ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 206 บุกท่าเรือตุงไห่ยามค่ำคืน

บทที่ 206 บุกท่าเรือตุงไห่ยามค่ำคืน

บทที่ 206 บุกท่าเรือตุงไห่ยามค่ำคืน

หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา มิน่าล่ะเซียวจวงถึงได้หยิ่งยโสขนาดนี้ กล้ามาหาเรื่องถึงประตู ที่แท้ก็มีกองกำลังต่างชาติยอดฝีมืออยู่ในมือ

อย่างกรุ๊ปที่ถือกฎเกณฑ์ใดๆในโลกธุรกิจ เป็นสมาคมที่ไร้ยางอาย นำกลุ่มเฮยยิงเข้ามาในประเทศหลุง นั่นก็คือความหายนะที่ใหญ่มาก

ถ้าเก็บพวกเขาไว้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลินอิ่งกล่าว “คุณรีบโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ จัดกำลังคนไปที่ท่าเรือตุงไห่ จะลงมือคืนนี้ ฉันจะไปด้วยตัวเอง ต้องถอนตะปูนี้ให้ได้”

เขาจะไม่ยอมปล่อยกลุ่มเฮยยิงไว้แน่นอน ไม่เพียงแอบซุ่มยิงอยู่ด้านหลัง ยังเกือบจะฆ่าเจียงฉีลูกน้องของตัวเองด้วย ตอนนี้ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล

หลินอิ่งแก้แค้นโดยไม่ให้ข้ามคืน ยิ่งไปกว่านั้นจะไม่รอลาตินกรุ๊ปเปลี่ยนที่อยู่ของกลุ่มเฮยยิง เมื่อถึงเวลานั้นการขุดมันออกมาก็จะมีความยากมากขึ้น

นายคริสผู้ควบคุมที่แท้จริงของลาตินกรุ๊ป ไม่ใช่คนโง่แบบเซียวจวง สังเกตได้จากวิธีการจัดการกับไห่หยางกรุ๊ปก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่านี่มันจิ้งจอกเฒ่าชัด ๆ ประมาทไม่ได้

หลินอิ่งมองออก นายคริสเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของตัวเอง ที่พึ่งที่ดีที่สุดของเซียวจวงในประเทศหลุงก็คือนายคริส

“ลงมือคืนนี้ ท่านจะลงมือด้วยตัวเอง” เสิ่นซานตกตะลึงสักครู่ หลังจากนั้นพยักหน้า “ตกลง ฉันจะรีบไปจัดกำลังคน”

ท่านหลินออกหน้าเอง เขารู้สึกโล่งในมาก ถ้าท่านหลินให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ในใจก็รู้สึกไม่มีความมั่นใจมาก

ยี่สิบกว่านาทีต่อมา

เสิ่นซานขับรถมาถึงท่าเรือตุงไห่ เขาลงจากรถและเปิดประตูรถอย่างชำนาญ หลินอิ่งลงจากรถ

ห่างออกไปไม่ไกล เป็นมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต มันดูเบลอและลึกลงไปภายใต้แสงจันทร์

ที่นี่เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยลมทะเล

ท่าเรือตุงไห่

นี่คือท่าเรือที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองชิงหยูน มีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก มีเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนจอดเทียบท่า นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าขนาดใหญ่หลายร้อยแห่งในท่าเรือ

ณ ขณะนี้ ค่ำคืนที่ท่าเรือตุงไห่เงียบสงบมาก มีโกดังขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่เปิดไฟ

บริเวณท่าเรือ มีโรเวอร์สีดำยี่สิบกว่าคันจอดอยู่ เสิ่นซานนำยอดฝีมือหลักร้อยคนมา

“ท่านหลิน คลังสินค้าที่กลุ่มเฮยยิงอยู่ค่อนข้างห่างไกล บริเวณนี้ไม่มีการใช้งานในเวลากลางคืน ตอนนี้พวกเราจะนำคนไปล้อมเลยหรือไม่” เสิ่นซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม ดูเหมือนเป็นศัตรูตัวใหญ่

“ไม่” หลินอิ่งกล่าวอย่างจริงจัง “คุณนำคนรออยู่ตรงนี้ รอโทรศัพท์ของฉัน”

“รอโทรศัพท์ท่าน ความหมายของท่านคือ” เสิ่นซานดูงงงวยทันที

“ฉันจะไปจัดการกับพวกเขา คุณรอโทรศัพท์ของฉันเพื่อไปเก็บชิ้นส่วน” หลินอิ่งพูดเบาๆ

“นี่มัน” เสิ่นซานแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา “ท่านหลิน นั่นคือกลุ่มคนต่างชาติที่โหดเหี้ยม และที่นี่ก็เป็นคลังอาวุธของพวกเขาด้วย”

ถึงแม้เขาจะเคยเห็นพลังความสามารถของท่านหลินมาก่อน แต่กลุ่มเฮยยิงไม่ใช่กลุ่มธรรมดา แต่ละคนเป็นยอดฝีมือระดับนานาชาติแล้ว ยังคงนั่งอยู่ในคลังอาวุธอีกด้วย

ถ้าใช้อาวุธขึ้นมาจริงๆ ไม่กล้าคิดถึงพลังทำลายล้างนั่นเลย

“คุณรอข่าวจากฉันก็พอแล้ว ถ้าคุณนำคนเข้าไปจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเปล่าๆ” หลินอิ่งกล่าวอย่างจริงจัง

เขารู้ดีแก่ใจ การเผชิญหน้ากับหน่วยพิเศษเช่นนี้ และยังมีอาวุธอยู่ในมือ คนธรรมดาจะมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังจะทำให้วุ่นวายเสียเปล่า

นี่ก็คำนวณถึงความปลอดภัยของพวกเสิ่นซานด้วย ถ้าวางแผนให้ทุกคนล้อมเข้าไป จะต้องจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายแน่นอน

นี่เป็นเรื่องของตัวเอง หลินอิ่งไม่อยากให้คนอื่นมาเดือดร้อนด้วย

“นี่……..” เสิ่นซานสีหน้าลังเล พูดแล้วก็หยุด แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธการตัดสินใจของหลินอิ่ง

“เช่นนั้น ท่านหลิน ฉันจะรอข่าวจากท่านตรงนี้” เสิ่นซานพูดอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เดินเข้าไปในท่าเรือตุงไห่คนเดียว

เสิ่นซานมองดูด้านหลังของเสื้อโค้ทตัวนี้ อารมณ์พลุ่งพล่านในใจ บอกหลิวจุนสามพี่น้องที่อยู่ด้านหลังว่า “ให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม เราจะบุกเข้าไปได้ทุกเมื่อ”

ณ ตอนนี้ โกดังขนาดใหญ่ในท่าเรือตุงไห่ ไฟสว่างในโกดัง ในนั้นมีห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราอยู่หลายห้อง

ในห้องมีผู้ชายชุดดำหน้าตาฝรั่งอยู่ในห้อง กำลังเล่นโป๊กเกอร์อยู่ บนโต๊ะมีไวน์แดงล้ำค่าหลายขวดวางอยู่

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง หญิงสาวผมสีบลอนด์ในชุดสูทสีดำเดินเข้ามา สีหน้าจริงจัง

“อ้าว ลี่น่า คุณมาได้อย่างไร” ชายชุดดำคนหนึ่งถาม

“เฮยยิง ตอนนี้ให้ทีมของคุณนับจำนวน “สินค้า” ย้ายสถานที่กับฉันทันที” ลี่น่าสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่งการ

ถ้าหลินอิ่งอยู่ที่นี่ ก็จะจำได้ ลี่น่าผู้หญิงผมบลอนด์คนนี้ เป็นตัวแทนธุรกิจของลาตินกรุ๊ปซึ่งแข่งขันกับเจียงฉีในโครงการเมืองโลกครั้งล่าสุด

ลี่น่าท่านนี้ ภายนอกเป็นตัวแทนธุรกิจของลาตินกรุ๊ป แต่สถานะที่แท้จริงคือเลขาของนายคริส รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เป็นความลับต่างๆ

“ย้ายสถานที่ นี่เป็นคำสั่งของนายคริสใช่ไหม ลี่น่า เกิดอะไรขึ้น” เฮยยิงถามด้วยความสงสัย

เฮยยิงเป็นหัวหน้าของกลุ่มเฮยยิง เป็นผู้ชายผมบลอนด์ที่รูปร่างแข็งแกร่ง นิสัยใจคอดูโหดเหี้ยมมาก

ลี่น่ากล่าว “การลอบสังหารของพวกคุณเมื่อคราวที่แล้วมีปัญหานิดหน่อย สมาชิกในทีมหลายคนถูกจับตัวไป สถานที่แห่งนี้ไม่เป็นความลับอีกต่อไป”

“คุณกำลังล้อเล่นอะไร คุณกำลังสงสัยความเป็นมืออาชีพของพวกเราเหรอ” เฮยยิงถามอย่างไม่พอใจ “ถึงแม้คนของฉันจะถูกจับ แต่ก็ไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลแน่นอน”

“ก็แค่ชนชั้นต่ำของประเทศหลุง จะสามารถเค้นคอหาข้อมูลออกมาไม่ได้หรอก” เฮยยิงกล่าวอย่างดูถูก และจองหองมาก

น่าแปลกจริงๆ เขารู้จักคนของเขาเป็นอย่างดี ผ่านการอบรมแบบพิเศษ แม้ถูกไฟฟ้าช็อตก็ยังสามารถต้านทานได้ แล้วจะบอกข้อมูลแค่ถูกทรมานได้อย่างไร

“นี่คือการตัดสินใจของนายคริส” ลี่น่ากล่าวอย่างจริงจัง “นอกจากนี้ นายคริสยังมีงานเร่งด่วนให้คุณส่งคนไปทำ จัดการลอบสังหารหลินอิ่งอีกครั้ง ไปจัดการพรุ่งนี้ ครั้งนี้ต้องทำให้สำเร็จ”

“เฮ้ นี่มันไร้สาระเกินไปไหม ก่อนหน้านี้ฉันได้ไปตรวจสอบแล้ว หลินอิ่งก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง นายคริสทำไมให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้” เฮยยิงกล่าวอย่างน่าเบื่อ “ว่าไปแล้ว พวกเราก็จัดการเจียงฉีของไห่หยางกรุ๊ปจนพิการไปแล้วไม่ใช่เหรอ นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้ถือหุ้นในไห่หยางกรุ๊ปก็ถูกพวกเราคุกคามจนกลัวไปหมดแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายไห่หยางกรุ๊ป แล้วทำไมยังมีเรื่องอีกมากมาย”

เฮยยิงไม่เข้าใจจริงๆ นายคริสทำไมต้องสนใจเรื่องมากมายขนาดนี้

ยอดฝีมือย่างพวกเขา ถูกสำนักงานใหญ่ของกลุ่มส่งมาที่ประเทศหลุงเพื่อจัดการนักธุรกิจเพียงคนเดียว ก็รู้สึกว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว สุดท้ายก็ถูกส่งไปจัดการกับคนไร้ค่าที่ชื่อหลินอิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ถ้ารู้เช่นนี้ ที่ผ่านมาบุคคลที่พวกเขาต้องเผชิญ ถ้าไม่ใช่นักการเมืองของแต่ละประเทศ ก็จะเป็นพวกคนรวย ตอนนี้มาที่เมืองตุงไห่ทำแต่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเหล่านี้ เหมือนกำลังดูถูกพวกเขากลุ่มเฮยยิง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท