ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 176 พวกขยะสังคม

บทที่ 176 พวกขยะสังคม

บทที่ 176 พวกขยะสังคม

“ได้ครับ ท่านหลิน อยากถามอะไร ผมตอบได้ทุกอย่าง” ซูเหล่าหู่พูดอย่างประจบ คุกเข่าอย่างดี ยึดเอวตรงหน้ายิ้มแย้ม

ทิศทางลมเปลี่ยนก็เปลี่ยนตาม นั่นเป็นความสามารถของหมารับใช้อย่างซูเหล่าหู่ สถานการณ์ชัดเจนขนาดนี้ ยังไม่ก้มหัว รีบยอมหลินอิ่งทันที ก็เป็นกระดูกอ่อนแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปเป็นหมารับใช้ให้พวกฝรั่ง

“ซูเหล่าหู่ แกอยากตายใช่ไหม? ทำงานให้ลาตินกรุ๊ป รู้ว่าบริษัทเราต้องรักษาความลับ แกกล้าเอาความลับแพร่กระจายออกไป?” ฮาพิพูดอย่างข่มขู่ กลัวซูเหล่าหู่เอาความลับของพวกเขาพูดออกไป

เพียะ

พูดจบ หลิวจุนก็ตบไปที่หน้าของฮาพิ ตอบแรงจนหน้าเขาบวมขึ้นมา

“กล้าพูดอีกสักคำ แกได้ตายแน่” หลิวจุนพูดเสียงเข้ม “ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ ต่อหน้าท่านหลินยังพูดมากขนาดนี้อีก? แกนึกว่าลาตินกรุ๊ปคืออะไร?”

“แก……” ฮาพิหน้าสั่น ถูกตบจนตาลาย

“แกอะไรอีก?”

หลิวจุนชกไปที่หน้าทั้งสองข้างอย่างไม่ลังเล จนฮาพิเริ่มกลัว โดนท่าทางโหดเหี้ยมนี้ทำให้ตกใจ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็แค่ฝรั่งมาจากต่างประเทศมาสูบเลือดสูบเนื้อที่เมืองตุงไห่ เขาลงมืออย่างไม่ยับยั้ง

“ถ้าไม่อยากตาย ก็คุกเข่าให้ท่านหลินเดี๋ยวนี้ แล้วก็หุบปาก ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นก็ตายแน่” เสิ่นซานพูดเย็นชา ฮาพิตกใจจนตัวสั่น

“นี่……”

ฮาพิสามคนมองหน้ากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวมองไปที่หลินอิ่ง แล้วรีบก้มหน้า

ตอนแรกนึกว่าหลินอิ่งเป็นแค่ลูกเขยไร้น้ำยาคนหนึ่ง ใครจะไปนึกถึงว่าเสิ่นซานยังเป็นลูกน้องของหลินอิ่ง ยังจัดการบอดี้การ์ดในคฤหาสน์หลัวเต๋อทั้งหมดได้ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะโมโหยังไงแล้ว

ฮาพิก็รู้ตำแหน่งฐานะของเสิ่นซานในเมืองตุงไห่ ก่อนหน้านี้ลาตินกรุ๊ปกับเจียงฉีต่อสู้กันในแวดวงธุรกิจ เสิ่นซานยังพาคนมาออกหน้า

ด้วยตำแหน่งรองประธานลาตินกรุ๊ปของฮาพิ ทรัพยากรอะไรที่ใช้ได้ก็ใช้หมดแล้ว แม้กระทั่งสองตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโจและตระกูลซุนยังต้องเคารพ ในเมืองชินหยูนต่างก็เคารพ

แต่ว่า เสิ่นซานกับเจียงฉีสองคนนี้ เป็นคู่ต่อสู้ที่ฮาพิไม่กลัวไม่ได้ ตอนนี่ตกอยู่ในมือของคู่ต่อสู้ ถ้าไม่ยอมแม้แต่ชีวิตก็เอาตัวไม่รอดแล้ว

“ท่านหลิน ผมไม่ได้ตั้งใจ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ฐานะของท่าน ผมผิดไปแล้ว อภัยให้ผมด้วย”

ฮาพิทำสีหน้าอ้อนวอนอย่าง คุกเข่าก้มหัวไหว้เขา

ท่านหลินหัวเราะเย็นชา

“ท่านหลิน ท่านดู คนประเทศหลุงมีคำพูดหนึ่งว่า ไม่สู้รบก็ไม่รู้จักกัน ท่านว่าเราใช้โอกาสที่ดีนี้ เรามาร่วมมือกัน ท่านกับลาตินกรุ๊ปของเราร่วมมือกัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราอยากหาเงินเท่าไหร่ในเมืองตุงไห่ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว” ฮาพิเห็นหลินอิ่งไม่แสดงความเห็น ก็พูดต่ออย่างไม่หยุดยั้ง “ท่านมีความสามารถมีผลกระทบขนาดนี้ในเมืองตุงไห่ จากความสามารถของท่านแล้วคงไม่อยากจำกัดไว้แค่เมืองเดียว? ร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปของเรา ไม่นานก็ควบคุมไปทั้งประเทศแน่ ธุรกิจของพวกเรามากมาย คุณอยากทำธุรกิจอะไรก็ทำได้หมด รับรองว่ามีโอกาสเก็บทรัพย์มากมาย”

พูดจบ ฮาพิก็ยิ้มเหมือนลูกสุนัข หัวเราะคิกคัก

หลินอิ่งส่ายหัว พวกฝรั่งหัวอ่อน ต้องต่อยจนล้มลงคุกเข่าพูด ถึงจะพูดกันดีๆได้ก็เหมือนคำพูดของคนประเทศหลุง พวกทุนนิยมก็เป็นแค่เสือกระดาษ

“ท่านหลิน เชื่อใจผม ผมสามารถแนะนำคุณรู้จักผู้นำระดับสูงในลาตินกรุ๊ปได้” ฮาพิคุกเข่าขยับไปข้างหน้าทีละนิด ท่าทางจริงจัง

หลินอิ่งลุกขึ้นก็ยกเท้าถีบ ทำให้ฮาพิกระเด็นไปไกลสิบเมตร ล้มลงกับพื้นกระอักเลือด

“ลาตินกรุ๊ปมีสิทธิ์อะไรมาร่วมมือกับฉัน?” หลินอิ่งพูดเย็นชา “แกคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนขยะสังคมอย่างพวกแกเหรอ? ในสายตามีเพียงแค่ผลประโยชน์?”

“ก่อนหน้านี้ยังอยากลงมือกับฉันและฉีโม่ ตอนนี้คิดจะมาเจรจาธุรกิจ?” หลินอิ่งยิ้มเย็นชา ส่งสายตาให้หลิวจุน จากนั้นนั่งกลับไปที่โซฟา

หลิวจุนเข้าไปลากตัวฮาพิไว้ ทั้งชกทั้งต่อยจนกะอ่วม จากนั้นก็ลากตัวมา

เห็นฮาพิโดนต่อยเหมือนหมา ซูเหล่าหู่กับหลัวเต๋อก็ตกใจจนสีหน้าซีดเซียว

ชัดเจนมาก หลินอิ่งไม่เห็นลาตินกรุ๊ปอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แล้วคนฐานะอย่างเขาสองคนจะมีประโยชน์อะไร?

“ท่านหลิน ปล่อยผมไปเถอะ ผมถูกลาตินกรุ๊ปบังคับให้ทำงานให้พวกเขา ถ้าไม่ทำงานให้พวกเขา ผมก็ต้องตาย ผมมีประโยชน์แค่นี้” ซูเหล่าหู่คุกเข่าก้มหัวไหว้ ขอร้องไม่หยุด ตกใจเกือบตาย

นี่เป็นคำพูดที่คนขายชาติชอบพูดที่สุด หลินอิ่งส่งสายตาให้หลิวจุน

หลิวจุนกดหลังซูเหล่าหู่ไว้ สองหมัดชกลงที่หลังเขาจนหลังเกือบหัก

“ท่านหลินถามอะไร ก็ตอบตามนั้น ได้ยินหรือยัง?” หลินจุนพูดเสียงโหด

ซูเหล่าหู่เก็บจนสูดหายใจแรง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ลาตินกรุ๊ปให้นายทำธุรกิจอะไรบ้าง?” หลินอิ่งถาม

“ปกติก็เป็นบอดี้การ์ดให้พวกเขา…..” ซูเหล่าหู่พูดอย่างละอายใจ มองสายตาหลินอิ่ง พูดอย่างลำบาก “แล้วก็…..”

สองสามประโยชน์ ซูเหล่าหู่ก็พูดเรื่องทั้งหมดของลาตินกรุ๊ปออกมาจนหมด เรื่องราวหลอกลวงต้มตุ๋นทุกอย่าง ข่มขู่ลักพาตัวทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์เงินทองไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่ทำ ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือหลอกลวงขืนใจนักศึกษาหญิง ทำร้ายเด็ก

“พวกขยะ”

หลินอิ่งทนฟังต่อไปไม่ไหว ตบหน้าซูเหล่าหู่ ตบจนเขาล้มลงกับพื้นตัวสั่น

“ไม่ ท่านหลิน อย่าฆ่าผมเลย ผมสามารถเล่าเรื่องที่ซูเหล่าหู่ไม่รู้ให้ท่านฟัง” หัวเต๋อตกใจรีบพูด

เห็นหลินอิ่งไม่พูด หลัวเต๋อพูดเสียงสั่น “ท่านหลิน ผมรู้ว่าตำแหน่งโกดังของลาตินกรุ๊ปอยู่ไหน รู้สถานการณ์เรื่องราวของประธานสูงสุดของลาตินกรุ๊ป”

“หลัวเต๋อ แกกล้าทรยศบริษัทเหรอ” ฮาพิเบิกตากว้างมองหน้าหลัวเต๋อ สีหน้าโกรธแค้น หลัวเต๋อพอรู้ความลับของลาตินกรุ๊ปบ้าง ถ้าเอาเรื่องทั้งหมดบอกกับคู่แข่งอย่างหลินอิ่งกับเสิ่นซาน จะนำความเสียหายมาให้บริษัทอย่างไม่อาจคาดคิดได้

พอถึงเวลา ถึงหลินอิ่งจะไม่ฆ่าเขา เขากลับบริษัทก็ต้องถูกเอาผิดแน่ คงจะรอดยาก……”

“เสิ่นซาน ที่เหลือให้นายจัดการเลย ให้ไอ้กระดูกอ่อนคนขายชาติอย่างซูเหล่าหู่เงียบ แหวกปากฮาพิ” หลินอิ่งลุกขึ้นพูดเสียงเย็นชา “จัดการเรื่องลาตินกรุ๊ปดีๆ แล้วมารายงานผลให้ฉันรู้ด้วย”

พูดจบ หลินอิ่งก็จุงมือจางฉีโม่ หันหลังเดินออกจากคฤหาสน์หลัวเต๋อ

“ครับ ท่านหลิน” เสิ่นซานพูดอย่างเคารพ จากนั้นสายตาก็มองไปที่ซู่เหล่าหู่สามคน

ฟังเรื่องราวที่ลาตินกรุ๊ปทำจากหลัวเต๋อแล้ว มันน่าขยะแขยง ธุรกิจที่พวกเขาทำ ไม่เห็นคนของประเทศหลุงเป็นคน ใครได้ยินแล้วก็อยากเอาพวกเขาถึงตาย

“อ้าก นี่…..”

ซูเหล่าหู่สามคนอึ้งอยู่กับที่ มองหลังหลินอิ่งเดินจากไป ถูกคำพูดที่หลินอิ่งทิ้งไว้ทำให้ตกใจเกือบตาย

“ยังมีอะไรจะพูดอีก?”

เสิ่นซานดึงตัวซูเหล่าหู่มาก็ต่อยไม่ยั้ง จากนั้นก็ตามด้วย ในห้องก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนหมูถูกเชือด ทั้งสามโดนกระทืบจนร้องครวญคลาน

เสิ่นซานนั่งคุม หลิวจุนสองพี่น้องเริ่มถาม

อีกฝั่งหนึ่ง หลินอิ่งกับจางฉีโม่หลังออกจากคฤหาสน์หลัวเต๋อแล้ว ก็ให้อู่เจิ้งขับรถไปกินข้าวที่ร้านอาหารฟองซัมเมอร์

“หลินอิ่ง ทำแบบนี้ ลาตินกรุ๊ปก็กลับมาแก้แค้นคุณแน่?” จางฉีโม่นั่งหลังคนขับ พูดอย่างเป็นห่วง

“ฉีโม่ คุณไม่ต้องเป็นห่วง อย่างเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ อีกหน่อย ถ้าจะคุยเรื่องงานก็ให้คนอื่นไปแทน หรือไม่ก็ให้เขามาหาที่บริษัท ไม่ว่าเป็นใคร ก็อย่าไปคนเดียว” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท