ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 240 เตรียมตัวไปตี้จิง

บทที่ 240 เตรียมตัวไปตี้จิง

บทที่ 240 เตรียมตัวไปตี้จิง

กงซุนเฟยเจี้ยนคิดอยากหนีจากสถานที่แห่งนี้ จากการพยุงตัวของบอดี้การ์ดสองคน เข้าลิฟต์ลงชั้นล่าง เพิ่งถึงห้องโถง ก็เจอจางหงจูนกับจางหงซวน

“ประธานกงซุน ช่วงนี้ยุ่งอะไรอยู่ครับ? พวกเราโทรไปไม่ติดเลย ก็เลยมาหาท่านถึงที่ พวกเรามีเรื่องด่วนต้องรายงาน” จางหงจูนพูดอย่างเคารพ

กงซุนเฟยเจี้ยนสีหน้าเย็นชา ไม่อยากพูดกับไอ้หน้าโง่สองคนนี้แม้แต่น้อย ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี เป็นแค่สุนัขรับใช้สองคนที่เขาซื้อไว้เท่านั้น

“ประธานกงซุน คือว่า วันนี้ไม่รู้เพราะอะไร รองประธานลาตินกรุ๊ปที่ลูกน้องท่านติดต่อให้รู้จักก่อนหน้านี้ ส่งคนมาซ้อมเราสองคน ยังมาเตือนพวกเรา แล้วยังถอนเงินทุนจากบริษัทจางซื่อใหม่ด้วย เรื่องนี้ ท่านต้องช่วยพวกเรา” จางหงซวนพูดอย่างอ้อนวอน บนหน้ายังมีรอยฝ่ามือชัดเจน ดูแล้วน่าตลก

จางหงจูนกับจางหงซวนเพิ่งทำเรื่องพิธีเปิดกิจการเสร็จ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รองประธานของลาตินกรุ๊ปหลุยส์ ก่อนหน้านี้ยังคุยเรื่องงานกันดีๆในโต๊ะเหล้า แต่กลับพาบอดี้การ์ดมาซ้อมพวกเขา และยังลงมือทั้งซ้อมทั้งถีบเองด้วย ซ้อมเสร็จไม่พูดอะไรสักคำ

เรื่องนี้ทำให้จางซงจูนสองพี่น้องมีทุกข์ไม่มีที่ระบาย โมโหก็ไม่กล้าระบาย ตอนแรกจางหงจูนอยากไปหาซูนเฉียงช่วยแก้แค้น แต่กลับถูกซูนเฉียงด่ายับในโทรศัพท์ ด่าเสร็จแล้วก็บอกว่าต่อไปไม่ต้องไปเขาอีก

จางหงจูนสองพี่น้องรู้สึกอับอายมาก จึงมาขอพึ่งกงซุนเฟยเจี้ยน เชื่อว่ามีเพียงกงซุนเฟยเจี้ยนที่ยอมช่วยพวกเขา เพียงคำพูดง่ายๆคำเดียว ก็สามารถให้หลุยส์ก้มหน้าได้

“ประธานกงซุน หลุยส์คนนี้เป็นคนที่ลูกน้องคุณแนะนำ เขาซ้อมเราสองคนแบบนี้ ไม่ไว้หน้าท่านแม้แต่น้อย” จางหงจูนพูดประจบ

สีหน้ากงซุนเฟยเจี้ยนยิ่งเย็นชา เพิ่งถูกหลินอิ่งทำให้ขาหัก อารมณ์ไม่ดี ฟังคำพูดของสองคนนี้ไม่เข้าหูสักอย่าง

“พวกแกสองคน ไสหัวไปเดี๋ยวนี้” กงซุนเฟยเจี้ยนพูดอย่างโมโห

“นี่มัน…..ประธานกงซุน ท่าน เป็นอะไรครับ?” จางหงจูนถามอย่างไม่เข้าใจ รู้สึกสงสัย

“ขอโทษด้วยครับ ประธานกงซุน เป็นความผิดเราสองคนเอง ไม่ได้สังเกตว่าวันนี้ท่านเจ็บขา ท่านต้องระวังสุขภาพด้วยนะครับ” จางหงซวนรีบพูดขอโทษ เพิ่งสังเกตเห็นว่ากงซุนเฟยเจี้ยนขาเดินไม่สะดวก ต้องให้คนพยุง

ได้ยินแล้ว กงซุนเฟยเจี้ยนยิ่งโมโห อะไรไม่ควรพูดกลับไปพูด จางหงจูนพูดถึงเรื่องนี้ ยิ่งทำให้เขาโมโห

เพี๊ยะ เพี๊ยะ

กงซุนเฟยเจี้ยนยกมือขึ้นตบหน้าจางหงจูนกับจางหงซวนอย่างแรง จนรอยยิ้มของทั้งสองจางไป โดนตบจนงง ไม่รู้ว่าสถานการณ์อะไร

“แกสองคน อย่ามาพูดจาไร้สาระต่อหน้าฉันอีก ถ้าพูดอีกเอาแกสองคนตายแน่” กงซุนเฟยเจี้ยนพูดอย่างเย็นชา “อีกอย่าง วันนี้ฉันจะไปจากเมืองตงไห่แล้ว และเงินทุนของบริษัทจางซื่อใหม่ฉันก็จะถอนทุนเหมือนกัน ฉันขอเตือนแกสองคน สำหรับเรื่องนี้ ห้ามไปบอกใคร ไม่อย่างนั้น แกสองคนได้หายไปจากโลกนี้แน่”

พูดจบ กงซุนเฟยเจี้ยนก็หันหลัง บอดี้การ์ดสองคนพยุงเขาเดินออกจากห้องโถง

“นี่มัน…..เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ประธานกงซุนก็จะถอนทุน?” จางหงจูนหน้าเขียว รู้สึกเสียใจและอับอายมาก

ตอนแรกพวกเขาสองคนอย่ามาหาที่พึ่งช่วยระบายความโกรธ แต่กลับโดนที่พึ่งคนนี้ตบหน้าไปสองที

ต้องอับอายต่อหน้าคนใหญ่โตแบบนี้ สำหรับพวกเขาสองคนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่ที่สำคัญคือ ประธานกงซุนจะถอนทุน?

ถ้าไม่มีที่พึ่งเจ้าใหญ่อย่างกงซุนเฟยเจี้ยน และไม่มีหลุยส์และซูนเฉียงที่คอยสนับสนุนในแวดวงธุรกิจเมืองชิงหยูน พวกเขาสองคนทุ่มเทแรงกายก่อตั้งบริษัทจางซื่อใหม่ คงต้องขาดทุนเลือดแห้งแน่

อีกอย่าง ไม่มีคนพวกนี้คอยสนับสนุน พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้กับจางฉีโม่?

“พี่ใหญ่ นี่มัน ทำไมแค่แป๊บเดียว คนพวกนี้ก็ทิ้งบริษัทจางซื่อใหม่ของเราไปแล้ว?” จางหงซวนก็รู้สึกสงสัย สีหน้ากังวล

ถือโอกาสพึ่งคนใหญ่คนโตอย่างกงซุนเฟยเจี้ยนแล้ว ธุรกิจก็กำลังเป็นรูปเป็นร่าง แต่กลับถูกทุกคนทอดทิ้ง ยังเหยียบย่ำพวกเขาอย่างแรงอีก

ความรู้สึกแบบนี้ มันกลืนลงไปยากจริงๆ

“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้น พวกเราโทรไปถามประธานใหญ่กงซุน?” จางหงจูนพูด

“ช่างเถอะ ประธานกงซุนก็เตือนพวกเราแล้ว ถ้ายังกล้าไปถามอีก เกรงว่า เขาจะเอาเราสองคนถึงตายแน่” จางหงซวนพูดอย่างหวาดกลัว สีหน้าเอือมระอา

พวกเขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของบอดี้การ์ดของกงซุนเฟยเจี้ยนมาแล้ว ไม่กล้าเข้าไปถามกงซุนเฟยเจี้ยนแม้แต่น้อย พูดไม่ดีอาจจะเอาชีวิตเข้าแลกก็ได้

แต่วันนี้บริษัทนายทุนพวกนี้จะถอนทุนแล้ว แบบนี้บริษัทจางซื่อใหม่ ก็มีเพียงเปลือกเท่านั้น จะตามเก็บความวุ่นวายพวกนี้ยังไง?

อีกฝั่งหนึ่ง ฮาเดสขับรถกลับวิลล่าหิมะมังกร เขาลุกขึ้นจากที่นั่งคนขับเปิดประตูอย่างถนัด หลินอิ่งลงจากที่นั่งด้านหลัง

“รอผมข้างนอก” หลินอิ่งสั่งไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าวิลล่าหิมะมังกร

ตอนแรกหลินอิ่งอยากกลับไปบนเกาะเทียมก่อน ไปวางแผนจัดการเรื่องกงซุนฉางเฟิง แต่ตอนอยู่บนรถฉีโม่โทรมา ก็เลยรีบกลับมาวิลล่าหิมะมังกรก่อน

ฉีโม่พูดในโทรศัพท์ว่า เรื่องไปร่วมงานเครื่องประดับประเทศหลุงที่ตี้จิงที่คุยกันครั้งก่อน เธอจะออกเดินทางไปตี้จิงพรุ่งนี้ ถามเขาว่ามีเวลาไปด้วยกันไหม

หลินอิ่งคิดแล้ว ก็เลยตอบตกลง จึงมาคุยเรื่องเปลี่ยนชื่อบริษัทกับฉีโม่

ไม่นาน หลินอิ่งมาถึงวิลล่า หลี่ผูมาเปิดประตู ห้องรับแขกอันกว้างใหญ่มีจางฉีโม่นั่งดูทีวีอยู่คนเดียว ลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมียไม่ค่อยอยู่บ้าน

“หลินอิ่ง คุณมาแล้วเหรอ วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน ไม่มารบกวนคุณหรอก เราคุยกันที่ห้องรับแขกเลย พวกเขาไปหาความสัมพันธ์ข้างนอก มัวแต่หาคนของตระกูลจาง ไปยอมให้กับพวกคุณลุง”

จางฉีโม่พูด

หลินอิ่งพยักหน้า นั่งลงที่เก้าอี้

เวลานี้ หลี่ผูยกแก้วน้ำชามา ยื่นชาให้ รู้รสชาติที่เขาชอบ

หลินอิ่งดื่มชาคำหนึ่ง พูดว่า “ฉีโม่ คิดชื่อใหม่ของบริษัทได้หรือยัง? ผมมีเพื่อนอยู่ที่ตี้จิง งานเครื่องประดับประเทศหลุงครั้งนี้ ก็ถือโอกาสโฆษณาชื่อบริษัทเลย เรื่องนี้สำคัญมาก

ฉีโม่ไปตี้จิง ก็เพื่อโฆษณาให้กับบริษัท สร้างชื่อเสียงและโฆษณาในวงการเครื่องประดับประเทศหลุง

แบบนี้ ก็ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทก่อน เพื่อป้องกันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจางซื่อ

จางฉีโม่คิดไปมา ถามว่า “ความจริงฉันยังคิดไม่ออก คุณมีความคิดอะไรไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท