ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 207 พวกคุณอ่อนแอเกินไป

บทที่ 207 พวกคุณอ่อนแอเกินไป

บทที่ 207 พวกคุณอ่อนแอเกินไป

“เฮยยิง นี่คือคำสั่งของนายคริส ฉันหวังว่าคุณจะทำตาม” ลี่น่าสีหน้าจริงจัง ไม่พอใจอย่างมากที่เฮยยิงมีท่าทีหยิ่งผยอง

“น่ารำคาญจริงๆ” เฮยยิงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก “เป็นคำสั่งที่ทำเรื่องที่เกินความจำเป็นทั้งนั้น เอาล่ะ ลี่น่า ฉันจะสั่งให้ทุกคนอพยพในคืนนี้ คุณก็รู้ ที่นี่มีอุปกรณ์และอาวุธมากมายของพวกเรา มีความลำบากมากในการเคลื่อนย้าย ต้องใช้เวลาหน่อย”

ใบหน้าของลี่น่าอ่อนลงเล็กน้อย กล่าวอย่างจริงจัง “นอกจากนี้ ภายใน24ชั่วโมง คุณต้องไปนำตัวคนประเทศหลุงที่ชื่อหลินอิ่งไปอยู่ตรงหน้านายคริสให้ได้ อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องพบศพ นี่คือคำสั่งตาย”

“คุณน่าเบื่อจริงๆ ก็แค่คนไร้ค่าเพียงคนเดียว ทำเหมือนจะไปลอบสังหารบุคคลสำคัญของประเทศเลย” เฮยยิงโยนไพ่โป๊กเกอร์ที่อยู่ในมือออกไป

“สิบสามยิง พวกคุณไปวางแผนการดำเนินการให้ฉันเดี๋ยวนี้ จัดการหลินอิ่งคนนั้นให้เรียบร้อยทันที” เฮยยิงสั่งคนชุดดำสองสามคนที่อยู่ข้างโต๊ะด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แล้วหันไปมองลี่น่า

“ตอนนี้คุณพอใจแล้วใช่ไหม” เฮยยิงกล่าวเบาๆ “เช่นนั้น ควรพูดคุยกับฉันเกี่ยวกับค่าตอบแทนแล้วใช่หรือไม่ ครั้งที่แล้วฉันให้คุณช่วยฉันบอกนายคริส นายคริสว่าอย่างไรบ้าง”

“ที่ฉันพูดเมื่อครั้งที่แล้ว จัดการไห่หยางกรุ๊ป ห้าร้อยล้าน” เฮยยิงกล่าวด้วยสายตาที่โลภ “ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ นายคริสต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลืนถุงเงินของทรราชท้องถิ่นในประเทศหลุงได้”

เมื่อวานเขาดำเนินตามแผนการของนายคริส ไปข่มขู่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งหมดของไห่หยางกรุ๊ปแล้ว นำคนไปถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง ได้ทักทายครอบครัวของผู้ถือหุ้นเหล่านั้นอย่างพิเศษ

สถานการณ์เช่นนี้ และด้วยวิธีทางการค้าแบบนายคริส คิดจะฮุบบริษัทใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ก็แค่นั่งรอส่วนแบ่งแล้ว

ลี่น่ากล่าว “นายคริสตกลงแล้ว ห้าร้อยล้านไม่มีปัญหา อีกหนึ่งอาทิตย์พวกคุณก็จะได้รับเงินแล้ว”

“อ้อ สรรเสริญนายคริส เยี่ยมจริงๆ” เฮยยิงหัวเราะเสียงดัง “กลับไปอย่าลืมบอกนายคริสด้วยว่า ครั้งหน้ามีธุรกิจดีๆเช่นนี้ ต้องเชิญฉันมาทำอีกนะ เงินของคนโง่ในประเทศหลุง ปล้นง่ายจริงๆ”

เฮยยิงมาประเทศหลุงในครั้งนี้ รู้สึกประทับใจมาก ปล้นทรัพย์สินของคนประเทศหลุงช่างมีความสุขจริงๆ

ในขณะที่เฮยยิงกำลังมีความสุข เสียงปังดังขึ้น เกิดเหตุระเบิดในโกดัง

“เกิดอะไรขึ้น” เฮยยิงยืนขึ้นอย่างตกใจ มองลี่น่าด้วยความสงสัย

“ไม่รู้ ออกไปดูสิ” ลี่น่าสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

สองคนเปิดประตูออก เดินเข้าไปในโกดังโรงงานที่ว่างเปล่า

ลานกว้างภายในโกดัง มีรถสปอร์ตหรูหราอลังการกว่าหลายสิบคันจอดอยู่ และมีรถบรรทุกหนักหนึ่งคัน ภายในเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทคที่ดักฟังและล้วงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และมีอาวุธมากมาย

“พี่ใหญ่ มีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาแล้ว”

เฮยยิงกับลี่น่าเพิ่งเดินออกจากประตูห้อง ในโกดังมีชายชุดดำตะโกนขึ้น สีหน้าตกตะลึงมาก

“เกิดอะไรขึ้น” เงาดำขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย ชำเลืองมอง

เห็นแค่ ในคลังสินค้าที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งในเสื้อโค้ทสีดำตั้งแต่เมื่อไหร่ นำเก้าอี้ไม้มาและนั่งไขว่ห้างอยู่ สีหน้าเย็นชามองมาที่เขา

ข้างกายชายเสื้อโค้ทสีดำ มีคนชุดดำนอนเกลื่อนไปหมด ตัวสั่นและกรีดร้องกับพื้นเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต

“นี่ คุณคือใคร” เฮยยิงสีหน้าโกรธเล็กน้อย พูดภาษาเส็งเคร็งของประเทศหลุง ถามเหมือนศัตรู

เขาเดินอยู่ในโลกใต้ดินเพื่อฆ่ามาหลายปีแล้ว สามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำว่าเป็นคนฝีมือดีหรือไม่

เห็นได้ชัดว่า ชายในเสื้อโค้ทคนนี้สลักกลิ่นอายของการฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ ดวงตาที่มองมา ทำให้เขารู้สึกมีความกดดันขึ้นมาในทันที นี่คือผู้ค้ายาระดับโลกที่เขาเคยเผชิญ บุคคลสำคัญของประเทศ ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้ยังไม่เคยเจอมาก่อน

“หลินอิ่ง”

“คุณก็คือคนไร้ค่าในประเทศหลุงคนนั้นเหรอ” เฮยยิงมองไปที่หลินอิ่งอย่างไม่เชื่อ ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆถึงมีคนบุกมาฆ่าที่ประตูบ้าน

“ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหม เฮยยิง ที่ของคุณถูกเปิดเผยแล้ว ก่อนหน้านี้ประมาทเกินไปใช่หรือไม่” ลี่น่ายิ้มอย่างเย็นนชาและกล่าว

แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าคนประเทศหลุงคนนี้มาที่ท่าเรือตุงไห่เพื่ออะไร แต่เธออยากเห็นสภาพของเฮยยิงพ่ายแพ้มาก

ลี่น่ามองไปที่หลินอิ่ง หลังจากนั้นหยิบรูปถ่ายในกระเป๋าออกมาดู พยักหน้าด้วยสีหน้าที่พอใจ

“ถูกต้อง คนนี้หล่ะหลินอิ่ง เฮยยิง พอดีเลยผู้ชายคนนี้ส่งตัวเองมาถึงประตูแล้ว รีบจัดการเขาเร็ว ฉันจะได้รีบไปรายงานกับนายคริส” ลี่น่ากล่าวอย่างไม่สนใจไยดี พูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ

เธอไม่รู้ว่าหลินอิ่งใช้วิธีไหนหาที่นี่จนเจอ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตัวผอมเล็กขนาดนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฮยยิงอยู่แล้ว

แค่เขาเพียงคนเดียว จะมาสู้กับกลุ่มเฮยยิงได้อย่างไร มารนหาที่ตายชัดๆ

“ก็ดี ฉันไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาเขา” เฮยยิงพยักหน้า กำหมัดแน่นแล้วเดินเข้ามา

“คุณชื่อหลินอิ่งใช่ไหม ฉันนับถือความกล้าหาญของคุณมาก กล้ามาหาพวกเราเพียงลำพัง นี่ไม่ต่างจากการส่งตัวเองมาตายเลย พวกคุณคนประเทศหลุงสมองไม่ได้มีปัญหาใช่ไหม” เฮยยิงยักไหล่ซ้ำๆ สีหน้ากล่าวเหมือนกำลังล้อเล่น

แม้เขาจะดูออกมาหลินอิ่งเป็นคนพอมีความสามารถอยู่บ้าง คนเฝ้าประตูของเขายังจัดการได้ในพริบตา แต่ว่า หลินอิ่งมีเพียงคนเดียว เข้ามาด้วยมือเปล่า ถึงแม้จะเป็นเทวดา เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับกลุ่มเฮยยิงที่อาวุธครบมือ

“เมื่อวาน คุณเป็นคนส่งคนไปลอบสังหารฉันเหรอ ใช่ไหม เจียงฉีก็ถูกพวกคุณทำร้ายจนอาการสาหัส” หลินอิ่งถามด้วยสีหน้าปกติ

“ใช่ ถูกต้อง ฉันเป็นคนส่งคนไปฆ่าคุณเอง ทำไมเหรอ คุณคงไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นใช่ไหม” เฮยยิงยิ้มอย่างเย็นชา สายตาที่มองไปที่หลินอิ่งเหมือนกำลังมองคนโง่คนหนึ่ง “คุณอาจจะมีความสามารถอยู่บ้าง ที่สามารถจัดการคนของฉันได้ แต่คุณไม่ได้สำรวจให้ดี ในมือของฉันมีของจริงอีกเท่าไหร่

เสียงดังขึ้น เฮยยิงปรบมือ ทันใดนั้น ชาวต่างชาติในชุดดำเดินออกจากทุกทิศทางของโกดัง สีหน้าไร้ความรู้สึกเล็งปืนยาวมาที่หลินอิ่ง

มากกว่าสามสิบคน เพียงแค่ยิง ถึงแม้หลินอิ่งจะใส่เสื้อกันกระสุน ก็สามารถยิงเป็นเศษได้

หลินอิ่งใบหน้านิ่งสงบ เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มมองไปที่ลี่น่ากับเฮยยิง

ทำให้ลี่น่าเซอร์ไพรส์มาก กล่าวว่า “แหมๆ สีหน้าท่าทางของคุณยอดเยี่ยมมาก แมนมาก เหมาะที่จะเป็นหน้ากล้องได้ แต่น่าเสียดาย นี่คือความจริง”

พวกเขาทั้งสองคนรู้สึกสับสนกับหลินอิ่ง ไม่เข้าใจจริงๆ คนประเทศหลุงคนนี้ในสมองกำลังคิดอะไรอยู่ มาที่ท่าเรือตุงไห่คนเดียว คิดจะทำอะไร รนหาที่ตายเหรอ

“เฮยยิง รีบสั่งให้ลงมือสิ จะไว้ชีวิตของเขาหรือไม่ ก็ดูที่อารมณ์ของคุณแล้วกัน” ลี่น่ากล่าว

เฮยยิงจุดบุหรี่ มองหลินอิ่งอย่างล้อเล่น “คนโง่ของประเทศหลุง เผชิญหน้ากับกลุ่มของฉัน ก่อนที่จะตาย คุณมีความรู้สึกอะไรที่จะพูดไหม”

“ความรู้สึก” หลินอิ่งส่ายหน้าซ้ำๆ ยกมุมปากขึ้น “พวกคุณอ่อนแอเกินไป”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท