ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 183 จองเวรจองกรรม

บทที่ 183 จองเวรจองกรรม

บทที่ 183 จองเวรจองกรรม

คนที่มาจากลาตินกรุ๊ป ลี่น่าพาบอดี้การ์ดต่างชาติสองสามคน ลงจากลิฟต์ด้วยความโกรธและเดินไปที่ลานจอดรถ

เธอโทรศัพท์ออกไป ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพ ใช้ภาษาต่างประเทศในการพูดอยู่ไปมากมาย จากนั้นเหมือนจะได้รับคำสั่งบางอย่าง สีหน้าของเธอดูดีขึ้นมาทันที และขึ้นรถบ้านไป

หลังจากรถบ้าน ออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดินแล้ว รถออดี้ แบบธรรมดาสองคันก็ติดตามไปทันที

ชายวัยกลางคนสองคนในชุดเสื้อคลุมจีนมองไปที่รถที่กำลังจะออกไป นั่งอยู่ในรถ ด้วยสีหน้าสง่างาม

“คิดว่าอย่างไร? ในเมืองชิงหยูนขนาดเล็ก ยังมีสาขาของลาตินกรุ๊ปอยู่ด้วยหรือ? ดูเหมือนว่ากำลังต่อสู้กับไห่หยางกรุ๊ปอีกด้วย? คนอะไรที่อยู่เบื้องหลังของไห่หยางกรุ๊ป? กล้าที่จะต่อต้านเรางั้นเหรอ?”

“เมืองชิงหยูนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เห็นได้ชัดว่าคนที่มีสกุลหลินนั้นเป็นปรมาจารย์ที่ซ่อนอยู่ ฉันได้ตรวจสอบภูมิหลังทั้งหมดของเขาแล้ว และไม่พบอะไรเลย ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็เป็นแค่ลูกเขยขี้แยที่เกาะเมียกินเท่านั้น”

“อย่างไรก็ตาม ฉันพบเบาะแสเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือบริษัทเครื่องประดับจางซื่อของภรรยาของเขาหลินอิ่ง มีความสัมพันธ์กับเจียงฉีเล็กน้อย ในครั้งนี้ภรรยาของเขาและหลินอิ่งมาที่นี่ ได้ยินมาว่ามาเพื่อโฆษณาเครื่องประดับ”

“ไม่ต้องสนใจเรื่องของลาตินกรุ๊ปเลย เรามาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อฆ่าหลินอิ่งทิ้ง เกมส์หมากรุกได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว รออีกสักหน่อย และรอจนถึงมีความมั่นใจแน่นอน ถึงจะลงมือเอาชีวิตในครั้งเดียว”

เมื่อพูดเช่นนี้ เบนท์ลีย์สีดำก็ขับออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดิน

หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวของหลินอิ่งและจางฉีโม่ก็ลงจากลิฟต์ และมาถึงที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินเพื่อรับรถ

คู่สามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ยมีความสุข พวกเขาได้นั่งอยู่ในรถออดี้ A8 และยังมีคนขับรถโดยเฉพาะ หลังจากจางฉีโม่ลูกสาวของพวกเขาหาเงินได้มากมาย มาตรฐานการใช้ชีวิตของพวกเขาก็ดีขึ้นเช่นกัน และพวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะขอให้ฉีโม่รีบออกรถให้คันหนึ่ง

รถของจางฉีโม่ยังคงเป็นรถคันเดิมที่หลินอิ่งส่งมอบให้เธอในก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนเข้าไปนั่งที่เบาะหลังของรถ และอู่เจิ้งก็สตาร์ทรถ และขับไปตามถนนที่พลุกพล่าน

“หลินอิ่ง เมื่อกี้คุณไปทำอะไรกับประธานเจียงมา? ทำไมจู่ๆหูจินวั่งก็มาขอโทษ เปลี่ยนรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิง และขอร้องทุกวิถีทางว่าจะถ่ายทำโฆษณาโปรโมทให้บริษัท และยังบอกว่าเขาไม่คิดเงินและทำให้ฟรี และยังจะให้ของขวัญอีกด้วย……….” จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่ง และถามด้วยความสับสน

มันแปลกเกินไป ไม่นานหลังจากที่หลินอิ่งเดินออกจากไป หูจินวั่งก็วิ่งตามหลังของเขาไปพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เช่นเดียวกับละครที่เปลี่ยนใบหน้า

ก่อนหน้านี้ยังทำตัวหยิ่งผยองสูงเท่าฟ้า ตอนนี้มาขอร้องจะถ่ายทำโฆษณาโปรโมทให้ฟรี………..

หลินอิ่งยิ้มและส่ายหัว หูจินวั่งคนนี้ยังไปขอร้องฉีโม่อีกด้วยเหรอ เขาไร้ยางอายจริงๆ

“แล้วคุณว่าอย่างไร?” หลินอิ่งยิ้มพูด

“ฉันปฏิเสธทันที ฉันสงสัยว่าคนคนนี้มีปัญหาเรื่องสมองของเขา” จางฉีโม่ขมวดคิ้วและพูดว่า “คนประเภทนี้ถ่ายทำวิดีโอโฆษณาโปรโมทให้บริษัท จะมีผลในทางต่อต้านและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวว่า “ไม่ต้องไปสนใจตัวตลกเช่นนี้เลย”

จางฉีโม่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม หลินอิ่งและเจียงฉีเป็นเพื่อนกัน และคาดว่าน่าจะเป็นเจียงฉีออกมาพูดแทนแล้ว

แต่ความสัมพันธ์ที่แนะชัดนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ชัดเจนมากนัก แต่ครั้งที่แล้วยังรู้ว่าเสิ่นซานเป็นเพื่อนของหลินอิ่ง และยังเคยได้ยินเรื่องที่เจียงฉีและเสิ่นซานร่วมมือกันเป็นประจำในวงการธุรกิจ

ดังนั้น เธอจึงสรุปได้อย่างลับๆว่า หลินอิ่ง เจียงฉี และเสิ่นซาน อยู่ในแวดวงเดียวกัน และความสัมพันธ์ยังคงแข็งแกร่งมาก

แต่ไม่รู้ว่า หลินอิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสองคนนั้นได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หลินอิ่งกับพวกเขาไม่ได้เป็นคนในชั้นระดับเดียวกันเลย

“ใช่แล้ว ฉีโม่ คุณได้เลือกวิลล่าบนเกาะเทียมในครั้งที่แล้วหรือไม่?” หลินอิ่งนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง และถามอย่างเคร่งเครียด “ถ้ามีวิลล่าที่คุณเห็นชอบ ก็ย้ายเข้ามาเถอะ”

จางฉีโม่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และพูดว่า “มันยุ่งยากเกินไปไหม ฉันรู้สึกว่าวิลล่าหิมะมังกรนั้นก็ดีมากแล้ว อีกอย่างทั้งครอบครัวของลู่เวยก็กลับไปที่บ้านเกิดของพวกเขาแล้ว และก็เงียบสงบลงมาก”

“คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่า เกาะเทียมนั้นมาจากไหน? เป็นที่ที่คุณและเพื่อนของคุณพัฒนาขึ้นมาหรือ?” จางฉีโม่ถามอย่างเคร่งเครียด

หลังจากดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ จางฉีโม่ก็รู้แล้วว่า วิลล่าหิมะมังกรนั้นหลินอิ่งไม่ได้เป็นคนซื้อเลย ก่อนหน้านี้ยังเคยบอกว่าอูหยางได้มอบให้ในฐานะที่เป็นประธานกรรมการบริษัท

ตอนนี้เธอรู้สึกว่า หลินอิ่งเป็นเหมือนสมบัติชิ้นใหญ่ และไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเขาซ่อนความสามารถไว้มากมายเพียงใด

“ถือว่าใช่” หลินอิ่งพยักหน้า “ก็แล้วแต่คุณ คุณคิดว่าที่ไหนอยู่แล้วสบาย ก็อยู่ตรงนั้น นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้ ผมอาจจะไม่ได้กลับไปที่วิลล่าหิมะมังกรเป็นชั่วขณะ”

“ฉันรู้แล้ว” จางฉีโม่พยักหน้า และมองไปที่หลินอิ่งอย่างจริงจัง “ฉันวางแผนที่จะใช้โอกาสจากการโปรโมทเครื่องประดับของบริษัทในครั้งนี้ และไปต่างจังหวัดสักครั้ง เพื่อไปหาสถานที่ที่น่าเที่ยว คุณคิดว่าอย่างไร?”

“โอ้? วางแผนที่จะออกไปท่องเที่ยวงั้นเหรอ?” หลินอิ่งยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีโม่ริเริ่มเชิญชวนตัวเองไปเที่ยวก่อน

“คุณเลือกสถานที่มาแห่งหนึ่ง แล้วบอกผมมาก็พอแล้ว”

“อืม” จางฉีโม่พยักหน้า แก้มของเธอแดงเล็กน้อย

ในชั่วขณะ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

แม่น้ำชิงหยูน เกาะเทียม

หลินอิ่งกำลังนั่งอยู่ในสวนดอกไม้สไตล์โบราณ ลิ้มรสน้ำชาดำอยู่ เสิ่นซานนั่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะไม้อย่างตรงๆ

ให้อู่เจิ้งส่งฉีโม่กลับไปที่วิลล่าหิมะมังกร และเขาก็กลับไปที่เกาะเทียมตัวคนเดียว

เดิมทีก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนกับฉีโม่นานกว่านี้ แต่ยังมีเรื่องของลาตินกรุ๊ปที่จะต้องจัดการ เมื่อเสร็จงานแล้ว ก็ไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดสักหน่อย น้อยนักที่ฉีโม่จะมีความสนใจที่จะเดินทางไปเที่ยวกับตัวเอง

หลินอิ่งวางถ้วยน้ำชาลง แล้วหยิบเอกสารและรูปถ่ายสองสามใบบนโต๊ะขึ้นมาและมองดูมัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“หลังจากที่คุณระเบิดโกดังใต้ดินของลาตินกรุ๊ป พวกเขาไม่ได้ส่งคนมาหรือ?” หลินอิ่งถามอย่างสงสัย

ภาพถ่ายสองสามภาพถูกถ่ายโดยผู้ติดตามที่เสิ่นซานส่งมา บุคคลผู้บริหารระดับสูงของลาตินกรุ๊ป ล้วนเป็นแต่ผู้ไร้ความสามารถทั้งนั้น แค่ดูจากรูปถ่ายก็ไม่เหมือนกับเป็นคนที่สามารถครอบงำและบริหารบริษัทข้ามชาติได้เลย

“ประธานหลิน ลาตินกรุ๊ปไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ มันแปลกมาก” สีหน้าของเสิ่นซานก็งงงวยเช่นกัน “โกดังที่ผมระเบิดไป ตามราคาในต่างประเทศของพวกเขานั้น มันก็เป็นเพียงเงินทุนของจริงไม่กี่ร้อยล้าน แต่แค่ส่งกลุ่มอันธพาลเข้ามาสร้างปัญหา และก็ปล่อยให้คนข้างล่างของผมไล่มันไปได้อย่างง่ายดาย”

“นี่ไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งของลาตินกรุ๊ปอย่างแน่นอน” เสิ่นซานกล่าวอย่างจริงจัง “กลุ่มคนปรมาจารย์ที่โจมตีเจียงฉีในครั้งที่แล้ว ขนาดพวกหลิวจุนทั้งสามคนยังรู้สึกรับมือไม่ไหวเล็กน้อย ลูกน้องของเขาใช้พลังไฟในการขู่บังคับจนถอยไป”

สายตาของหลินอิ่งค่อยๆลึกขึ้นเรื้อยๆ และวิธีการทำงานแบบนี้ รู้สึกคุ้นเคยมาก

ตอนที่จัดการกับตระกูลเหวินที่ตี้จิงในครั้งที่แล้ว ตระกูลเหวินก็ถอยหลังอย่างขี้ขลาดเหมือนกันทุกประการ และจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

แต่คนในตระกูลเหวินอยู่ในที่ลับ รู้จักตัวตนฉีหยิ่นของตัวเอง

นอกจากนี้ ตระกูลเหวินเคยส่งคนไปที่เมืองชิงหยูนเพื่อไล่ล่าเขา แต่ก็ยังถูกตัวเองกำจัดไปเช่นกัน

“เสิ่นซาน ผมจะให้เวลาคุณสามวัน หากมีสถานการณ์ใดโทรหาผมได้ตลอดเวลา คุณจะต้องบังคับให้ผู้บริหารหลักของลาตินกรุ๊ปออกมาให้ได้ และถ้าพวกเขายังหดตัวอยู่ คุณก็ริเริ่มกำจัดลาตินกรุ๊ปออกไป” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ครับ” เสิ่นซานพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด

“กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วเริ่มลงมือในวันพรุ่งนี้” หลินอิ่งออกคำสั่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นและมองไปที่แม่น้ำชิงหยูนในระยะไกล

เขาคาดเดาอยู่ในใจว่า การปรากฏตัวของลาตินกรุ๊ปจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเหวินหรือไม่ ด้วยพลังและอำนาจของตระกูลเหวิน การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นพวกที่จองเวรจองกรรมจริงๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินอิ่งก็โทรศัพท์ไปหาหยูจื๋อเฉิง และให้หยูจื๋อเฉิงส่งคนในตี้จิงติดตามเบาะแสของตระกูลเหวินต่อไป

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท