ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 229 คารวะเหล้าให้ลูกพี่เหล่านี้

บทที่ 229 คารวะเหล้าให้ลูกพี่เหล่านี้

บทที่ 229 คารวะเหล้าให้ลูกพี่เหล่านี้

พอลากไปถึงประตูทางเข้า เสียงก็ดังปัง

ฮาเดสโยนโจวยู่ถานทั้งสองคนเหมือนโยนถังขยะ ออกไปที่ประตูทางเข้า ช็อตนี้ถูกผู้หวังดีที่ตามมาตลอดทาง ถ่ายรูปเอาไว้

กำจัดสองคนนี้เสร็จ ฮาเดสหันกลับมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสี คิดจะไปรายงานให้หลินอิ่งทราบ

ส่วนที่ประตูทางเข้ายังมีพวกสนุกบนความทุกข์คนอื่น เดินตามมาด้วยเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดูตระกูลโจทั้งสองคน เอามือถือขึ้นมาถ่ายคลิป

นี่เป็นข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย คุณหนูกับคุณชายแห่งตระกูลโจตระกูลจากสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองชิงหยูน นึกไม่ถึงว่าจะถูกคนซ้อมที่เมืองโลกแล้วโยนออกนอกงาน?ต้องดังแน่

“แม่งเอ้ย พวกแกใครกล้าถ่าย ข้าจะกลับไปเอาคนมาเล่นงานพวกแก!” โจตงข่มขู่คุกคามเหมือนคนเป็นฮิสทีเรีย จนเส้นเอ็นโผล่มาให้เห็น รู้สึกถูกสบประมาทครั้งใหญ่ในชีวิต

“ให้ตาย คุณชายโจ นี่บารมีคุณมากอย่างนี้เลยเหรอ?คนของลาตินกรุ๊ปสบประมาทคุณ เก่งนักก็ไปอวดเบ่งกับลาตินกรุ๊ปสิ? มาระบายใส่พวกเรา? คิดว่าพวกเรารังแกกันง่ายๆ เหรอ?” ชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งหัวเราะเยาะพูดขึ้นมา

“นั่นสิ พวกเราเป็นแขกของที่นี่ อยากทำอะไรที่นี่ก็ได้ ตรงข้ามกับพวกคุณ ถูกไล่ออกไปแล้ว ยังไม่รีบไสหัวไปให้ห่างๆ อีก จะได้ไม่โดนคนของลาตินกรุ๊ปเล่นงานอีก”

คนกลุ่มหนึ่งกำลังฉวยโอกาสถากถางอย่างเมามันต่อโจยู่ถานทั้งสองคน คนสองคนนี้ขึ้นชื่อว่าเย่อหยิ่งจองหองในแวดวงคนมีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนมาตลอด ล่วงเกินคนอื่นไว้ไม่น้อย ไม่รู้มีคนตั้งเท่าไหร่ที่อยากจะตีให้เหมือนหมาตกน้ำ

“พวกเราไปกัน!” โจวยู่ถานกัดฟันพูด สีหน้าอับอายและโกรธมาก

ทั้งสองคนแบกความอัปยศเดินออกจากลานอาคารโลก สีหน้าหม่นหมองเกินกว่าจะเปรียบเปรย

“โจตง แกรีบกลับไปหาคุณท่าน เล่าเรื่องนี้ให้คุณท่านได้ฟัง กบฏแล้วจริงๆ เศษสวะหลินอิ่งมันกล้าให้บอดี้การ์ดอัดพวกเรา!” โจยู่ถานพูดอย่างไม่ยอมใจ “ไม่รู้ว่าเขาไปสอพลอมหาอำนาจนั่นอย่างไร บอดี้การ์ดฮาเดสถึงได้ไม่เห็นพวกเราในสายตา เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่!”

“ไม่เป็นไร พี่ยู่ถาน พวกเรากลับไปแล้วก็ขอให้คุณท่านออกหน้าไปหานายคริสที่ลาตินกรุ๊ปกัน ต้องมีหนทางแน่ จะปล่อยเจ้าเศษสวะหลินอิ่งนั่นไปไม่ได้!” โจตงพูดด้วยความเคียดแค้น

พวกเขาสองคนไม่ยอมใจอย่างยิ่ง เกลียดหลินอิ่งเข้ากระดูกดำ วันนี้ขายหน้าซะขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องกลับมาแน่

ขอแค่คุณท่านออกหน้า ต่อให้เป็นคริสก็ต้องไว้หน้าบ้าง ไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเศษสวะหลินอิ่งอย่างโหดเหี้ยมไม่ได้

พูดเสร็จ ทั้งสองคนก็ขึ้นนั่งบนรถ รอไปจากเมืองโลก กลับไปยังตระกูลโจเพื่อจะยกกำลังมาแทบไม่ไหวแล้ว

ไม่กี่นาทีต่อมา หลินอิ่งก็เดินออกมาจากอาคารเมืองโลก ฮาเดสตามติดอยู่ข้างกาย

หลินอิ่งรออยู่ริมถนนสักพัก ฮาเดสไปเอาลินคอล์นสีดำสไตล์ย้อนยุคจากลานจอดรถมา เปิดประตูด้วยความคล่องแคล่ว

หลินอิ่งขึ้นนั่งเบาะหลังอย่างสงบนิ่ง ไม่นาน ฮาเดสก็สตาร์ทรถขับไปที่ใจกลางเมือง

ทางฉีโม่เหมือนเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว เขาจึงไม่มีเวลารอให้งานฉลองโครงการเมืองโลกเสร็จงาน ตอนนี้ต้องรีบไปจัดการ

ในสายตาของหลินอิ่ง เรื่องของฉีโม่สำคัญที่สุด ต่อให้โครงการเมืองโลกจะสำคัญอย่างไร ก็เป็นแค่โครงการทรัพย์สินพันล้านเท่านั้นเอง

ณ ใจกลางเมือง อาคารจางซื่อ พิธีเปิดกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก

จางฉีโม่กับครอบครัวนั่งประจำที่VIP บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยสุราอาหารอย่างดี แต่ไม่มีอารมณ์จะกิน

จางฉีโม่ลองเสนอสวัสดิการ ว่าด้วยเหตุผลอย่างจริงจัง แต่คนตระกูลจางกลับไม่มีความจริงใจเลย

สิ่งที่เธอเจรจาด้วยความจริงใจกลับไม่ได้ผลอะไรเลย

คนตระกูลจางบอกว่าต้องให้กองทุนสวัสดิการกับพวกเขาทุกคน พอจางฉีโม่ไตร่ตรองแล้ว ก็พยักหน้ารับปากเรื่องนี้ จางฉีโม่เจรจาให้สวัสดิการเป็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนทุกคน กะว่าจะเอาเงินสองล้านจากบริษัทมาสงบจิตใจคนตระกูลจาง รักษาชื่อเสียงของบริษัท

ปรากฏว่า คนตระกูลจางรีบรวมตัวกันกลับคำทันที บอกว่าน้อยเกินไป ต้องเพิ่มเงิน

จางฉีโม่พอจะเข้าใจแล้วว่า คนตระกูลจางกลุ่มนี้เห็นตัวเองเป็นของเล่น อีกทั้งตรรกะความจริงอยู่ที่ความรู้สึกคน

ทุกครั้งที่เธอรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่ง เหมือนว่าจะเจรจาเรื่องแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อได้แล้ว คนของตระกูลจางต่างรู้สึกว่าพวกเขาเสียเปรียบ จากนั้นก็ฉีกสัญญา เรียกร้องให้เพิ่มเงื่อนไขอีกข้อ สถานการณ์แบบนี้ จะตกลงธุรกิจกันได้อย่างไร

“นี่ ฉีโม่ เธอนี่ไม่มีความจริงใจเอาซะเลย ฉันรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเจรจาอีกแล้ว เครื่องประดับจางซื่อแบรนด์นี้ ให้พวกเรากับลุงสามมาจัดการดีกว่า”

ท่าทางจางหงจูนกับจางหงซวนสบายอกสบายใจ เที่ยวเดินไปรอบงาน แล้วก็กลับไปที่โต๊ะกินเลี้ยงอีกครั้ง ข้างกายยังมีเด็กหนุ่มวัยกลางคนแต่งตัวแบบพิเศษมาด้วย

“จริงสิ ขอแนะนำแขกคนสำคัญสองท่านในพิธีเปิดงานครั้งนี้ให้ทุกคนรู้จักหน่อย นายซูนเฉียงกับนายหลุยส์” จางหงจูนพูดด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ที่ได้แนะนำบุคคลผู้ยิ่งใหญ่สองท่านข้างกายอย่างเอิกเกริก “นายซูนเฉียงทุกคนคงรู้จักแล้วสินะ ตัวแทนวงการค้าของตระกูลซูน ก็คือญาติสนิทของฉัน นายหลุยส์น่ะ เป็นรองประธานรับผิดชอบการค้าเครื่องประดับหยกของลาตินกรุ๊ป!”

พูดเสร็จ คนกลุ่มนี้ก็เข้านั่งประจำที่VIP

“ทุกคนตอนนี้คงเห็นศักยภาพของเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปของพวกเราแล้ว แขกVIPทั้งสองท่านนี้ต่างเป็นพันธมิตรความร่วมมือที่สำคัญของบริษัท!” จางหงจูนพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ

“พี่ใหญ่นี่เก่งจริงๆ เชิญมาได้กระทั่งบุคคลใหญ่โตของลาตินกรุ๊ป”

“ผู้อาวุโสตระกูลจางพวกเราติดตามพี่ใหญ่กับพี่สาม นั่นถึงจะถูกทาง เครื่องประดับจางซื่อแบรนด์นี้ ต้องมอบให้พี่ใหญ่จัดการแล้ว พวกเราถึงจะวางใจนะ ไม่เหมือนคนหนุ่มสาวบางคนของตระกูลจาง ทำงานพึ่งไม่ได้ โดยเฉพาะเป็นลูกผู้หญิง น่าขายหน้าชาวบ้านจริงๆ พูดออกไปก็ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะตระกูลจาง”

คนกลุ่มหนึ่งก็โห่ขึ้นมาทันที พร้อมถากถางจางฉีโม่

ในเมืองชิงหยูน บริษัทใหม่ที่ก่อตั้งขึ้น สามารถเชิญบุคคลสองคนนี้มาได้ เท่ากับว่ามีอันดับทีเดียว

ซูนเฉียงเป็นผู้มีอำนาจเต็มของตระกูลซูน พ่อของซูนเหิงคุณชายซูน มีบารมีมากมายในแวดวงคนดังเมืองชิงหยูน ส่วนหลุยส์ถึงจะไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงคนดัง แต่ฐานะที่โชว์อยู่ รองประธานละตินกรุ๊ป คงจะนึกภาพอำนาจในมือออก ใครไม่รู้บ้างว่ากระแสลมในวงการค้าตุงไห่ก็คือลาตินกรุ๊ป?

“ฉีโม่อ่ะ อย่างไรเธอ ก็เป็นคนของตระกูลจาง ทั้งสองคนนี้ก็เป็นลูกพี่ในวงการการค้าตุงไห่ เธอก็ถือเป็นคนในวงการธุรกิจ ต่อไปถ้าอยากเจริญก้าวหน้าในเมืองชิงหยูน ก็ต้องดูสีหน้าของพวกเขา” จางหงซวนพูดอย่างล้อเลียน “มา รีบมาดื่มเหล้าคารวะลูกพี่ทั้งสองเร็ว”

พูดเสร็จ จางหงซวนก็เทเหล้าขาว50ดีกรีเต็มสองแก้ว วางลงต่อหน้าจางฉีโม่ตามความเหมาะสม

เหล้าขาวสองแก้วใหญ่วางอยู่ตรงหน้า จางฉีโม่หน้าตาถอดสีเล็กน้อย

อย่าว่าแต่เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยดื่มเหล้าขาวเลย นี่มันถึงขั้นเต็มแก้วไวน์ สองแก้วก็มีเหล้าขาวอยู่ 500 มิลลิลิตร พูดจาทำเรื่องอย่างนี้บนโต๊ะจัดเลี้ยง เห็นชัดๆ ว่าเป็นการดูถูกกันไม่ใช่เหรอ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท