ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 164 ตระกูลกงซุนติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่าน

บทที่ 164 ตระกูลกงซุนติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่าน

บทที่ 164 ตระกูลกงซุนติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่าน

หลินอิ้งหัวเราะอย่างเยือกเย็น “จำสิ่งที่คุณพูดไว้ให้ดีนะครับ”

เมื่อพูดจบ หลินอิ่งก็เดินเข้าไป และมองดูกงซุนฉงหลงที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขายื่นมือไปแตะที่ข้อมือแล้วหลับตาลงเบาๆ

“จำไว้ก็จำไว้! ไอ้หนุ่มยังทำเป็นชีพจร? ตอนนี้ข้าเรียนการรักษา นายยังใส่กางเกงเปิดเป้า (กางเกงที่คนในสมัยก่อนใส่ตอนยังเด็ก) อยู่เลย!” ลูเหลียงยู่พูดด้วยสีหน้าไม่แยแส เขาไม่เห็นหัวหลินอิ่งเลย

“เตรียมตัวกราบผมได้เลย ไอ้เด็กหนุ่มที่พลุ่นพล่านไม่รู้ตาย” กงซุนเฟยเทียนกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น

ล้อเล่นอะไรกัน พวกเขาจะไม่รู้อาการของนายท่านของตนได้อย่างไร? ใครจะรักษาหายได้?

ไอ้หลินอิ่งโง่ที่เพิ่งจะอายุ20ต้นๆ เนี่ยนะ ยังจะกล้าที่จะพนันเรื่องกราบเท้ากันอีก จะมารักษานายท่าน? วัยรุ่นกล้าหาญเกินไป!

ลูเหลียงยู่และกงซุนเฟยเทียนสบตาแล้วยิ้มออกมา มีแต่รอยยิ้มที่ร้ายๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“นี่……อาจารย์หลินครับ” สีหน้าของกงซุนเฟยหงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ไม่คาดคิดว่าหลินอิ่งไม่มีแม้แต่ลังเล เขาพนันเรื่องกราบเท้ากับลูเหลียงยู่ทันทีเลย นี่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปรึเปล่า?

โดยหลักแล้วลูเหลียงยู่ทำให้อาการของนายท่านคงที่แล้ว ถ้าเกิดว่าหลินอิ่งไม่สามารถรักษานายท่านให้หายได้ ก็นับว่าแพ้เขาแล้ว

เรื่องการกราบเท้า เป็นหลักฐานสำคัญเลย

กงซุนเฟยหงรู้สึกเป็นห่วงอย่างผิดปกติ ถ้าเกิดว่าหลินอิ่งไม่สามารถรักษานายท่านให้หายขาดได้ เขาก็จะไม่สามารถกู้สถานการณ์กลับมาได้

คนที่ตนเชิญมาต้องไปกราบเท้ากงซุนเฟยเทียน? แล้วศักดิ์ศรีของหัวหน้าครอบครัวยังจะเอาอยู่ไหม?

แถมหลินอิ่งเป็นคนของทางนายท่านฉีเวิ่นติ่งอีกเสียด้วย นี่เขาก็จะทำให้นายท่านฉีโกรธเคืองอีกด้วยงั้นหรือ?

“ชิวอวี่ หนูว่าหลินอิ่งมั่นใจแต่ไหน?” กงซุนเฟยหงถามด้วยเสียงเบาๆ แล้วมองไปที่กงซุนชิวอวี่

สีหน้ากงซุนชิวอวี่กังวลเล็กน้อย กำลังครุ่นคิด เธอไม่สงสัยในความสามารถของลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่น แม้ว่าเธอไม่เคยเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่นรักษาคุณตาให้หายได้อย่างไร แต่ด้วยพลังแห่งความมั่นใจที่ส่งออกมานั้น เธอก็เชื่อว่าลูกพี่ลูกน้องสามารถรักษาคุณปู่ให้หายดีได้อย่างแน่นอน!

“ฉันเชื่อว่าเขาสามารถรักษาให้หายดีได้” กงซุนชิวอวี่พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

กงซุนเฟยหงพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

หลินอิ่งยกข้อมือของกงซุนฉงหลงไว้ สีหน้าปกติ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาทราบอาการของนายท่านอย่างละเอียดแล้ว

“โอ๊ยๆ อาจารย์หลินเล่นใหญ่จัง แสร้งได้เหมือนมากครับ ไหนบอกผมซิ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? นายท่านเป็นอะไรไป?” ลูเหลียงยู่พูดด้วยความสนุกสนานแล้วจ้องไปที่หลินอิ่ง

“ใช่ครับ คุณจับชีพจรมาตั้งนาน ทราบผลอะไรบ้างครับ?” กงซุนเฟยเทียนพูดพร้อมยิ้มอย่างเย็นชา “อาการที่เครื่องมือทางการแพทย์ที่ใหม่ที่สุดยังวินิจฉัยไม่ได้ คุณแค่จับชีพจรง่ายๆ ก็สามารถรู้ได้เลยหรือ?”

หลินอิ่งไม่ได้สนใจตัวตลกสองคนนี้ เขามองไปที่กงซุนเฟยหงด้วยสายตาที่นิ่งสงบ และพูดอย่างนิ่งๆ “นายท่านกงซุนโดนยาพิษเรื้อรัง เป็นยาพิษที่ตรวจหาได้ยาก มีแค่พิษฤทธิ์เบาๆ สำหรับชายหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงแล้วมันไม่มีผลอะไร แต่สำหรับผู้ที่อายุเท่านี้แบบนายท่านกงซุน มันมีพิษที่อาจทำให้ถึงชีวิตได้”

“นี่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ล้มลงไป มันทำให้สุขภาพร่างกายของนายท่านแย่ลง” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? นายท่านโดนยาพาเรื้อรังงั้นหรือ?” สีหน้าของกงซุนเฟยหงตกใจอย่างมาก เขาถามด้วยความเหลือเชื่อ

“ไม่ใช่มั้ง? อาจารย์หลิน คุณพูดไปเรื่อยไม่ได้นะครับ”

“ใช่ๆ อาหารการกินทุกอย่างของนายท่านพวกเราตรวจเช็กดูอย่างละเอียด จะถูกวางยาได้อย่างไร?”

คนของตระกูลกงซุนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา พวกเขาตกใจกับคำพูดน่าตะลึงที่หลินอิ่งพูดออกมา

นี่นายท่านเป็นเช่นนี้เพราะโดนยาพิษเรื้อรังงั้นหรือ? นี่มันน่าตกตะลึงเกินไปรึเปล่า? นั่นก็หมายความว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่รอบๆ ตัวนายท่านน่ะสิ?

แต่คนที่สามารถเข้าใกล้นายท่านได้ ล้วนก็เป็นเหล่าคนที่เป็นหลักในตระกูลกงซุน รอบๆ ตัวนายท่านมีบอดี้การ์ดยอดฝีมือคอยปกป้องไว้ และก็จะตรวจเช็กอาหารที่กินในทุกๆ วันอย่างละเอียด

ขนาดนี้ยังโดนวางยาได้? นี่ ใครกล้าลงมือกับนายท่านของตระกูลกงซุน จุดประสงค์คืออะไร?

เมื่อครุ่นคิดแล้วมันน่ากลัวจริงๆ

สีหน้าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เปลี่ยนผันไปมา

“อาจารย์หลินครับ คุณแน่ใจหรือไม่? คุณปู่ของฉันโดนยาพิษเรื้อรังใช่ไหมคะ? ถ้าอย่างงั้นต้องทำอย่างไร?” กงซุนชิวอวี่เองก็ถามด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นห่วงสุขภาพของคุณปู่มากๆ

หลินอิ่งกล่าวอย่างนิ่งๆ “แน่นอนว่าผมแน่ใจได้”

ฝีมือแค่นี้ปิดบังหมอธรรมดาๆ ไปได้ และยังปิดบังเครื่องมือทางการแพทย์ได้อีกด้วย

เสียดาย สำหรับคนที่มีพลังภายในอย่าชำนาญอย่างเขา มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เขาสองเห็นมันจนถึงต้นตอของการเกิดของอาการ

อีกอย่าง เขาเรียนวิชาการแพทย์กับอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก บนโลกนี้คงมียาพิษเพียงไม่กี่ตัวที่เขาไม่สามารถดูออกได้

“พูดจามั่วๆ ! พูดจาเรื่อยเปื่อย!” ลูเหลียงยู่ทำเสียงหึ และปฏิเสธทันที “นายท่านกงซุนเป็นเช่นนี้เพราะร่างกายชราลง นายกลับบอกว่าท่านโดนยาพิษ? นี่นายปองร้ายหรือ ใช้คำพูดที่เล่นกับความรู้สึกคนอื่นมาขู่กัน? ทุกคนดูให้ดีนะครับ นี่เป็นกลการหลอกลวงที่เห็นได้โดยทั่วไป มันชัดเจนเกินไป”

“หลินอิ่ง นายเอ่ยปากมาก็พูดเลยหรือ” กงซุนเฟยเทียนยิ้มอย่างเยือกเย็น เมื่อได้โอกาสเขาก็เริ่มเยาะเย้ยขึ้นมา “คนแบบนายที่เอ่ยปากมาก็บอกว่าอาการของคนไข้หนักมาก เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคำพูดที่พวกหมอตุ้มตุ๋นชอบใช้กัน ลักษณะนักต้มตุ๋นชัดๆ”

หลังจากทั้งสองคนพูดอะไรแบบนี้ออกมา คนในตระกูลกงซุนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่างก็ดูสับสน ใช่ ท่าทางแบบนี้ที่เอ่ยปากก็พูดมาเลย มันเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋นพวกนั้นมาก

แม้แต่กงซุนเฟยหงเองก็เริ่มสงสัยเล็กน้อย

ถ้าจะบอกว่านายท่านถูกคนอื่นวางยา เขาก็ยังไม่แน่ใจ มันหนักหนาเกินไปและรอบตัวๆ นายท่านมีการรักษาความปลอดภัยที่สูงมาก ใครที่จะทำเช่นนี้ได้?

“ไอ้แซ่หลิน ในเมื่อนายกล้าพูดว่านายท่านถูกวางยาพิษเรื้อรัง ถ้าอย่างงั้นขอถามหน่อยว่านี่คือยาพิษชนิดใด? ” ลูเหลียงยู่ถามอย่างผู้ชนะ

“ผมไม่รู้ และผมไม่จำเป็นต้องรู้” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นนักต้มตุ๋นจริงด้วย นายกล้าพูดได้อย่างไรถ้าไม่รู้” กงซุนเฟยเทียนหัวเราะเสียงดังขึ้นมาใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

เขาเป็นนักต้มตุ๋นจริงด้วย เขาบอกว่าท่านถูกวางยาพิษ แต่เมื่อฉันถามเขาว่าโดนพิษอะไร เขากลับบอกว่าเขาไม่รู้?

เขาทำเหมือนทุกคนในที่นี้เป็นเด็กสามขวบหรือไง? หลอกง่ายงั้นหรือ?

เวลาเดียวกัน สายตาของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่หลินอิ่งก็ดูหมิ่นมากขึ้น

“ไม่จำเป็นต้องรู้” หลินอิ่งพูดเบา ๆ “พิษแบบนี้ สามารถแก็ได้อย่างง่ายดาย”

“เก่งจริงๆ เลย ช่างโอ้อวดเหลือเกิน สมควรที่เป็นคนที่สามารถหลอกลวงจนมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ในเมืองตุงไห่จริงๆ ” ลูเหลียงยู่กล่าวอย่างแปลกประหลาด “จริงๆ นะ ถ้าพูดเรื่องหน้าด้านไม่มีใครสู้ได้ กล้าหลอกลวงขนาดนี้เป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพอย่างแน่นอน!”

หลินอิ่งหัวเราะเยาะเย้ย “คุณเตรียมตัวกราบผมได้เลย”

เมื่อพูดจบ จากนั้นหลินอิ่งหยิบกล่องสีเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบเสวียนเหมินสิบสองเข็มออกมา เข็มทองสิบสองอันนี้มีความยาวต่างกัน เมื่ออยู่ในมือของเขาก็ดูยอดเยี่ยมด้วยเทคนิคที่ราบรื่นและลื่นไหล

ผู้คนในเหตุการณ์มองดูจนตาลาย และพวกเขาเห็นไม่ชัดว่าเขาลงเข็มอย่างไร เข็มทองทั้งสิบสองเล่มถูกแทงเข้าไปในตำแหน่งต่างๆ ของนายท่านแล้ว

“อะไรนะ? นายใช้เข็มทองเป็นด้วยหรือ? ใครปล่อยให้นักต้มตุ๋นอย่างนายทำเช่นนั้น หากนายท่านเป็นอะไรไป นายจะต้องตาย!” กงซุนเฟยเทียนพูดอย่างโกรธ ๆ

“นายท่านกงซุนหายดีแล้ว” หลินอิ่งจับข้อมือของกงซุนฉงหลงไว้และเคาะหลาย ๆ ครั้งที่ข้อมือ เขาสะบัดมือ แล้วเก็บเข็มทองคำสิบสองเล่มไป ใส่กล่องลงในกระเป๋าเสื้อและหันหน้าเดินจากไป

“โอเค นายไร้ยางอายสิ้นดี กำลังเล่นเหมือนเด็กหรือ? ” ลูเหลียงยู่พูดประชด คน ๆ นี้น่าตลกสิ้นดี

“อะแฮ่ม! ” ขณะนั้น ใบหน้าที่ขาวซีดของกงซุนฉงหลงเริ่มฟื้นมามีร่องรอยของเลือด เขาไอเลือดสีดำออกมาหลายรอบและตื่นขึ้นมาในที่สุด

หื้ม? พ่อ ท่านตื่นจริงๆ แล้วเหรอ? “ใบหน้าของกงซุนเฟยหงเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสายตาที่มองไปทางหลินอิ่งเต็มไปด้วยความตกตะลึง” อาจารย์หลิน ตระกูลกงซุนเป็นหนี้บุญอันใหญ่หลวงต่อคุณ! ”

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าไม่น่าเชื่อ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลินอิ่งนักต้มตุ๋นคนนี้ทำได้อย่างไร?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท