ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่123 ความปีติยินดีงั้นเหรอ?

บทที่123 ความปีติยินดีงั้นเหรอ?

บทที่123 ความปีติยินดีงั้นเหรอ?

“คุณปู่ ใครเป็นคนรักษาเนี่ย?เป็นหมอที่เก่งที่สุดคนไหน?ฉันต้องไปตอบแทนเขาสักหน่อยแล้ว” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความสงสัย

ฉีเวิ่นติ่งยิ้ม แล้วพูดว่า: “พี่ของคุณไง”

“พี่ชายเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ตกใจ พลางมีแววตาสับสน

หลังจากที่เธอกลับประเทศ ก็ได้ยินเรื่องการปรับเปลี่ยนของตระกูลฉี บ้านต่างๆ ของตระกูลฉีต่างถูกตระกูลเหวินทำลายหมด……

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็ไม่พูดอะไรออกมา เพราะไม่อยากให้คุณปู่รู้เรื่องพวกนี้

“คุณจำได้ไหม ตอนที่คุณยังเด็ก พี่ที่ชอบพาคุณมาเล่นที่จื่อหลงซานที่ชื่อพี่ฉีหยิ่นน่ะ?” ฉีเวิ่นติ่งพูดด้วยความยิ้มแย้ม

“พี่ฉีหยิ่นเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ดันแว่นขึ้น ก่อนจะคิดอยู่สักครู่

นั่นมันเป็นตอนที่เด็กมาก จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ก็ยังจำได้แม่น ว่าตอนห้าหกขวบ ตัวเองอยู่ที่ตระกูลฉี คนที่เล่นด้วยสนุกที่สุดก็คือพี่ฉีหยิ่น

“จำได้ แต่ว่า พี่ฉีหยิ่นออกไปจากตระกูลฉีแล้วไม่ใช่เหรอ……” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความสงสัย

พี่ฉีหยิ่นไม่ได้ออกไปกับป้าหลินเมื่อหลายปีก่อนเหรอ?

กงซุนชิวอวี่ยังจำตอนนั้นที่พี่ฉีหยิ่นไปได้ จำได้ว่าตัวเองร้องไห้หนักมาก รับไม่ได้เลยจริงๆ

“เขากลับมาแล้ว” ฉีเวิ่นติ่งพูดด้วยความยินดี “เขาเป็นคนรักษาฉัน”

กงซุนชิวอวี่ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ แล้วพูดว่า: “พี่ฉีหยิ่นกลับมาแล้วเหรอ?แถมยังรักษาเก่งขนาดนั้นด้วยเหรอ?งั้น คุณปู่ ติดต่อเขาหน่อยได้ไหม?ฉันอยากย้อนวันวานกับเขา แล้วก็ขอบคุณที่เขารักษาคุณปู่ด้วย”

ฉีเวิ่นติ่งยิ้ม “เขาไม่ได้ทิ้งเบอร์เอาไว้ แต่เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็คงมา พวกคุณคงจะได้เจอกัน”

กงซุนชิวอวี่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า: “งั้น คุณปู่ คุณฟื้นแล้ว ก็พักที่จื่อหลงซานก่อนเถอะ อย่าเพิ่งออกไปไหน จริงสิ ฉันรู้ว่าเมืองนอกมีที่พักผ่อนที่ไม่เลวเลย ถ้าเกิดว่าปู่สนใจ เราออกไปเที่ยวกันนะ”

เธอทนไม่ได้ที่จะให้คุณปู่รู้เรื่องของตระกูลฉี สำหรับคนแก่นั้น มันโหดร้ายเกินไป

“เหอะๆ ……” ฉีเวิ่นติ่งหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะมีแงงววตาคมดั่งมีด “เด็กน้อย คุณกำลังกังวลว่าถ้าปู่รู้อะไรแล้ว จะไม่สบายใจงั้นเหรอ?”

“ไม่ ไม่ใช่นะ คุณปู่คิดมากไปแล้ว ไม่มีเรื่องอะไร ก็เรื่องของคุณลุงที่สาม ถ้าคุณปล่อยวางได้แล้วก็ดี จริงสิ นี่เป็นของโบราณที่ฉันเอามาจากเมืองนอก เป็นของรางวงศ์หมิงที่คุณชอบไงล่ะ” กงซุนชิวอวี่รีบเปลี่ยนเรื่อง

ฉีเวิ่นติ่งมองออกไปข้างนอกไกลๆ ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า: “ถ้าเกิดคุณปู่เด็กกว่านี้ยี่สิบกว่าปี ครั้งนี้ จะเปลี่ยนประเทศหลุงให้พลิกเป็นอีกอย่างเลย!”

คุณท่านฉีพูดออกมาอย่างเรียบเฉย ผ่านพ้นไปไม่ได้ เหมือนกับว่ามีความยิ่งใหญ่โอ่อ่าอยู่ไม่น้อย!

ถ้าเป็นฉีเวิ่นติ่งตอนอายุยี่สิบกว่า การพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างคาดไม่ถึงนั้น คงจะไม่ได้อยู่แค่ในคำพูดแล้ว!พวกคนเลวที่กลั่นแกล้งตระกูลฉีในตี้จิงก็หนีไม่พ้น?

ตี้จิงตระกูลเหวิน ถ้าเกิดว่าไม่ได้เป็นสายลับนอกเครื่องแบบอยู่สิบกว่าปี มีเส้นสายอยู่ลับๆ มาโจมตีตระกูลฉีจนสาหัส แถมคุณท่านฉีก็ไม่ฟื้นขึ้นมา เลยได้ยึดครองอะไรไปหมด ไม่อย่างนั้น จะกล้ามาแหย่ตระกูลฉีในตี้จิงได้อย่างไร?

“ทำอะไรไม่ได้ เวลาผ่านไป คนก็แก่ลง ไม่มีประโยชน์แล้ว” ฉีเวิ่นติ่งถอนหหายใจ แววตาปลงมากขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลานหรอก”

กงซุนชิวอวี่ไม่พูดอะไร เทียบกับสิ่งที่ผ่านมาของคุณท่านฉี เธอเป็นแค่เด็กน้อย พูดไปก็สู้คุณท่านฉีไม่ได้

“แต่ว่า คุณปู่กลับมีคนอยู่เบื้องหลัง ถือว่ายังโชคดี” ฉีเวิ่นติ่งพูด “มีคนทำเรื่องการเปลี่ยนแปลงแทนแล้ว”

“ใครเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย เพราะฟังน้ำเสียงของคุณปู่ออก ในใจนั้นสงสัยมาก ว่าใครจะได้รับความสนใจจากฉีเวิ่นติ่งขนาดนั้น?แถมยังน่านับถืออีก?

“อิ่งเอ๋อ” ฉีเวิ่นติ่งพูดด้วยความเชิดชู ก่อนจะคิดถึงเงาในตอนวัยเยาว์

ฉีเวิ่นติ่งใช้ชีวิตมาแปดสิบกว่าปี เริ่มต้นจากธรรมดากลายเป็นผู้แข็งเกร่ง สายตาเลวทรามมาก เคยเห็นวีรบุรุษนับไม่ถ้วน เป็นคนหรือผี เป็นมดหรือมังกร แค่มองก็แยกแยะออกแล้ว

หลานเพียงคนเดียวของเขา เลยต้องใช้แค่สี่คำนี้ ให้ตระกูลฉีออกโรง!

“พี่ฉีหยิ่นเหรอ?” กงซุนชิวอวี่แปลกใจ ไม่ได้เจอหลายปี สงสัยในตัวพี่ที่โตมาด้วยกัน อยากจะเจอหน่อย ว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน คุณปู่ถึงได้ชื่นชมขนาดนี้?

เขตจงเทียน อาคารเจ๋อเฉิง ตึกใหญ่ที่สูงหกสิบกว่าชั้น เป็นที่ที่เจริญที่สุดในแวดวงธุรกิจ

หลินอิ่งลงจากรถ คนขับก็รีบขับรถออกไป

หลินอิ่งมองไปรอบๆ

ถนนสะอาดตา ร้านต่างๆ ปิดหมดแล้ว ไม่เห็นแม่แต่เงาคน เมื่อลมพัดมา ก็มีใบไม้ปลิว

ที่นี่ รู้เลยว่าถูกผู้มีอิทธิพล ทำการกวาดล้าง!

หลินอิ่งยิ้มขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินไปที่ประตูใหญ่ แค่กลับไม่มีใครในอาคารเจ๋อเฉิงเลย

ขณะที่หลินอิ่งโผล่หน้ามานั้น

ดาดฟ้าอาคารเจ๋อเฉิง ก็มีชายชุดดำมองมาจากกล้องส่องทางไกลของทหาร พลางหันมาพูด: “รายงานพี่จิ่ว มีคนมา ดูจากกล้องแล้ว ยืนยันว่า เป็นคนที่มาหาหยูจื๋อเฉิงครั้งก่อน”

ในตอนนั้นเอง ดาดฟ้าของตึกใหญ่ หยูจื๋อเฉิงเต็มไปด้วยเลือดแล้ว เขาถูกทำร้ายจนไม่เหลือความเป็นคน และแขวนอยู่บนเหล็ก ห้อยต่องแต่งหายใจโรยริน

ชายชุดดำสามคน แววตาเยือกเย็น ดูมีแต่ความอาฆาต

นี่มันคนเก่งๆ ทั้งนั้นเลย!ขนาดหยูจื๋อเฉิงที่มีความสามารถขนาดนั้น มีเรี่ยวแรงเต็มที่ มีมือปืนอยู่มากมาย กลับมาถูกมัดแล้วตีแบบนี้!

“เหวินเอ้อสือ ยิงปืนเลยเถอะ” ชายชุดดำคนแรกพูดอย่างสงบ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าตกปลาสีดำลงมา

“ไม่มีปัญหา”

เหวินเอ้อสือรับกระเป๋านั้นไป ก่อนจะค่อยๆ รูดซิปออก แล้วเอาปืนบาร์เร็ตต์ที่ดำขลับเหมือนหมึก และพร้อมจะฆ่าออกมา

เมื่อกระสุนเข้าไปในกระบอก เหนี่ยวไก เล็ง ด้วยความรวดเร็ว

เหวินเอ้อสือคุ้นชินแล้ว เพียงห้าวินาทีก็ประกอบจนเสร็จ ก่อนจะชี้ขึ้นฟ้า ส่องลงมามองหลินอิ่งที่อยู่ด้านล่างของตึก

“พวกไม่รู้จักกลัวตาย กล้ามาให้หยูจื๋อเฉิงสืบหาคุณนายงั้นเหรอ?เตรียมตัวตายเสียเถอะ!” ชายชุดดำคนหนึ่งพูดเสียงเย็นชา

“เหอะๆ สามารถทำให้หยูจื๋อเฉิงซื่อสัตย์ขนาดนั้นได้ โดยไม่ยอมเปิดปากเลย ต้องมีคนอื่นในตี้จิงคอยอยู่เบื้องหลังแน่” เหวินจิ่วพูดเบาๆ “พวกเราตระกูลเหวินรุ่งเรือง มันปกติมากที่จะมีคนสอดส่อง”

“ได้ยินว่าไอคนนี้ก็ไม่เลวเลย ไม่ได้ด้อยไปกว่าหยูจื๋อเฉิงเลย” เหวินจิ่วพูดหยอก “เหวินเอ้อสือ คุณอย่าพลาดนะ สู้กับคนมีฝีมือ มีโอกาสแค่นัดเดียวเท่านั้น!”

“พี่จิ่ว เด็กนั่นมันมีอะไรเก่งงั้นเหรอ?” เหวินเอ้อสือพูดอย่างไม่แยแส “ฉันจะส่งเขากลับไปยมโลก ด้วยความปีติยินดี!จะยิงนัดเดียวให้หัวกระจุยเลย!”

พูดไป เหวินเอ้อสือก็ยิ้มออกมาด้วยความเยือกเย็น ภาพในลำกล้องนั้น กำลังล็อกที่หน้าผากของหลินอิ่งอยู่

เขามีสีหน้าโหดร้าย ก่อนจะลั่นไก

ปัง!

กระสุนแหวกอากาศ มีเสียงลมต้าน ภายในอากาศ ฟังแล้วแสบหูเป็นอย่างมาก!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท