัดของชายหัวล้านใส่สูทเอาไว้อย่างแม่นยำ

กร๊อบๆ !

มีเสียงกระดูกกำลังหมุนเคลื่อนที่ ชายหัวล้านคนนั้นเจ็บจนเหงื่อแตก ตัวสั่นไปทั้งตัว ร่างกายอ่อนแรง เพราะแขนข้างหนึ่งนั้นถูกหลินอิ่งบีบเอาไว้แน่น จึงมีเสียงกระดูกหักอย่างต่อเนื่อง!

“โอ๊ะ!โอ๊ย!คุณกล้ามาทำอะไรฉันงั้นเหรอ?ฉันเป็นถึงนกอินทรีที่เป็นลูกน้องของท่านหยูเลยนะ!จะให้ดีคุณออกไปถามฉายาของฉันด้านนอกจะดีกว่านะ!” นกอินทรีพูดด้วยความดุดัน แต่ร่างกายนั้นก็เจ็บปวดเกินจะรับไหว

นกอินทรีไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวนี้ ที่เหมือนกับเด็กนักเรียนกร่างๆ คนหนึ่งนี้ ไปเอาแรงมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน ใช้เพียงมือเดียวก็สามารถทำให้กำปั้นของตัวเองแทบแตก!

ต้องรู้ด้วยว่า ตัวเองเป็นถึงเจ้าแห่งมวยในโลกใต้ดินของเขตจงเทียนเลยนะ ตอนแรกก็เป็นเพราะมีชื่อเสียงโด่งดังมากเนื่องจากการต่อสู้ ท่านหยูเลยมองเห็น และพามาปลูกฝังที่นี่

คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะต้องมาเป็นแบบนี้ภายใต้กำมือของเด็กกร่างคนนี้!

หลินอิ่งมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ แววตาพลางมองไปที่พนักงานต้อนรับหญิงตรงเคาน์เตอร์ด้วยแววตาเรียบเฉย

“ฉันจะไปหาหยูจื๋อเฉิง”

“นี่!นี่!” พนักงานต้อนรับหญิงร้อนรน ทำงานต้อนรับมาตั้งนาน ไม่เคยเจอเรื่องราวที่รับมือไม่ทันขนาดนี้มาก่อนเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย มีคนกล้ามามีเรื่องในบริษัทของประธานด้วยเหรอ?

“พวกคุณมัวยืนอึ้งอะไรกันอยู่ล่ะ!เรียกคนลงมาเร็ว!ให้ท่านหยูรู้ว่าพวกคุณไม่ควรมาอยู่ตรงทางเข้าด้วยซ้ำ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?” นกอินทรีอดทนต่อความเจ็บปวด ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง

ติ๊ดๆ

พนักงานต้องรับหญิงกดกริ่งเตือนภัย

เพียงไม่นาน พนักงานที่เดินไปมาก็ถูกกวาดต้อน ให้รีบออกจากที่นี่ จากนั้นประตูทางเข้าใหญ่ก็ถูกปิดลง ก่อนจะมีกระจกสีดำเงาปิดทึบอีกชั้น มันปิดบังการมองเห็นไปหมดเลย

มีชายกำยำร่างหนาปากคาบซิการ์อยู่ ค่อยๆ เดินลงมา ข้างกายนั้นมีชายใส่สูทร่างกายกำยำเรียงรายอยู่มากมายกว่าสิบคน

“พี่ฮุย รีบจัดการไอหนุ่มนี่เถอะ ฉันอยากให้เขาคุกเข่าลงขอโทษน่ะ!” นกอินทรีพูดด้วยความดุดัน พลางมีใบหน้าเกลียดชังสุดขีด เพิ่งจะพูดออกไป ในมือของหลินอิ่งก็เพิ่มแรงบีบมากขึ้นเรื่อยๆ จนกดกระดูกของเขากรอบแกรบ จนเขาต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?นกอินทรี คุณจัดการเด็กกร่างคนนี้ไม่ได้เหรอ?” พี่ฮุยขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะมองหลินอิ่งอย่างละเอียด

“หนุ่มน้อย ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณคือใคร แต่กล้ามามีเรื่องที่นี่ ใครก็ปกป้องคุณไม่ได้แล้วล่ะ!” พี่ฮุยยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยความโหดร้าย “ให้เวลาคุณสิบวินาที ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ แล้วคุกเข่าขอโทษซะ!ถ้าไม่อย่างนั้น คุณก็เตรียมให้คนมาเก็บศพคุณได้เลย!”

หลินอิ่งยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา มีแววตาที่ดูถูกเหยียดหยาม เหมือนกับกำลังมองพวกไร้ประโยชน์เลย

“อาจหาญขนาดนี้เลยเหรอ?กล้ามามองฉันแบบนี้เหรอ?” พี่ฮุยโกรธจนคายซิการ์ที่คาบอยู่ออกจากปาก ก่อนจะดีดนิ้ว ชายในชุดสูทสิบกว่าคนต่างเอามือขวาใส่กระเป๋า พวกโง่กำลังมองว่าในกระเป๋าของพวกเขามีอะไรอยู่

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังกังวานดังขึ้นมา

ชายวัยกลางคนตัวสูงใหญ่ที่ใส่เสื้อโค้ตสีน้ำตาล เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยสีหน้าจริงจัง ข้างๆ กายนั้นมีชายที่ใส่ชุดดำสองคนเดินตามมาติดๆ

“ท่านหยู!” คนตรงนั้นต่างพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะโค้งคำนับ

หยูจื๋อเฉิงเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะมองหลินอิ่งด้วยความสงสัย ตอนที่สบตากับหลินอิ่ง เขาเห็นแววตาเย็นชานั้น ม่านตาของเขาก็หดลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้าลง

เป็นเขาจริงๆ ด้วย!เขากลับมาแล้ว!

หยูจื๋อเฉิงรู้สึกสั่นในใจ คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปเป็นสิบปี เด็กน้อยคนนั้นในวันนั้นจะกลับมาที่ตี้จิงอีกครั้ง!

“ท่านอิ่ง!คุณ มาทำอะไรที่นี่?” หยูจื๋อเฉิงมีใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ พลางถามขึ้นด้วยความเคารพ

“ฉันกลับมาแล้ว” หลินอิ่งเตะนกอินทรีออก ก่อนจะเอามือไล่หลังแล้วเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

หยูจื๋อเฉิงมีท่าทีตื่นเต้น และใบหน้าที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย

จากนั้น แววตาเย็นชาของเขาก็มองไปทางนกอินทรีกับฮุยโสง ก่อนจะพูดเสียงไร้อารมณ์ว่า: “ท่านอิ่งเป็นคนที่พวกคุณจะมีเรื่องด้วยได้เหรอ?คุกเข่าลง!เมื่อไหร่ที่ท่านอิ่งพยักหน้า พวกคุณถึงจะลุกขึ้นมาได้นะ ถ้าเกิดว่าท่านอิ่งไม่พยักหน้า พวกคุณก็คุกเข่าลงตรงนั้นไปตลอดชีวิตเลย!”

“ห๊ะ!”

ฮุยโสงกับนกอินทรีตกใจจนเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก ก่อนจะมองหลินอิ่งตาเบิกโพลง

พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าทำไมคนที่ระดับสูงอย่างท่านหยู ถึงได้เคารพไอเด็กกร่างนี่นักหนากันนะ?

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?พวกเขาไปมีเรื่องกับคนแบบนี้แล้ว ถ้าเกิดว่าท่านหยูโกรธ อยากจะอยากจับไปเป็นอาหารจระเข้ก็ได้!

“โอ๊ย!พวกพ้อง ไม่สิ ท่านอิ่ง!ไม่ว่าจะอยากอย่างไร ก็ต้องขอโทษด้วยนะ!”

“เจ้านายของคุณมีอำนาจมาก ขอให้คุณพูดดีๆ กับท่านหยูหน่อยนะ พวกเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลย!”

ทั้งสองคนอ้อนวอนอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะโขกหัวลงกับพื้นอย่างจัง!ท่านหยูโกรธขนาดนั้นแล้ว ถ้าเกิดพวกเขายังไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา คงจะจบเห่แน่นอน!

ปั่ก ผู้รักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนนั้นต่างพากันคุกเข่าลง โดยไม่กล้าขยุกขยิกเลย ต่างพากันก้มหัวให้ต่ำที่สุด ขนาดหญิงต้อนรับที่มองอย่างไม่รับแขก ยังคุกเข่าตัวสั่นอยู่หน้าลิฟต์เลย

หลินอิ่งเอามือไพล่หลังก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป โดยที่ไม่ได้สนใจคนพวกนั้น เหมือนกับมดที่ไม่น่าใส่ใจเลย

หยูจื๋อเฉิงโค้งคำนับให้ ด้วยหัวใจเต้นรัว

เขาคิดถึงคืนฝนตกพายุกระหน่ำเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในคืนนั้น เด็กอายุราวๆ สิบขวบ ที่ช่วยตัวเองให้รอดจาก ปืนสิบกว่ากระบอกและมีดกว่าสามสิบเล่มออกมาได้ ด้วยการฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า!ในคืนนั้น มันน่ากลัวและน่าหวาดกลัวขนาดไหน!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท