ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 149 กงซุนชิวอวี่มาเมืองตุงไห่

บทที่ 149 กงซุนชิวอวี่มาเมืองตุงไห่

บทที่ 149 กงซุนชิวอวี่มาเมืองตุงไห่

เจียงฉีสีหน้าเย็นชา สำรวจลู่เสี่ยวเจี้ยนด้วยสายตาเย็นชา

“มองอะไร? บอกว่าเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งไม่พอใจเหรอ?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพูดอย่างโอหัง “แค่ดูก็รู้เป็นแค่พนักงานในบริษัทแห่งหนึ่งใช่ไหม? เคยได้ยินชื่อลู่หยินไหม? ประธานบริษัทไห่หยางกรุ๊ป เป็นพ่อบุญธรรมฉันเอง”

“พ่อบุญธรรมคุณคือลู่หยิน?” เจียงฉีถามด้วยสีหน้าเย็นชา

ลู่เสี่ยวเจี้ยนท่าทางได้ใจ พูดว่า “เคยได้ยินใช่ไหมพ่อบุญธรรมฉัน? บอกเธอตามตรง วันนี้ฉันมารายงานตัวสัมภาษณ์งาน พ่อบุญธรรมฉันจะให้ฉันเป็นผู้จัดการไห่หยางกรุ๊ปแล้ว แม้แต่ประธานบริษัทเจียงฉีก็เป็นเพื่อนฉัน พนักงานกระจอกอย่างนายก็ทำตัวกับฉันดีหน่อย ในอนาคตฉันอาจจะให้นายเลื่อนขั้นก็ได้ ไม่อย่างนั้น ก็ไล่ออกเลย”

“ออ? คุณรู้จักเจียงฉีด้วย? ทำไมผมไม่รู้” เจียงฉีพูดขึ้นเสียงเรียบ “คุณลองโทรศัพท์ให้เจียงฉีดู”

ลู่เสี่ยวเจี้ยนรู้สึกไม่มั่นใจ จึงโมโหขึ้นมา ถามกลับไปอีกว่า “ฉันรู้จักเจียงฉีเกี่ยวอะไรกับนาย? นายเป็นใคร? ก็เป็นแค่พนักงานชั้นต่ำ คู่ควรรู้ข่าวคราวของคนตำแหน่งสูงเหรอ?”

เวลาเดียวกัน ชายอ้วนในชุดสูทพุงยื่นเดินผ่านมา สีหน้าเข้มงวดมองไปทางลู่เสี่ยวเจี้ยนพ่อลูก พอเห็นเจียงฉี ก็รีบเก็บอาการ และยิ้มทัก

“เห้อ พ่อบุญธรรม มาแล้วเหรอครับ” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพอเห็นลู่หยิน ก็เรียกพ่อบุญธรรมทันที สีหน้าประจบ “พ่อบุญธรรม พนักงานไม่รู้เรื่องคนนี้ ยังกล้ามาว่าผมอีก พ่อบุญธรรมต้องช่วยผมสั่งสอนมันหน่อยนะครับ”

เจียงฉีมองไปที่ลู่หยินด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ลู่หยิน คนนี้ เป็นลูกบุญธรรมคุณ? คุณจะให้เขามาทำงานในบริษัท?”

“หา? ไม่ใช่ ไม่ใช่ ประธานเจียง ผม ผมไม่รู้จักเขา” ลู่หยินตกใจจนใจลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบพูดแก้ต่างขึ้นมา

แม่เอ้ย เขาก็แค่โลภนิดหน่อย จะให้ตำแหน่งเล็กๆกับลู่เสี่ยวเจี้ยน ไอ้เด็กคนนี้ กลับมาโอ้อวดต่อหน้าประธานเจียง?

“เหอะ ลู่หยิน คุณเป็นแค่หัวหน้าคนหนึ่ง กลายเป็นประธานบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่?” เจียงฉียิ้มพูดอย่างเย็นชา

“ผม……ผมไม่ได้ ท่านประธาน” ลู่หยินมองไปที่สีหน้าอันเย็นชาของเจียงฉี ด้วยความเกรงกลัว เพี๊ยะๆ ตบหน้าตัวเองไปหลายที ตบไปก็พูดขอโทษไปด้วย “ประธานเจียง ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรไปโม้”

ประธานเจียง? ท่านประธาน?

ลู่เสี่ยวเจี้ยนพ่อลูกมองหน้ากัน สีหน้าตกใจ คนคนนี้เป็นมหาเศรษฐีเมืองตงไห่เจียงฉี?

เป็นไปได้ยังไง เขาเป็นเพื่อนของจากฉีโม่ไม่ใช่เหรอ? จางฉีโม่รู้จักคนใหญ่คนโตแบบนี้ได้ยังไง?

“พ่อบุญธรรม ขอโทษเขาทำไม? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า นายคนนี้เป็นเพื่อนที่ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งแนะนำไม่ใช่เหรอ จะเป็นประธานเจียงฉีได้ยังไง?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนถามอย่างไม่เข้าใจ

“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อบุญธรรม ฉันไม่มีลูกอย่างแก” ลู่หยินโมโหขึ้นมา “ประธานเจียง ท่านดูว่าจะจัดการกับสองคนนี้ยังไง?”

“ผมไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องแบบนี้ ยังมีแขกต้องรับรอง คุณจัดการให้เรียบร้อยด้วย” เจียงฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็มองไปด้านจางฉีโม่อย่างเคารพ “ประธานจาง เชิญไปที่ห้องทำงานประธานเลยครับ คุยเรื่องรายละเอียดธุรกิจกันหน่อยครับ”

จางฉีโม่พยักหน้าตอบ “ค่ะ”

“หา?”

ลู่ซีหย่วนพ่อลูกตกใจจนตัวสั่น ทีนี้รู้แล้ว เป็นมหาเศรษฐีเมืองตงไห่เจียงฉีจริง

ก่อนหน้านี้โม้ไว้เยอะ คิดไม่ถึงว่าจะเจอตัวจริง

“ประธานเจียง ขอโทษครับ ผมสมควรตาย อย่าเพิ่งไปครับ ยกโทษให้ผมด้วย” ลู่เสี่ยวเจี้ยนตบหน้าตัวเอง รีบวิ่งเข้าไปคุกเข่ากอดขาของเจียงฉีไว้

“ประธานเจียง พวกเราพูดผิดแล้ว ท่านอย่าโกรธเลยนะครับ” ลู่ซีหย่วนก็คุกเข่ากอดขาอีกข้างหนึ่งของเจียงฉีไว้ “ฉีโม่ เธอรู้จักประธานเจียง ช่วยพวกเราพูดหน่อย อย่าให้ท่านประธานโกรธเลย เสี่ยวเจี้ยนจะมาทำงานที่บริษัทนะ”

หมดกันเลยทีนี้ ไปนับพ่อบุญธรรมมาคนหนึ่งก็ไม่เหลือแล้ว แม้แต่ไปทำงานที่ไห่หยางกรุ๊ปก็หมดสิทธิ์แล้ว และอาจจะถูกประธานเจียงแก้แค้นอีก

จางฉีโม่หัวเราะเย็นชา ไม่ได้สนใจ

“พวกคุณทำอะไรกันเนี่ย?” เจียงฉีขมวดคิ้วพูด

“ผมขอร้องให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ ประธานเจียง ผมเช็ดรองเท้าให้” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพูดด้วยสีหน้าตื่นกลัว เลียรองเท้าขึ้นมาอย่างไร้ยางอาย

“ไป”

เจียงฉียกเท้าสองข้างถีบสองพ่อลูกออก รู้สึกขยะแขยง

“ครับ ประธานเจียง พวกเราไป” ลู่เสี่ยวเจียงสองพ่อลูกกลิ้งบนพื้น สีหน้ายิ้มแย้ม

จางฉีโม่มองภาพตรงหน้า นอกจากความโกรธแล้ว เต็มไปด้วยความรู้สึกขยะแขยง คนแบบนี้ ไร้ยารักษาแล้ว

“ประธานจาง สองคนนี้เป็นญาติของคุณ? คุณว่า ต้องจัดการยังไง?” เจียงฉีถามอย่างมารยาท

“หา?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพ่อลูกสีหน้าไม่อยากเชื่อ มหาเศรษฐีเมืองตงไห่อย่างเจียงฉี กลับถามความคิดเห็นของจางฉีโม่?

“ฉีโม่ ขอร้องเถอะ ฉันเป็นลุงของเธอนะ ช่วยพวกเราพูดอะไรหน่อยเถอะ ให้เสี่ยวเจี้ยนได้ทำงานในไห่หยางกรุ๊ปด้วย”

ลู่ซีหย่วนกับลู่เสี่ยวเจี้ยนขอร้องพร้อมกัน คุกเข่าคลานไปหาจางฉีโม่พร้อมกัน

“อย่ามาหาฉัน”

จางฉีโม่รีบเดินไปทางลิฟต์ เจียงฉียืนอยู่ข้างๆอย่างมารยาท

มองดูหลังจางฉีโม่เดินจากไป ลู่ซีหย่วนพ่อลูกสีหน้าตาย รีบโอนเงินหนึ่งแสนไปให้จางซิ่วเฟิง

พวกเขาคิดไม่ถึงว่า จางฉีโม่จะมีหน้ามีตาขนาดนี้ แม้กระทั่งคนใหญ่โตอย่างเจียงฉียังต้องเคารพเธอ

……

อีกฝั่งหนึ่ง แม่น้ำชิงหยูน เกาะที่มนุษย์สร้าง

ภายในเกาะมีหมู่บ้านที่สนามหน้าบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว ต่างๆนานาพันธุ์ และกระถางดอกไม้เยอะแยะมากมาย ดูสวยงามตระการตา

ใจกลางนั้นเป็นกลุ่มคฤหาสน์ใหญ่โต เหมือนปราสาทสมัยโบราณ และบ้านแบบจีนโบราณอีกหลายสิบหลัง เหมือนเรือนของขุนนางในอดีตโบราณ ด้านหลังบ้านเรือนนั้นมีสนามจอดเฮลิคอปเตอร์ บรรยากาศดีจนหาที่เปรียบไม่ได้

ในสวนดอกไม้ หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว โต๊ะข้างหน้ามีกาน้ำชา เสิ่นซานนั่งอยู่ตรงข้าม

“ท่านหลิน ท่านว่าเกาะสร้างโดยมนุษย์แห่งนี้เป็นยังไงบ้าง?” เสิ่นซานถามอย่างสุภาพ “ช่วงที่ท่านไม่อยู่ เรื่องในเมืองตงไห่ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”

“ก็ใช้ได้” หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ คิดอะไรบางอย่าง “แค่ในเมืองตงไห่ยังไม่พอ ธุรกิจในต่างประเทศคุณพัฒนาได้ยังไงบ้าง?”

“ทางด้านต่างประเทศคืบหน้าไปไม่เยอะ พวกชาวต่างชาติค่อนข้างไม่ค่อยต้อนรับพวกเราคนจีน” เสิ่นซานพูดสีหน้าจริงจัง

“รีบลงมือทำอย่างเต็มที่ เรื่องเงินกับคนไม่ใช่ปัญหา คุณต้องเปิดตลาดต่างประเทศให้ได้” หลินอิ่งพูด

ให้เสิ่นซานไปสร้างอิทธิพลในต่างประเทศ เพื่อปูทางให้กับอนาคต ตั้งแต่ตระกูลเหวินหายไปอย่างลึกลับ หลินอิ่งเหมือนรู้สึกว่าแก๊งมังกร เขาจะไปติดต่อด้วยตัวเองเปิดโปงสถานะตัวเองไม่ได้ จำเป็นต้องมีคนเป็นหูเป็นตาที่เชื่อใจได้

“วางใจครับ ท่านหลิน ไม่นาน ผมจะสร้างผลงานในต่างประเทศให้ได้” เสิ่นซานพูด

ติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือเพิ่มรหัสลับของหลินอิ่งดังขึ้น

“หลินอิ่ง อยู่ทางโน้นสบายดีไหม?” ทางโทรศัพท์ เป็นเสียงอ่อนแรงของคนแก่ น้ำเสียงห่วงใย

“สบายดีครับ คุณปู่ ปู่โทรมา มีเรื่องอะไรครับ” หลินอิ่งถาม

ทักทายหยูจื๋อเฉิงกับหัวหน้าที่อยู่ตี้จิงดูแลฉีเวิ่นติ่ง คุณปูท่านก็เป็นห่วง ได้เบอร์มาจากหยูจื๋อเฉิง แต่ก็ไม่ค่อยได้โทรมาเท่าไหร่นัก คาดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่?

“ฮาฮา อิ่งเอ๋อ เป็นเรื่องของลูกพี่ลูกน้องหลาน” ฉีเวิ่นติ่งหัวเราะฮาฮา “น้องบ่นพึมพำกับปู่ทุกวัน ว่าจะไปหาหลานให้ได้ ตอนนี้ น่าจะอยู่บนเครื่องบินไปเมืองตงไห่แล้ว”

“กงซุนชิวอวี่มาเมืองตงไห่? เธอมาหาผมเรื่องอะไร?” หลินอิ่งถาม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท