ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 204 คุกเข่าขอร้องฉันจะปล่อยคุณไป

บทที่ 204 คุกเข่าขอร้องฉันจะปล่อยคุณไป

บทที่ 204 คุกเข่าขอร้องฉันจะปล่อยคุณไป

“คุณคิดว่าใช้วิธีพวกนี้แล้ว ก็จะเอาชนะฉันได้เหรอ” หลินอิ่งส่ายหน้าซ้ำๆ “ฉันเคยบอกแล้ว จะให้คุณได้ลิ้มรสการสูญเสียทุนอันเย่อหยิ่ง มันเป็นอย่างไร”

“ฮ่าๆๆ” เซียวจวงหัวเราะอย่างดุเดือด เหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกมาก “ทำให้ฉันสูญเสียทุน คุณรู้สถานะของฉันหรือไม่ รู้ไหมอำนาจของเซียวซื่อกรุ๊ปในประเทศ M ใหญ่ขนาดไหนไหม ฉันขอให้คุณทำได้ เป็นเพราะคุณเห็นหวางหงหลิงอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นเก่ง สถานการณ์ปัจจุบันของคุณเป็นอย่างไร ในใจไม่รู้บ้างเลยเหรอ”

ตลกจริงๆ ครั้งที่แล้วหลินอิ่งใช้ศิลปะการต่อสู้เอาชนะตัวเองได้ นี่ก็คือความแข็งแกร่ง สมองของเขาน่าจะมีปัญหา ยังไม่รู้สถานการณ์อีก

หลินอิ่งยิ้ม ไม่มีอารมณ์ที่จะตีเซียวจวงอีก คนงี่เง่าเช่นนี้ ตีไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ จะต้องทำให้เขาสูญเสียทุนที่เขาคิดจะพึ่งพา มันก็จะเผยท่าทางที่ด้อยกว่าสุนัขออกมาเอง

“คุณรอที่จะเป็นสักขีพยานในฉากนี้ใช่ไหม”

“ได้ ฉันรอดูอยู่ ฉันขอร้องให้คุณเอาชนะทุนของฉันจริงๆ ฉันขอร้องให้คุณเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้ คุณสามารถช่วยบริษัทของภรรยาคุณไม่ให้ล้มละลายได้หรือไม่ คุณสามารถห้ามฉันไม่ให้เล่นกับทรัพย์สินของครอบครัวคุณได้หรือไม่ ฮ่าๆ” เซียวจวงหัวเราะอย่างดุเดือด ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว

หัวเราะอย่างดุเดือดสักพัก เซียวจวงสีหน้าดูพอใจ รู้สึกสบายใจมาก สิ่งที่ต้องการคือหลินอิ่งทนทุกข์ทรมาน รู้สึกว่ายังไม่สามารถทำอะไรเขาได้

“เซียวจวง คุณสนุกพอหรือยัง หลินอิ่งเป็นเพื่อนของฉัน คุณใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อจัดการกับเขาและครอบครัวของเขา จะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” หวางหงหลิงกล่าวด้วยความโกรธ ทนดูหน้าตาแบบนี้ของเซียวจวงไม่ไหวแล้ว

“หงหลิง คุณยังจะรับคนเช่นนี้เป็นเพื่อนอีกเหรอ เขามีคุณสมบัติอะไร คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนของคุณ” เซียวจวงถามอย่างสงสัย คิดไม่ออกว่าจนป่านนี้หวางหงหลิงทำไม ยังจะช่วยพูดแทนหลินอิ่ง แล้วยังตั้งคำถามกับตัวเอง

จริงๆเลย ตัวเองกับหลินอิ่งตกลงใครดีกว่ากัน ใครมีความสามารถมากกว่ากัน ก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว

ในดวงตาเซียวจวงเต็มไปด้วยความอิจฉา ใช่ เขาน่าอิจฉามาก คนไร้ความสามารถอย่างหลินอิ่ง ทำไมคนสวยๆอย่างจางฉีโม่ต้องเป็นภรรยาของเขาด้วย แล้วยังมีหวางหงหลิงที่โปรดปรานเขาขนาดนี้

“ฉันจะคบใครเป็นเพื่อน ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” หวางหงหลิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “และฉันจะบอกคุณไว้ตรงนี้เลย ฉันจะปกป้องหลินอิ่งแน่นอน ถ้าจะให้ดีคุณควรถอยไปเดี๋ยวนี้”

ได้ยินเช่นนี้ เซียวจวงดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไฟแห่งความอิจฉาริษยาในใจยิ่งเต้นแรง

“หงหลิง คุณจะเป็นศัตรูกับฉันเพราะคนไร้ค่านี้เหรอ” เซียวจวงถามด้วยความโกรธเล็กน้อย

เขาคิดไม่ออกว่าหวางหงหลิงทำเช่นนี้ทำไม หักหน้าตัวเองอย่างเปิดเผย หวางเฉิงเต้าคุณปู่ของหวางหงหลิง เป็นเพื่อนกับคุณพ่อคบกันหลายชั่วคนแล้ว แม้แต่หวางเฉิงเต้ายังมีความสุภาพต่อตนเอง

ขอแค่หวางหงหลิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง ก็จะส่งผลให้เซียวซื่อกรุ๊ปได้รับผลประโยชน์อีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่เธอช่วยคนไร้ค่าอย่างหลินอิ่ง จะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

เซียวจวงส่งเสียงเย็นชา มองไปที่หลินอิ่ง กล่าวอย่างเย็นชา “เดิมที วันนี้ที่ฉันมาวิลล่าหิมะมังกร ตั้งใจมาเอาตัวคุณไป แล้วถือโอกาสเชิญพ่อตาแม่ยายของคุณออกมาคุยกัน ให้พวกเขาตัดสัมพันธ์กับคุณต่อหน้าฝูงชน แล้วให้ภรรยาของคุณขอความเมตตาจากฉัน ฉันก็จะปล่อยครอบครัวของพวกเขาไป ให้คุณลิ้มรสความเจ็บปวดว่าอะไรเรียกว่าคนไร้ค่า”

“แต่ในเมื่อหงหลิงก็อยู่ที่นี่ด้วย ยังพูดแทนคุณ ฉันก็จะเห็นแก่หงหลิง ให้โอกาสคุณ” เซียวจวงแสดงความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ “ตอนนี้ คุกเข่าลงขอร้องฉัน ฉันจะปล่อยคุณไป”

“ฉันเซียวจวงพูดคำไหนคำนั้น คุกเข่าขอร้องฉัน ฉันรับรองว่าคุณจะไม่ตาย จางซื่อกรุ๊ปของภรรยาคุณก็จะไม่ล้มละลาย” เซียวจวงพูดอย่างช้าๆ มองหลินอิ่งแล้วพูดอย่างกวนๆ

หลินอิ่งยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าเป็นคนทั่วไปหลังจากที่ล่วงเกินเซียวจวง ก็จะถูกโต้ตอบอย่างโหดเหี้ยม และถูกยิง หรือถ้าเห็นเซียวจวงก็จะเข่าอ่อนทันที

เสียดาย คู่ต่อสู้ของเซียวจวงเป็นเขาหลินอิ่ง

“เซียวจวง คุณทำเกินไปแล้ว” หวางหงหลิงกล่าวด้วยความโกรธ เธอรู้สึกว่าเธอก็ถูกดูถูกเช่นกัน

“เกินไป ฉันรู้สึกว่าไม่เกินไปเลยแม้แต่นิดเดียว สวะสมควรคุกเข่าลงและคำนับผู้ที่แข็งแกร่ง มันไม่ถูกต้องเหรอ” เซียวจวงกล่าวเบาๆ หลังจากนั้นดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ยิ่งกว่านั้น ครั้งที่แล้วสวะนี้เหยียบฉันด้วยเท้า ฉันไม่ทรมานเขาให้ตาย ก็ถือว่าให้เกียรติคุณหงหลิงแล้ว”

พูดจบ เซียวจวงมองหลินอิ่งอย่างภาคภูมิใจ พูดข่มขู่ “จำไว้ ฉันจะให้โอกาสคุณเพียงครั้งเดียว ถ้าคุณไม่ยอมคุกเข่าด้วยตัวเอง เช่นนั้น ฉันจะให้คนอื่นทุบตีคุณจนกว่าจะคุกเข่า และฉันจะทรมานคุณเหมือนหมาตัวหนึ่ง ให้คุณอยู่บนโลกนี้แม้แต่หมาก็เทียบไม่ได้ เหมือนตายทั้งเป็น”

หลินอิ่งสีหน้าปกติ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

เซียวจวงสีหน้าเย็นชาขึ้น “ดูเหมือนว่าคุณไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา จัดการมัน นำสวะนี้กลับไป กลับไปปรุงแต่งให้ดีๆ”

ขณะพูด เซียวจวงชาวต่างชาติสองคนในชุดดำ ก็เดินเข้าไป ดวงตาเย็นชามาก

บอดี้การ์ดชุดดำสองคนนี้ ใช่ว่าบอดี้การ์ดทั่วไปจะเทียบได้ เคยอยู่ในแผนกพิเศษของประเทศM มาจากหน่วยคัดกรอง นี่คือยอดฝีมือในหน่วยงานรัฐของประเทศ M คุณภาพของทักษะสามารถจินตนาการได้ เป็นบุคคลที่นายคริสคัดกรองมาจากสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ปในประเทศM แล้วส่งมา

หลินอิ่งจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถสู้ได้

“ถ้าพวกคุณสองคนกล้าลงมือกับหลินอิ่ง ฉันก็จะลงมือกับเซียวจวงทันที” หวางหงหลิงกล่าวอย่าง

เย็นชา น้ำเสียงเย็นชามาก

ไอ้หกกับไอ้เจ็ดที่ตามเธอมาด้วย ได้ยกปืนในมือขึ้นแล้ว สีหน้านิ่งและเล็งปืนไปที่เซียวจวง

ชาวต่างชาติสองคนในชุดดำสีหน้าลังเล มองไปที่เซียวจวง และสีกหน้าของเซียวจวงดูตกใจมาก จ้องมองหวางหงหลิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“นี่ หงหลิง คุณจะทำอะไร” เซียวจวงถามด้วยความสงสัย รู้สึกเหลือเชื่อ “เพื่อสวะนี้ คุณให้คนของคุณใช้ปืนจ่อมาที่ฉัน”

“เซียวจวง รีบนำคนของคุณไปจากที่นี่” หวางหงหลิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ฉัน…….ฉัน” เซียวจวงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน วินาทีนี้ ไฟแห่งความโกรธแผดเผาในใจ หวางหงหลิงเป็นผู้หญิงที่เขาพอใจมาก และอยากได้มา แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนเธอได้เลย ในประเทศหลุงเธอก็มีอำนาจ ทำได้แค่ค่อยๆใช้เวลา

แต่ผู้หญิงที่เขาชอบ จ่อปืนมาที่เขาเพราะผู้ชายคนอื่น หัวใจของเขาแตกสลาย รู้ว่าความภาคภูมิใจและความมีเกียรติในตนเองถูกเหยียบย่ำในเวลาเดียวกัน

คิดไม่ออกจริงๆ หลินอิ่งเหนือกว่าเขาตรงไหน

เซียวจวงสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโหบันดาลโทสะ แต่ก็กลัวว่าหวางหงหลิงจะทำลงไปด้วยความบ้าคลั่ง

“ตกลง หงหลิง คุณอย่าวู่วาม ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เซียวจวงพูดอย่างไม่พอใจ มองไปที่หลินอิ่งอย่างไม่พอใจ “ฝากไว้ก่อน ฉันจะดูว่าคุณจะอยู่ได้นานแค่ไหน คุณจะหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงตลอดก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่เป็นสวะได้”

พูดจบ เซียวจวงไม่พอใจเป็นอย่างมาก เก็บความแค้นไว้ในใจแล้วนั่งเข้าไปในเบนท์ลีย์ บอดี้การ์ดชุดดำกลับรถแล้วกลับไปทันที

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท