ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 145 คุณคิดว่าผมจะแต่งกับคุณเหรอ?

บทที่ 145 คุณคิดว่าผมจะแต่งกับคุณเหรอ?

บทที่ 145 คุณคิดว่าผมจะแต่งกับคุณเหรอ?

ฉินเฟยโดนต่อยจนมึน มองหลินอิ่งกับจางฉีโม่ด้วยความผวา อยากตายขึ้นมาทันที อยากแทรกรูหนีจริงๆ

คิดไม่ตกว่าฉินอวี่กินลูกระเบิดอะไรลงไป อยู่ๆ ก็มาต่อยตัวเองอย่างนี้

“ฉินเฟยนายพูดไม่เป็นเหรอไง? ฉันบอกให้นายขอโทษประธานจางกับประธานหลิน!” ฉินอวี่ตบปากเขาไปฉาดใหญ่ จนฉินเฟยร้องสุดจะเจ็บปวด

“ผม……” ฉินเฟยมองหลินอิ่งกับจางฉี่โม่ด้วยความขมขื่น “เพราะอะไรอ่ะ! ผมไม่ยอม!”

“ยังไม่ยอมอีกเหรอ! อยากตายนักใช่ไหม!” ฉินอวี่ระเบิดอารมณ์ขึ้น ออกลูกเตะไปยกใหญ่ จนหน้าฉินเฟยเต็มไปด้วยรอยรองเท้า ตัวสั่นงันงก

“วันนี้ถ้าประธานหลินกับประธานจางไม่พอใจ นายก็คุกเข่าอยู่หน้าห้างไปชั่วชีวิต!” ฉินอวี่พูดเน้นย้ำ

ติ๊ดๆๆ!

ทันใดนั้น มือถือของฉินเฟยก็ดังขึ้น เห็นเป็น ลุงใหญ่ฉินฝู้กุ้ย!

แม้แต่พ่อของเขาพอเห็นลุงใหญ่ฉินฝู้กุ้ยก็ต้องเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ฉินเฟยหรือจะกล้าหุนหัน รับสายด้วยความตัวสั่นงันงก

“ฉินเฟย ถ้าวันนี้แกไม่คุกเข่าขอโทษประธานหลินกับประธานจาง ก็รอความตายซะเถอะ ฉันจะจัดการแกด้วยตัวเอง! พ่อของแกก็ขวางไม่อยู่!” ฉินฝู้กุ้ยสาดโมโหใส่ วางสายลงทันที

ฉินเฟยเหมือนเจอสายฟ้าฟาด สีหน้าซีดเผือด มองดูหลินอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ ปากปิดสนิทไม่กล้าพูด

“ประธานจาง ประธานหลิน ขอโทษ! ขอโทษครับ! ขอโทษครับ! ผมไม่ควรด่าพวกคุณ ผมมันเป็นแค่สุนัข ใช่ ผมต่างหากที่เป็นสุนัข” ฉินเฟยก้มหัวเรียบลงกับพื้น ราวกับสุนัขตัวหนึ่งจริงๆ ไม่เหลือเกียรติแม้แต่นิดเดียว

เขากลัวจะแย่แล้ว คนที่มีกลิ่นอายสังหารอย่างฉินฝู้กุ้ยเอาเขาตายแน่นอน

ไอ้เจ้าหลินอิ่งเศษสวะ ทำไมถึงกินเส้นกับลุงใหญ่ฉินฝู้กุ้ยได้นะ? ให้ตายเถอะ! รู้อย่างนี้ไม่ล่วงเกินเขาแต่แรกก็ดี ต้องโทษยัยแพศยาลู่เวย

“หลินอิ่ง นี่เป็นเพื่อนคุณสินะ?” จางฉีโม่กระซิบถามหลินอิ่ง คลายความโมโหลง ฉินเฟยหมอนี่สมควรโดนแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะพูดออกมาได้ว่าห้ามสุนัขกับเธอซื้อของ มันจะมากเกินไปแล้ว!

คิดๆ แล้วก็จริง แม้แต่เสิ่นซานก็เป็นเพื่อนรักกับหลินอิ่ง แน่นอนฉินอวี่ก็ต้องเคารพหลินอิ่ง มิน่าคราวก่อนที่หน้าวิลล่าหิมะมังกร ฉินอวี่ถึงได้ตบฉาดหูอูฉู่เวินอย่างบ้าคลั่ง

หลินอิ่งพยักหน้าแล้วยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรมาก

“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ลู่เวยมองดูอยู่ข้างๆ แบบมึนงง มองดูหลินอิ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ไอ้เศษสวะนี่ทำไมถึงมีหน้ามีตาอย่างนี้นะ? นึกไม่ถึงว่าจะรู้จักพี่ชายฝั่งพ่อของคุณชายฉินเฟย ฉินอวี่ถึงขั้นออกหน้าแทนเขา

เป็นไปไม่ได้ หลินอิ่งไม่มีความสามารถขนาดนี้แน่ ต้องเป็นเพราะความเข้าใจผิดระหว่างฉินเฟยกับพี่ชายฝั่งพ่อของเขาแน่นอน เป็นเรื่องบังเอิญ ไอ้เศษสวะหลินอิ่งยังคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาอีก

“หลินอิ่งนายมันหน้าไม่อาย ในตระกูลฉินมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง เศษสวะอย่างนายทำเป็นตีซี้ เรียกคนอื่นว่าเพื่อน? นายคู่ควรเป็นเพื่อนกับคนตระกูลหลินเหรอ?” ลู่เวยพูดจาเชิดใส่ ดูถูกเศษสวะ ที่หน้าไม่อายทำมาเป็นตีสนิท

“พี่อวี่ ฉินเฟยกับพี่อาจจะเข้าใจผิดอะไรกัน อย่าได้ไปใส่ใจเลยนะ ฉันขอโทษแทนเขาด้วยละกัน มีเรื่องอะไรเรากลับไปคุยกันที่บ้านดีๆ” ลู่เวยชม้อยชายตา ขอให้ฉินอวี่เห็นใจ

ฉินอวี่เบิกตาโพลง ที่ยัยเซ่อนี่ยังไม่รู้เรื่อง ตามด้วยสีหน้าที่ลุกเป็นไฟ มองฉินเฟยอย่างเย็นชาถามด้วยความสงสัยว่า: “ยัยเซ่อซ่านี่ใคร? เมียสามเมียสี่ใหม่นายข้างนอกเหรอ?”

“ผม……ผมไม่รู้จักหล่อย! ไม่รู้เป็นอีดอกมาจากไหน!” ฉินเฟยรีบถอยห่างความสัมพันธ์ กลัวจะล่วงเกินหลินอิ่งกับฉินอวี่เพราะผู้หญิงคนนี้

“อะไรนะ? คุณบอกว่าไม่รู้จักฉัน? ฉันเป็นเมียสามเมียสี่?” ลู่เวยพูดขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฉินเฟย เมื่อคืนคุณไม่ได้พูดอย่างนี้นี่ คุณบอกว่าจะแต่งฉันเข้าบ้านตระกูลฉิน!”

“คุณคิดว่าผมจะแต่งกับกะหรี่อย่างคุณเหรอ? อีดอกไม่ดูตัวเองซะบ้างเลย!” ฉินเฟยรีบเปลี่ยนเป็นด่าขึ้นมา “ผมเป็นคนมีเมียแล้ว ช่วยให้เกียรติกันด้วย!”

“คุณ! คุณมีเมียแล้ว แล้วยังจะมาให้ท่าฉันทำไม?” ลู่เวยพูดขึ้นมาอย่างไม่ยอม “ต่อให้มีเมียแล้ว คุณหย่ากับเมียคุณไม่ได้เหรอ?”

ฉินเฟยฟังแล้วยิ่งโมโหเป็นไฟ: ด่าด้วยโกรธว่า: “คุณนี่หน้าไม่อายจริงๆ! ผมเหรอให้ท่าคุณ? วันนั้นคุณนั่งมาในรถผมให้ท่าผมไม่ใช่เหรอ? คุณมุ่งมาที่ผมก็เพราะเงิน ทำมาเป็นสาวรักแรกรุ่น? แล้วยังจะให้ผมหย่ากับเมียอีก หน้าไม่อายจริงๆ ไสหัวไปซะ!”

“คุณ! คุณ!” สีหน้าลู่เวยแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะละอายใจ แต่เป็นเพราะไม่ยอมเลิกรา โอกาสดีๆ ที่จะได้แต่งเข้าบ้านเศรษฐีตระกูลฉิน แต่เป็นเพราะหลินอิ่งกับจางฉีโม่ ทำให้เธอต้องเสียเรื่องหมด!

ถ้าไม่เพราะพวกเขา ฉินเฟยจะถูกฉินอวี่ซ้อมได้อย่างไร? ถ้าฉินเฟยไม่ถูกฉินอวี่ซ้อม จะด่าเธออย่างนี้ได้อย่างไร?

“ประธานจาง ต่อไปถ้าคุณอยากจะซื้อเครื่องประดับอัญมณี เชิญเลือกที่ได้ตามใจชอบ!” ฉินอวี่ชม้ายชายตาพูดขึ้นมา

พูดจบ ฉินอวี่ก็หันไปตวาดพนักงานเคาน์เตอร์สาว: “เธอไม่มีตาเหรอไง? ยังไม่รีบไปเอาสร้อยคอที่แพงที่สุดมาอีก!”

“ค่ะ ค่ะ ฉันจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้” พนักงานเคาน์เตอร์สาวตะลึงเหมือนครึ่งตายกับเหตุการณ์ รีบไปเอาสร้อยคอที่ราคาแพงที่สุดมาก

ลู่เวยมองจางฉี่โม่ด้วยความริษยา หล่อนมีสิทธิ์อะไรสวมสร้อยคอราคาแพงที่สุด? ต้องไปให้ท่าฉินอวี่แน่นอน หน้าไม่อายจริงๆ ไม่เช่นนั้นฉินอวี่จะช่วยหล่อนทำไม? หลินถูกสวมเขาแล้วยังเรียกชู้ว่าเพื่อน? เป็นคู่ผัวตัวเมียที่หน้าไม่อายเสียจริง!

“หึ พวกคุณเป็นผัวเมียที่หน้าไม่อายจริงๆ” ลู่เวยพูดด้วยความริษยา “หลินอิ่ง ฉันว่านายถูกสวมเขาแล้วดูมีความสุขสินะ? ช่างไม่รู้จักความอัปยศจริงๆ!”

พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ ลูกตาของฉินอวี่แทบจะกระเด็นออกมา คำพูดแบบนี้ก็พูดออกมาได้? ยัยนี่คงอยากจะตายสินะ?

เพียะๆๆๆ!

ฉินอวี่ไม่พูดพล่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปก็ตบไปหลายฉาด ตบจนลู่เวยปิดรอยฝ่ามือเอาไว้

“ขอโทษ! ขอโทษ! พี่อวี่ อย่าตบฉัน ฉันผิดไปแล้ว” ลู่เวยรีบร้อนขอโทษ ทำไมถึงขอโทษโดยไม่ถาม เพราะสำหรับเขาแล้ว ฉินอวี่มีเงินมีอำนาจ ตบเธอก็สมควรแล้ว!

“เธอนี่มันเลวเข้ากระดูก!” ฉินอวี่ด่าขึ้นมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ชม้ายยิ้มมองมาที่หลินอิ่ง

“นังตัวเวร รีบถอดสร้อยคอที่คอออกมา เธอมันไม่เหมาะกับสร้อยเส้นนี้! สร้อยเส้นนี้ฉันเป็นคนจ่ายเงินซื้อ แล้วก็รีบไสหัวออกไปซะ!” ฉินเฟยด่าด้วยความโมโห เห็นผู้หญิงคนนี้แล้วก็ยิ่งรำคาญใจ

ลู่เวยมองดูสร้อยคอทองคำขาวด้วยความอาลัยอาวรณ์ ลูบไล้อยู่สักพักแล้วจึงถอดออก จากนั้นก็รีบเผ่นออกจากห้างแทบตาย จากสายตาดุเดือดของฉินอวี่ที่จ้องมา

“ประธานหลิน ประธานจาง คุณทั้งสองยังต้องการเลือกซื้ออัญมณีอยู่ไหม? ผมจะพาคุณเลือกซื้อด้วยตัวเอง” ฉินอวี่พูดจากอย่างระมัดระวัง

“ไม่ต้องแล้ว เสียอารมณ์แล้ว” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองไปยังจางฉีโม่ “ฉีโม่ พวกเราไปกันเถอะ หาที่กินข้าวกัน ผมเตรียมของขวัญดีๆ ชิ้นหนึ่งไว้ให้คุณแล้ว”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท