ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 148 ฉันรู้จักเศรษฐีใหญ่แห่งตุงไห่

บทที่ 148 ฉันรู้จักเศรษฐีใหญ่แห่งตุงไห่

บทที่ 148 ฉันรู้จักเศรษฐีใหญ่แห่งตุงไห่

“ไม่ใช่ว่า? พวกคุณไร้เหตุผลเกินไปหรอกเหรอ?” จางฉีโม่พูดอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย เพียงเพราะเรื่องนี้ อ้าปากก็จะเอาเงินหนึ่งล้าน? แถมยังเป็นญาติกันอีก?

“เหตุผลเหรอ? เอาสิ งั้นฉันจะบอกเหตุผลให้เธอฟัง” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพูดอย่างหยิ่งผยอง “นี่เพราะฉันเห็นว่าเราเป็นญาติกัน ถึงได้ขอแค่หนึ่งล้าน ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นคนอื่น ฉันจะทำให้มันพิการ!”

“ดูใบรับรองจากโรงพยาบาลนี่สิ!” ลู่ซีหย่วนหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกสาร พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เห็นไหม โรงพยาบาลประเมินใบรับรองโรคซึมเศร้า หมอบอกว่าเธอมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย และมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคจิตเภท พวกเธอรู้ไหมว่ามันร้ายแรงแค่ไหน? อาการป่วยทางจิตนี่ กระทั่งจะทำให้การรักษาตัวในโรงพยาบาลยังเป็นเรื่องยากเลย!”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น ลู่ซีหย่วนก็ถอนหายใจออกมา “ฉันพูดเพราะเห็นแก่หน้าตาของคนตระกูลเดียว ถึงได้ขอเป็นการส่วนตัวแค่หนึ่งล้าน ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนคนอื่น ฉันจะเอามันถึงตาย! ที่มาทำลายทั้งชีวิตของลูกสาวฉัน”

จางฉีโม่ดูสงสัย ดูที่ใบรับรองครู่หนึ่ง มันเขียนอาการไว้ว่า นอนไม่หลับ ประสาทอ่อนแอ…

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้? ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรฉันจะให้ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด” จางฉีโม่พูดด้วยความหงุดหงิด เดิมทีครอบครัวของลู่ซีหย่วนก็ต้องการแบล็กเมล์อยู่แล้ว

“ฉีโม่ พูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง? ลูกพี่ลูกน้องของเธอยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลรู้ไหม!” ลู่ซีหย่วน พูดด้วยความโกรธ “ซิ่วเฟิง หย่าฮุ่ย ฉันไม่สน วันนี้คุณพวกแกต้องมีคำตอบ ครอบครัวพวกเธอสามารถหาเงินได้เท่าไร?”

“คุณป้า คุณลุง พวกคุณสองคนก็รู้ว่าพ่อทูนหัวของฉันเป็นใคร อย่าบังคับให้ฉันลงมือ ใช้อำนาจจากพ่อทูนหัวของฉัน” ลู่เสี่ยวเจี้ยนขู่

เมื่อคืนเมื่อได้ยินว่าลู่เวยถูกทิ้ง พวกเขาพ่อลูกไม่ได้ถามอะไรเลย สิ่งที่พวกเขาถามคือเงินที่พวกเขาได้รับจากฉินเฟย เพราะพวกเขารู้ว่าฉินเฟยมีภรรยามาตั้งนานแล้ว จุดประสงค์ก็คือการเรียกเงิน

เป็นผลให้พอได้ยินก็เรียกเงินหลายหมื่นหยวน ทันทีที่ลู่ซีหย่วนและลูกชายของเขาคุยกัน ลู่เวยก็ไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาทันที และหาบ้านของจางฉีโม่เพื่อเรียกเงินชดใช้ ต้องต้มตุ๋นพวกเขา!

“นี่……” สีหน้าของลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงไม่น่ามอง พวกเขาสองคนเคยเห็นพ่อทูนหัวในอนาคตของลู่เสี่ยวเจี้ยน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของไห่หยางกรุ๊ป และยังได้ยินว่าเป็นคนดังที่อยู่ข้างกายเจียงฉี เศรษฐีใหญ่แห่งตุงไห่

“ครอบครัวเราไม่มีเงินอะไรหรอก” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าว

ลู่ซีหย่วนตะคอกอย่างเย็นชา “ไม่มีเงิน? ไม่มีเงินแล้วพวกแกอาศัยอยู่ในวิลล่านี้? แล้วยังคงสวมเครื่องประดับราคาแพงทุกวัน? ไม่มีเงิน ฉีโม่ดำรงตำแหน่งรองประธานมานานขนาดนี้แล้ว จะบอกว่าไม่มีเงินงั้นเหรอ?”

“ถ้าไม่ชดใช้ ฉันจะบอกทุกคนในตระกูลฝั่งแม่ทันทีที่กลับไปถึงบ้านเกิด และบอกต่อหน้าทุกคน ว่าครอบครัวพวกเธอมันเป็นยังไง! แสร้งทำเป็นไม่มีเงิน แล้วยังทำร้ายลู่เวยหลานสาวได้” ลู่ซีหย่วนกล่าวเสียงเย็นชา

“ฮะ?” ลู่หย่าฮุ่ยดูตกใจ เมื่อได้ยินว่ามันจะแพร่กระจายไปยังตระกูลฝั่งแม่ ก็กลัวมาก เธอเชิญครอบครัวของลู่ซีหย่วนมาอาศัยอยู่ที่นี่ เพียงเพราะอยากได้หน้า เมื่อกลับไปตระกูลฝั่งแม่จะได้มีหน้ามีตา ให้คนตระกูลฝั่งแม่รู้ว่าตัวเองย้ายมาที่เมืองชิงหยูนอยู่ดีมาก จะเสียหน้าไม่ได้

“ฉีโม่ ฝั่งแกเอาเงินออกมาได้เท่าไหร่ ก็แค่ให้ค่าชุดเชยกับลุงแกไปเถอะ” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าว

“แม่ นี่ นี่มันไร้สาระเกินไปไหม?” จางฉีโม่กล่าว ไม่เข้าใจเลยว่าแม่ของตนคิดอะไรกันแน่ แค่คนเขามาขู่ให้กลัวก็จะควักเงินให้เขาแล้ว?

“ได้ ไม่ชดใช้ใช่ไหม? ไปกันเถอะเสี่ยวเจี้ยน ไปหาพ่อทูนหัวของแก ตอนนี้แล้วโทรบอกคนที่บ้านเรื่องนี้ด้วย” ลู่ซีหย่วนลุกขึ้น

ลู่หย่าฮุ่ยหมดความอดทน และพูดว่า “ฉีโม่ เร็วเข้า แกมีเงินเท่าไหร่? รีบเอาส่วนหนึ่งให้บ้านลุงแกไปก่อนเร็ว”

ลู่ซีหย่วนพ่อลูกหัวเราะอย่างมีชัย พวกเขาสองคนดึงลักษณะนิสัยของลู่หย่าฮุ่ย ที่กลัวไม้แข็งออกมา แล้วยังกลัวจะเสียหน้ากับทางบ้านฝั่งแม่อีก

เดิมที มาที่เมืองชิงหยูนก็เพราะอยากจะได้เงินจากบ้านของลู่หย่าฮุ่ยนี่แหละ!

“หนูไม่มีเงินหนึ่งล้าน” จางฉีโม่กล่าว

“ฉีโม่ งั้นแกมีเท่าไร?” ลู่หย่าฮุ่ยรีบถาม

“เหลือเงินฝากแค่ไม่กี่แสน” จางฉีโม่ตอบอย่างขอไปที

“ได้!” ลู่ซีหย่วนรีบกล่าวทันที “ฉีโม่ เห็นแก่หน้าของเธอ ก็แล้ว ๆ กันไปเถอะ ครอบครัวพวกเธอให้ความร่วมมือหน่อยก็โอเคแล้ว งั้นก็เอามาสักหนึ่งแสนละกัน เหลือสักสองสามหมื่นไว้ให้ครอบครัวพวกเธอได้ใช้กินใช้จ่าย”

“อะไรนะ?” ใบหน้าของจางฉีโม่ตกใจมาก นี่ ทำไมถึงได้มีลุงที่ประหลาดแบบนี้กัน?

“เร็วเข้า ฉีโม่ เอาเงินหนึ่งแสนหยวนมาให้ฉัน ฉันจะเอาให้ลุงของแก” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างลนลาน

จางฉีโม่โกรธจนลมแทบจับ ทำไมแม่ของฉันต้องอ่อนแอขนาดนี้? แล้วยังขี้กลัวขนาดนี้อีก?

“ฉันก็จะออกไปทำธุระแล้วเหมือนกัน” จางฉีโม่โกรธมาก โอนเงินหนึ่งแสนหยวนให้ลู่หย่าฮุ่ย รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านพักทันที โดยวางแผนจะรีบไปคุยเรื่องดี ๆ กับเพื่อนของหลินอิ่ง จากนั้นก็อยู่ในบริษัท แทนที่จะมาอยู่ในบ้านบ้านที่บรรยากาศห่วยแตกนี่!

ติ๊ง!

ลู่ซีหย่วนได้รับการโอนเงิน 100,000 หยวนจากลู่หย่าฮุ่ย พูดด้วยความพึงพอใจว่า “ฉันจะไปพบพ่อทูนหัวของเขากับเสี่ยวเจี้ยน งั้นก็ไม่อยู่ต่อแล้วนะ”

“ซีหย่วน เรื่องนี้อย่าบอกตระกูลฝั่งแม่เด็ดขาดเลยนะ และอย่าไปขอให้พ่อทูนหัวของเสี่ยวเจี้ยนมามายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวเราเด็ดขาด!” ลู่หย่าฮุ่ยวิงวอนด้วยความกลัวอย่างมาก

“แหม มันก็ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของลู่เวยล่ะนะ” ลู่ซีหย่วนกล่าวอ้อยอิ่ง

เมื่อพูด สองพ่อลูกก็เดินออกจากวิลล่าด้วยความดีใจ คิดว่าเงินหนึ่งแสนหยวนสามารถซื้อของขวัญสักชิ้นไปประจบพ่อทูนหัวของเสี่ยวเจี้ยนได้!

หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมา

จางฉีโม่มาถึงสำนักงานใหญ่ของไห่หยางกรุ๊ปเขตเหนือของเมือง อาคารไห่หยาง

ปัจจุบันไห่หยางกรุ๊ปได้เติบโตขึ้น ไม่ใช่แค่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในอดีตอีกต่อไป โดยมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยี่สิบกว่าอุตสาหกรรม และเป็นกรุ๊ปบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการเงิน แม้แต่ประธาน เจียงฉี ตอนนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะเศรษฐีใหญ่แห่งตุงไห่ มีชื่อเสียงที่โดดเด่น ในวงการธุรกิจมีทรัพย์สินมากมายจนใช้ไม่หมด กระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งวงการธุรกิจตุงไห่!

จางฉีโม่เดินเข้าไปในห้องโถงรับรอง และโทรหาเพื่อนของหลินอิ่ง อีกฝ่ายบอกอย่างสุภาพว่าจะมาที่ล็อบบี้ภายในสามนาที

จางฉีโม่นั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องโถงรับรอง พลางย้อนคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ในวิลล่า ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งโกรธ คนครอบครัวของลู่ซีหย่วนน่ารำคาญเกินไปแล้ว!

“โอ๊ะโอ? ฉีโม่ มาที่นี่ก็ยังเจอเธออีกเหรอ? เธอมาทำอะไรที่นี่?

ทันใดนั้น เสียงโอ้อวดก็ดังขึ้นมา

ลู่ซีหย่วนกับลู่เสี่ยวเจี้ยน เดินวางมาดเข้ามาในห้องโถงรับรองของไห่หยางกรุ๊ป มองไปที่จางฉีโม่ ด้วยสีหน้าหยอกเย้า

“พี่ฉี พี่คงไม่ได้มาที่นี่เพื่อหางานทำหรอกใช่ไหม?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนกล่าวเย้า “บอกฉันก่อน คิดจะเข้าทำงานมาที่ไห่หยางกรุ๊ปจะไม่ง่ายกว่าเหรอ? ทักทายฉัน แน่นอนว่า ที่นี่ไม่รับขยะไร้ความสามารถ ฉันจัดหางานพวกทำความสะอาดห้องน้ำให้ได้นะ”

“ฮ่า ๆ ๆ!” ลู่ซีหย่วนหัวเราะออกมา “เสี่ยวเจี้ยน แกจะกลบฝังลูกพี่ลูกน้องของแกได้ยังไง? ทำความสะอาดห้องน้ำจะใช้ได้ได้ยังไงกัน จัดให้ลูกพี่ลูกน้องของแกไปเป็นเลขาสาวในชีวิตส่วนตัวของพ่อทูนหัวแกเป็นยังไง

“พวกคุณ! พวกคุณกำลังพูดถึงอะไร!” จางฉีโม่ยืนขึ้นและตะโกนด้วยความรู้สึกโกรธมาก

“ฉันมาที่นี่เพื่อหาคนสนับสนุนเงินทุน เจรจาธุรกิจ ไม่ใช่เพื่อหางาน” จางฉีโม่พูดอย่างโกรธ ๆ

“โอ้? ไม่ใช่เหรอ?” ลู่ซีหย่วนกล่าวอย่างลำพอง “เธอเนี่ยนะหาคนคุยธุรกิจเงินทุน? เธออยู่ในฐานะอะไร คนว่างงานเอ้อระเหยไปวัน ๆ บริษัทระดับสูงแบบนี้มันใช่ที่ที่เธอจะมาเหรอ?”

“ฉันจะไปไหน มันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ” จางฉีโม่พูดด้วยความโกรธ

“พี่ฉี อย่ามายโสโอหังกับฉัน บอกเลยนะว่า ฉันรู้จักเจียงฉีเศรษฐีใหญ่แห่งตุงไห่เชียวนะ ประธานของที่นี่ก็ยังเป็นเพื่อนกับฉัน!” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพูดอย่างหยิ่งผยอง “อยากเจรจาธุรกิจเหรอ? งั้นก็ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเธอจะเจรจาธุรกิจอะไรก็ไม่สำเร็จทั้งนั้น!”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ชายในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มก็เดินเข้ามา และมองไปที่จางฉีโม่พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

“ประธานจาง สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของหลินอิ่ง” เจียงฉีกล่าวด้วยความเคารพ

ลู่เสี่ยวเจี้ยนเหลือบมองไปที่เจียงฉีด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม และดุว่า “แกเป็นใครกัน? สายตาไม่ได้เรื่องเลย ไม่เห็นว่าฉันกำลังพูดคุยกับเธออยู่หรือไง? แล้วยังกล้ามาขัดจังหวะฉันอีก?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท