ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 210 ผู้ถือหุ้นร่วมกันยอมสวามิภักดิ์

บทที่ 210 ผู้ถือหุ้นร่วมกันยอมสวามิภักดิ์

บทที่ 210 ผู้ถือหุ้นร่วมกันยอมสวามิภักดิ์

“ทำได้ดีมาก” หลินอิ่งพยักหน้า “เรื่องจัดการกับกลุ่มเฮยยิงยังไม่ต้องรีบร้อน จัดการกับนายคริสให้เรียบร้อยก่อน เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของไห่หยางกรุ๊ป”

จัดการกับกลุ่มเฮยยิงยังมีเวลาอีกมาก ก้าวแรกของอำนาจในต่างแดน ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เราต้องรีบจัดการกับเขาให้เรียบร้อยก่อน ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่ากลุ่มเฮยยิงถูกจัดการแล้ว

มีเพียงกำจัดลาตินกรุ๊ปในเมืองชิงหยูนอย่างเงียบๆ การวางหมากตัวนี้จะได้น่าสนใจ มิฉะนั้นถ้าเปิดเผยออกไป ข่าวนี้รายงานไปถึงสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ป เช่นนั้นกลุ่มเฮยยิงหมากตัวนี้ก็จะไม่มีค่าอะไรเลย

“ผู้ถือหุ้นของทางไห่หยางกรุ๊ป พวกเขากวาดซื้อไปแล้วกี่คน” หลินอิ่งถามอย่างเคร่งขรึม

เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไห่หยางกรุ๊ปเกือบทั้งหมด พร้อมโอนหุ้นและทรัพย์สินทั้งหมดให้ลาตินกรุ๊ป สองวันนี้พวกเขาแอบดำเนินการกับนายคริสแล้ว”

“ตอนนี้เจียงฉีไม่ได้อยู่นั่งบัญชาการ จึงไม่สามารถดูแลการประชุมผู้ถือหุ้นได้ ถ้าให้ภาคธุรกิจเหล่านั้นของนายคริสประสบความสำเร็จ เช่นนั้นเงินที่ท่านหลินลงทุนไปในไห่หยางกรุ๊ปก็จะศูนย์เปล่าทันที” เสิ่นซานกล่าวอย่างกังวล

การผนวกไห่หยางกรุ๊ป ฟังดูเหมือนซับซ้อนมาก แต่ในความเป็นจริงง่ายมากในทางปฏิบัติ แต่สำหรับผู้มีประสบการณ์อย่างนายคริส ชำนาญรู้ทางหนีทีไล่ดี

หลินอิ่งคุกคามและลักพาตัวผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งหมดไปอยู่รวมกัน หลังจากนั้น และกวาดซื้อบุคคลที่ดำเนินการในบริษัทให้หมด เงินที่ตัวเองลงทุนให้เจียงฉีในไห่หยางกรุ๊ป ก็จะกลายเป็นเปลือกว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง หลังดำเนินการ ก็จะสูญเสียคุณค่าโดยสิ้นเชิง หลายพันล้านที่ลงทุนก่อนหน้านั้น ก็จะสูญเสียคุณค่าในไม่ช้า เปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมภายใต้ลาตินกรุ๊ป

หลินอิ่งจิบชาหนึ่งคำ เคาะนิ้วเบาๆ ตกอยู่ในความคิด คิดว่าจะใช้วิธีไหนกำจัดนายคริส

ติ๊ดๆ

ณ ตอนนี้ โทรศัพท์ที่เสิ่นซานวางไว้บนโต๊ะดังขึ้น

” เสิ่นซานสีหน้าลังเล มองไปที่โทรศัพท์ แล้วมองไปที่หลินอิ่ง กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านหลิน ฉินฝู้กุ้ยโทรมา”

”ฉินฝู้กุ้ย” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

ฉินฝู้กุ้ยของเขตเหนือของเมืองตั้งแต่พึ่งพาตัวเอง ก็เป็นผู้ช่วยของเจียงฉีตลอดมา ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเจียงฉี

ฉินฝู้กุ้ยก็ถือว่าเป็นคนที่รู้สถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่ทุบตีเขาอย่างหนักที่เขตเหนือของเมืองแล้ว ก็ตั้งใจทำงานเป็นอย่างดี ในช่วงเวลานี้ปฏิบัติตัวและวางตัวดี

ดังนั้น ครั้งนี้เจียงฉีถูกลอบทำร้ายรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขาก็เลยมอบหมายให้ฉินฝู้กุ้ยรักษาการแทนเจียงฉีในไห่หยางกรุ๊ป รับผิดชอบงานประจำวันของประธาน

“คุณรับสายสิ ดูว่าเขาจะรายงานเรื่องอะไร” หลินอิ่งกล่าวเบาๆ

เสิ่นซานพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วรับโทรศัพท์ พูดคุยกับฉินฝู้กุ้ย

หลินอิ่งจุดบุหรี่หนึ่งมวล เสิ่นซานสนทนากับฉินฝู้กุ้ยประมาณหนึ่งถึงสองนาที จึงวางสาย

หลังจากวางสาย เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังและหนักแน่น “ท่านหลิน เมื่อครู่ฉินฝู้กุ้ยโทรหาฉันแล้วบอกกับฉันว่า ผู้ถือหุ้นของไห่หยางกรุ๊ปเรียกประชุมกรรมการแล้ว ผู้ถือหุ้นร่วมกันยอมจำนน เสนอแผนให้ลาตินกรุ๊ป

รับช่วงต่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นการบีบให้ออก เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว”

“ฉินฝู้กุ้ยกำลังขอความช่วยเหลือจากฉัน และอยากขอคำแนะนำจากท่านหลินด้วย” เสิ่นซานกล่าวเพิ่มเติม

ท่านหลินดับบุหรี่ในมือ สีหน้าปกติ กล่าวว่า “ไปขับรถ ไปอาคารไห่หยาง”

“ครับ”

เสิ่นซานพยักหน้า เดินออกจากสวนไป รีบไปที่จอดรถของเกาะเทียม

สามนาทีต่อมา โรลส์-รอยซ์ แฟนเธอมขับออกจากสะพานเกาะเทียม มุ่งหน้าไปที่เขตเหนือของเมือง

ที่เบาะหลังของรถ หลินอิ่งดวงตาเย็นชามาก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

ต้องบอกว่า ประสิทธิภาพในการดำเนินการของลาตินกรุ๊ปค่อนข้างเร็ว เจียงฉีเข้าโรงพยาบาลก็ดำเนินงานทันที ข่มขู่ครอบครัวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไห่หยางกรุ๊ปทั้งหมด กวาดต้อนผู้คนเหล่านี้ขึ้นรถศึกของพวกเขา ในภาคธุรกิจ และใต้ดิน ในที่สว่างหรือที่มืดโจมตีในเวลาเดียวกัน ลงมือพร้อมกัน

นายคริสคนนี้คู่ควรกับการที่ยักษ์ใหญ่ส่งไปนอกสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ วิธีการค่อนข้างเฉียบคม

เพียงแค่พวกเขาไม่ได้สำรวจก่อนว่า ที่กำลังลงมือเป็นกระเป๋าเงินของใคร

ยี่สิบกว่านาทีต่อมา รถก็มาถึงเขตเหนือของเมือง จอดอยู่ใต้อาคารไห่หยาง

หลินอิ่งกับเสิ่นซานลงมาจากรถ เพิ่งเดินไปถึงที่ประตู ดวงตาของเขาถูกดึงดูดโดยร่างที่คุ้นเคย

ชายหนุ่มที่สวมแว่วตา สีหน้าดูได้ใจเดินออกมาจากห้องโถงไห่หยางกรุ๊ป กลุ่มคนในชุดสูทล้อมรอบ ด้านหลังตามมาด้วยบอดี้การ์ดสองคนและทีมธุรกิจที่มีความสามารถ เอิกเกริกมาก มองดูเหมือนคนใหญ่คนโต

“อ้อ หลินอิ่ง ทำไมเหรอ คุณดูตื่นตกใจ กลัวเหรอ มาดูไห่หยางกรุ๊ปเปลี่ยนเจ้าของเหรอ” ทันทีที่เซียวจวงเห็นหลินอิ่งมาถึง เยาะเย้ยทันที แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

หลินอิ่งมองเซียวจวงแล้วยิ้มอย่างเย็นชา และไม่ได้ใส่ใจ

“เฮอ พูดไม่ออกแล้วเหรอ ที่พึ่งของคุณเจียงฉีหดหัวอยู่ในโรงพยาบาลไม่กล้าออกมาแล้ว ส่งคนบทบาทเล็กๆอย่างคุณมาจัดการกับสถานการณ์ จะจัดการกับสถานการณ์ได้เหรอ” เซียวจวงกล่าวอย่างดูถูก “เอาล่ะ ฉันยังมีธุระที่ต้องทำ ไม่อยู่ดูสวะอย่างคุณแล้ว คอยมองดูบริษัทของผู้สนับสนุนรายใหญ่ล้มละลายอย่างไร อย่างไรก็ตาม อีกไม่กี่วันเราก็จะได้พบกันอีก”

“หลินอิ่ง อย่าลืมเล่นให้สนุกในสองวันนี้ เพราะหลังจากที่ฉันรับช่วงต่อไห่หยางกรุ๊ป ก็จะไปหาคุณทันที ฝันร้ายของคุณก็จะเริ่มขึ้น” เซียวจวงหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ หันหลังแล้วจากไป นั่งเข้าไปในรถบ้านออกจากอาคารไห่หยาง

“ท่านหลิน คนคนนี้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของลาตินกรุ๊ป คงมาที่นี่เพื่อระบายผู้ถือหุ้นที่ทรยศ” เสิ่นซานกล่าวที่ด้านข้าง ดวงตาเย็นชาจ้องมองที่เซียวจวง

เสิ่นซานเมื่อวานสอบสวนตัวแทนธุรกิจของลาตินกรุ๊ปลี่น่า ก็รู้เรื่องภายในแล้ว ลาตินกรุ๊ปมีนายคริสคอยประสานงานอยู่เบื้องหลัง เซียวจวงเดินอยู่บนเวที

มันเป็นที่ชัดเจน วันนี้ผู้ถือหุ้นของไห่หยางกรุ๊ปร่วมกันยอมจำนน เซียวจวงมาเพื่อสั่งการ

“ท่านหลิน หรือว่า ตอนนี้ให้ฉันนำคนจะจับตัวเขาไว้” เสิ่นซานถามอย่างไม่แน่ใจ และทนดูท่าทางของเซียวจวงไม่ไหวแล้ว

“ไม่ต้องสนใจเขา ก็แค่ตัวตลก”หลินอิ่งกล่าวเบาๆ

ตัวตลกอย่างเซียวจวงเหยียบเขาอยู่ใต้เท้าเขาก็ยังไม่สำนึก ต้องรื้อหลังเวทีของเขา เขาถึงจะหยุดแสดงๆได้

ขณะที่พูด หลินอิ่งกับเสิ่นซานเดินเข้าไปในอาคารไห่หยาง ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องประชุมคณะกรรมการที่ชั้นห้าสิบเก้า

สวมสูทอย่างเป็นทางการ ฉินฝู้กุ้ยรูปร่างอ้วนเหงื่อออกเต็มหัว ยืนตรงหน้าประตูพร้อมกับบอดี้การ์ดสองคน

รออย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่เห็นหลินอิ่งกับเสิ่นซานมาถึง ยิ้มออกทันที

“ท่านหลิน ท่านมาด้วยตัวเองเลยเหรอ” ฉินฝู้กุ้ยกล่าวอย่างเซอร์ไพรส์ “ท่านหลิน คนพวกนี้ทรยศ จัดประชุมคณะกรรมการ ตอนนี้ในห้องประชุมมีความรุนแรงมาก”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท