ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 212 พวกคุณกลัวมันแล้วไม่กลัวผม

บทที่ 212 พวกคุณกลัวมันแล้วไม่กลัวผม

บทที่ 212 พวกคุณกลัวมันแต่ไม่กลัวผมเหรอ?

“กำลังเล่นตลกอยู่หรือไง? เขยสวะที่ชื่อเสียงโด่งดัง กล้าดียังไงถึงได้มาสร้างความวุ่นวายให้กับคณะกรรมการแห่งไห่หยางกรุ๊ป?” กรรมการคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ พลางจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห

“หลินอิ่ง? ต่อให้นายกับประธานเจียงฉีพอจะมีความสัมพันธ์อยู่บ้าง แต่นายก็ควรที่จะรู้ฐานะของตัวเองใช่ไหม?” กรรมการผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวอย่างดูถูก “ท่านเสิ่นซานยังอยู่ตรงนี้ นายมีสิทธิ์อะไรนั่งบนตำแหน่งนั้น?”

การเคลื่อนไหวของหลินอิ่ง ทำให้คณะกรรมการทั้งหมดไม่พอใจอย่างมาก

ไอ้เศษสวะนี่มีสิทธิ์อะไรมานั่งตำแหน่งประธานบริษัท? คิดจะนั่งอยู่บนหัวพวกเขา?

ในความเห็นของพวกเขา แม้แต่ฉินฝู้กุ้ยของเขตเหนือของเมืองก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะนั่งบนตำแหน่งประธานบริษัท!

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเสิ่นซานยังอยู่ที่นี่ เสิ่นซานนั่งบนตำแหน่งประธานทำหน้าที่ประธานในการประชุม บางทีพวกเขาอาจจะพอรับได้ ถึงแม้เสิ่นซานจะไม่ใช่บุคคลในแวดวงธุรกิจ แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เขามีคุณสมบัติพอ แต่หลินอิ่งเป็นใคร? เขยสวะที่มีชื่อเสียงเน่าเฟะแห่งเมืองชิงหยูน!

“แค่ก ๆ ” เสิ่นซานไอแห้ง ๆ กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ท่านหลินนั่งบนเก้าอี้ประธาน พวกคุณยังกล้าตั้งคำถาม?”

“บางทีผมควรที่จะแนะนำให้พวกคุณรู้จักใหม่อีกครั้ง ท่านหลิน เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของไห่หยางกรุ๊ป ในมือของเขาถือหุ้นอยู่มากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์” เสิ่นซานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

หลังจากที่เสิ่นซานพูดจบ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนมีสีหน้าตกใจ ไม่นานก็ยิ้มออกมา พวกเขาคิดว่าเสิ่นซานกำลังล้อพวกเขาเล่น

“ท่านหลิน? ไม่ใช่มั้ง? ท่านเสิ่นซาน ท่านกำลังล้อเล่นอะไรกับพวกเราน่ะ?” ลู่หยวนกล่าวพลางส่ายหน้า เขาไม่เชื่อคำพูดนี้แม่แต่น้อย

“ท่านเสิ่นซาน เรื่องล้อเล่นของท่านมันชักจะเกินไปแล้ว หลินอิ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด? ฮ่า ๆ ๆ …” กรรมการผู้หญิงคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฉันว่าน่ะ ท่านเสิ่นซาน ถึงแม้ท่านจะเป็นเพื่อนของประธานเจียง แต่เรื่องภายในของไห่หยางกรุ๊ปท่านยังไม่เข้าใจสถานการณ์ พวกเราต้องเข้าใจกว่าท่านอย่างแน่นอน”

“ฉันว่านะ หลินอิ่ง นายเลิกเสแสร้งได้แล้ว ฉันรู้ ว่านายประจบสอพลอประธานเจียง และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากกับประธานเจียง ตอนนี้ประธานเจียงให้นายออกหน้าแทน มีอะไรก็รีบพูดมา ไม่จำเป็นต้องประดับฐานะอะไรให้ตัวเอง นายมันก็แค่คนช่วยทำธุระให้แค่นั้นเอง” ลู่หยวนกล่าวอย่างเหยียดหยาม ด้วยท่าทางเหมือนกับว่ารู้เรื่องทุกอย่าง

เสิ่นซานมุมปากกระตุก เขาไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว

เขาได้แนะนำท่านหลินอย่างจริงจังขนาดนี้แล้ว คนพวกนี้กลับยังไม่เชื่ออีก?

“ท่านเสิ่นซาน หลินอิ่ง พวกคุณสองคนล้วนเป็นตัวแทนที่ประธานเจียงส่งมาทำหน้าที่ประธานในการประชุมออกความคิดเห็น ผมก็จะไม่พูดอะไรมากแล้ว แค่ประโยคเดียว ตอนนี้พวกเราต้องการที่จะเลือกประธานคนใหม่ของไห่หยางกรุ๊ป และยังต้องการร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปอีกด้วย” ลู่หยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ดังนั้น พวกคุณมีอะไรก็พูดมาเถอะ”

คำพูดนี้ของเขาได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว ความนัยแจ่มแจ้ง ไม่ว่าหลินอิ่งและเสิ่นซานจะพูดยังไง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะย้ายพรรคแล้ว พวกเขาพร้อมที่จะร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปกลืนกินไห่หยางกรุ๊ปในทันที พวกนายควรพูดอะไรก็พูด พูดเสร็จก็รีบไสหัวไป

ไม่ว่าหลิ่นอิ่งและเสิ่นซานจะเป็นใครฐานะอะไร ในสายตาของลู่หยวนและผู้คนกลุ่มนั้นแท้จริงแล้วไม่แตกต่างอะไร ทั้งสองคนล้วนเป็นคนของเจียงฉี ไม่ใช่พวกเดียวกันกับพวกเขา

ลู่หยวนและผู้คนกลุ่มนั้นได้เข้าร่วมกับลาตินกรุ๊ปอย่างลับๆ แล้ว อีกทั้งยังเป็นศัตรูของเจียงฉีและเสิ่นซาน ดังนั้น จึงได้รับการสนับสนุนจากลาตินกรุ๊ปอยู่เบื้องหลัง ลู่หยวนถึงได้ไม่เกรงกลัวอิทธิพลของเสิ่นซาน

“ผมอยากจะถามหน่อย ลาตินกรุ๊ปให้ผลประโยชน์กับพวกคุณมากมายแค่ไหน? ถึงได้กว้านซื้อพวกคุณได้?” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่หยวนขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างเคร่งเครียด: “หลินอิ่ง นายระวังคำพูดหน่อยนะ ที่บอกว่าพวกเราถูกลาตินกรุ๊ปกว้านซื้อหมายความว่ายังไง? พวกเราล้วนเป็นผู้ถือหุ้นของไห่หยางกรุ๊ป เพียงแค่เห็นด้วยที่จะร่วมมือกับลาตินกรุ๊ป ดำเนินการร่วมมือพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของเมืองโลก!”

“ถูกต้อง! ร่วมมือพัฒนาด้วยกัน ทุกคนสามารถได้ชัยชนะร่วมกัน ล้วนได้รับผลประโยชน์ ไม่ใช่เป็นดั่งเช่นประธานเจียง ที่ไปเป็นปรปักษ์กับลาตินกรุ๊ป แบบนั้นไม่มีผลดีอะไร มีแต่จะเป็นการนำพาบริษัทไปสู่ความพินาศ” กรรมการคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงเข้ม

“ฉันพูดจริง ๆ นะ หลินอิ่ง นายมันไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการตลาด บุคคลที่ไม่ชำนาญคนหนึ่ง ทำไมประธานเจียงถึงได้ให้คนที่ไม่มีระดับอย่างนายมาร่วมเข้าประชุมด้วยนะ?

หลินอิ่งยิ้มเยาะพลางส่ายหน้า พวกกินข้างในปีนป่ายออกข้างนอกกลุ่มนี้ พูดจาน่าฟัง แต่ความจริงแล้วได้เอากิจการของบริษัทไปขอพึ่งพาเจ้านายคนใหม่ ก็แค่เศษขยะที่ขายนายเพื่อขอความเจริญรุ่งเรือง

ธุรกิจและโครงการของเมืองโลกพวกนั้น ล้วนก่อตั้งขึ้นด้วยเงินทองของเขา พวกมันไม่ได้ลงทุนแม้แต่น้อย แล้วยังจะเอาไป “ร่วมมือพัฒนา” กับลาตินกรุ๊ป?

ช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกเสียจริง

“ผมก็ขี้เกียจที่จะพูดอะไรมากมายกับพวกคุณแล้ว” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ “แค่ถามพวกคุณประโยคเดียว แน่ใจว่าจะร่วมมือกับลาตินกรุ๊ป?”

“แน่นอน พวกเราได้พูดอย่างชัดเจนแล้วนี่ มติของคณะกรรมการก็คือเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในการพัฒนาของบริษัท ร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปพัฒนาโครงการต่าง ๆ ร่วมกัน” ลู่หยวนกล่าวอย่างเด็ดขาด “พวกเรายังจะเรียนเชิญเซียวจวง ประธานเซียวแห่งลาตินกรุ๊ปลงทุนเข้าร่วมคณะกรรมการไห่หยางกรุ๊ปอีกด้วย ร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง ความหมายชัดเจน นายสามารถไปบอกเจียงฉี”

“ใช่! ลู่หยวนเป็นตัวแทนที่พวกเราเลือกร่วมกัน ทุกคำที่เขาพูด เป็นคำพูดที่พวกเราคณะกรรมการผู้ถือหุ้นทุกคนต้องการจะพูด”

“ผมเข้าใจแล้ว” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ “ดูเหมือนว่า อิทธิพลของลาตินกรุ๊ปทำให้พวกคุณรู้สึกกดดัน พวกมันคุกคามญาติของพวกคุณ ขู่ขวัญความปลอดภัยส่วนบุคคลของพวกคุณ พวกคุณยังยอมที่จะเป็นสุนัขรับใช้ให้กับพวกชาวต่างชาติกลุ่มนั้น? กลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“นาย! นายพูดอะไร?” กรรมการผู้หญิงคนหนึ่งแววตาตื่นตระหนก จ้องมองหลินอิ่งอย่างไม่เชื่อ

ณ ตอนนี้ ผู้ถือหุ่นที่อยู่ตรงนั้นล้วนมองหลินอิ่งด้วยแววตาตื่นตระหนก พวกเขาไม่รู้ว่า ทำไมหลินอิ่งถึงได้รู้ความลับพวกนี้

เป็นความจริง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ตัวคณะกรรมที่อยู่ตรงนี้เองรวมถึงพ่อแม่บุตรหลาน ล้วนถูกคุกคามจากอิทธิพลของลาตินกรุ๊ปอย่างลับ ๆ พวกมันใช้ปืนบังขับขู่เข็ญ บวกกับใช้เงินทองผลประโยชน์ล่อใจ บีบบังคับจนพวกเขาทำได้เพียงก้มหัวให้ และยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

“พูดจาเหลวไหล! หลินอิ่ง นายอย่ามาใช้ทฤษฎีอุบายหลอกล่ออยู่ที่นี่!” ลู่หยวนตอบโต้ด้วยความประหม่าหวาดกลัวเล็กน้อย

เรื่องราวเหล่านี้ ลู่หยวนก็เคยเผชิญเหมือนกัน อีกอย่างเขาเป็นคนแรกที่ไปพึ่งพิงลาตินกรุ๊ป ทั้งยังช่วยคนเลวทำความชั่ว ดังนั้นถึงได้กลายเป็นตัวแทนหุ่นเชิดของลาตินกรุ๊ปในไห่หยางกรุ๊ป

หลินอิ่งเหอะในลำคออย่างเย็นชา แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชา: “พวกคุณกลัวมัน แล้วไม่กลัวผมเหรอ?”

ขณะที่พูด หลินอิ่งก็ได้ส่งสายตาให้กับเสิ่นซาน เสิ่นซานสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม เขาหยิบเอกสารปึกใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเอกสารในอ้อมแขนของเขา

เอกสารพวกนี้ล้วนถูกยึดมาจากกลุ่มเฮยยิง ข้างในล้วนเป็นข้อมูลความลับส่วนตัวของคณะกรรมการของไห่หยางกรุ๊ป รวมถึงเทปบันทึกเสียงจุดอ่อนที่ใช้เพื่อบังคับขุ่มขู่พวกเขา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท