ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 243 พาเธอเปิดโลกทัศน์

บทที่ 243 พาเธอเปิดโลกทัศน์

บทที่ 243 พาเธอเปิดโลกทัศน์

“ประธานหลิน ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณ” กงซุนฉางเฟิงพูดพลางตบที่หน้าอก “ผมคุ้นเคยกับเมืองเกาหยางดี ผมมีลูกน้องที่ใช้ได้อยู่ลับๆ เรื่องอื่นผมไม่กล้าพูด แต่เรื่องสืบข่าวบางอย่างไม่มีปัญหาแน่”

กงซุนฉางเฟิงตัดสินใจปนเปไปกับหลินอิ่งแล้ว เพราะไม่มีทางเลือกอื่น

ใจของเขาก็รู้ดี ว่านี่เป็นบททดสอบของหลินอิ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง

แม้ว่าเขาจะเป็นคนของตระกูลกงซุนแห่งเมืองตี้จิง แต่ไม่ได้เป็นคนในวงศ์ที่มีน้ำหนักภายในอะไรเลย อีกทั้งการมาเมืองตุงไห่ครั้งนี้ก็ทำเสียเรื่อง ถึงขั้นต้องหักหลังกงซุนเฟยเจี้ยน แม้อยากจะสวนกระแสทำงานให้ตระกูลกงซุน ก็ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ

ส่วนทางแก๊งหยางเหมิน กงซุนฉางเฟิงเป็นแค่มือต่อสู้ สถานะไม่สำคัญเท่าไหร่ ครั้งนี้ถ้าทำงานให้ประธานหลินได้ดี ได้รับความเชื่อถือ ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีจากเรื่องร้ายก็ได้ ต่อไปอนาคตไกลแน่

หลินอิ่งพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปทำงานให้ดีๆ เถอะ”

หลินอิ่งไม่กลัวว่าหลังจากกงซุนฉางเฟิงไปถึงเมืองเกาหยางแล้วจะเล่นตุกติก อย่างไรก็มีกลุ่มเฮยยิงช่วยจับตาดูคนผู้นี้แทน กลุ่มเฮยยิงอาจจะไม่ได้เก่งการต่อสู้ แต่เป็นมืออาชีพด้านการหาข่าว

ยิ่งไปกว่านี้ นี่เป็นกลุ่มสุดยอดจารชนที่เชี่ยวชาญการใช้ปืน ถ้าจะวัดกันที่การต่อสู้ก็มองข้ามกันไม่ได้

ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีฝีมือยิงปืนที่ยอดเยี่ยมได้

พอสั่งเสร็จ กงซุนฉางเฟิงกับกลุ่มเฮยยิงก็ไปจากสวนดอกไม้

หลินอิ่งจิบน้ำชา ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็โทรหากงซุนชิวอวี่

สถานการณ์ตระกูลกงซุนเมืองเกาหยางซับซ้อนเช่นนี้ กงซุนชิวอวี่อยู่กับวงศาคณาญาติ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ต่อให้เขารู้แล้ว จะมองดูกงซุนชิวอวี่ตาปริบๆ เกิดเรื่องไม่ได้ ไม่เช่นนั้น คงจะชี้แจงต่อคุณปู่ไม่ได้

“ฮัลโหล พี่ชาย วันนี้โทรมาหาฉันได้อย่างไร?” สายอีกฝั่ง เป็นเสียงประหลาดใจของกงซุนชิวอวี่ ราวกับไม่คิดว่าหลินอิ่งจะโทรหาเธอ

“หมู่นี้สถานการณ์ตระกูลกงซุนเป็นอย่างไรบ้าง?” หลินอิ่งถามอย่างตรงไปตรงมาก

“ดีทีเดียว หมู่นี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างมีความสุข “ต้องขอบคุณพี่ชายที่ช่วยรักษาคุณท่านหาย สุขภาพของคุณท่านดีกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาก”

“จริงสิ พี่ชาย คนที่ขวางพี่ระหว่างทางไปสนามบินคราวก่อน ภายหลังฉันสืบข่าวได้ว่า ลุงสองของฉันเป็นคนส่งไปเอง” กงซุนเสียวอวี่พูดด้วยความตื่นเต้น “ลุงสองของฉันยังส่งคนไปหาเรื่องพี่อีกเหรอเปล่า?”

เธอไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของพี่ชาย แต่ห่วงว่าคนตระกูลกงซุนจะทำเรื่องงี่เง่าหาเรื่องหลินอิ่งพี่ชายฝ่ายแม่ เกิดทำเขาเดือดเป็นไฟขึ้นมา เกรงว่าตระกูลกงซุนจะต้องบาดเจ็บปางตาย

“ไม่เลย เรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องห่วง” หลินพูดแกมหัวเราะ

“เดิมทีฉันอยากจะข้ามไปหาพี่ชายที่เมืองตุงไห่ แต่ว่า ช่วงนี้คุณท่านให้ฉันอยู่กับกิจการของตระกูล งานก็เลยยุ่งมาก ไว้ว่างแล้วจะไปหาพี่ชายกับพี่สะใภ้ที่เมืองตุงไห่นะ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างคล่องแคล่ว

“อ้อ” หลินอิ่งพูดขึ้นมา “หมู่นี้พี่ได้ข่าวว่า ทางเมืองเกาหยางไม่ค่อยสงบ ถ้าเธอมีเรื่องอะไร ก็ให้โทรหาพี่”

“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่ชาย” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

เรื่องที่พี่ชายพูดมา เธอไม่กล้าจะเบาใจ คนผู้นี้หลินอิ่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองตี้จิงที่ชื่อเสียงโด่งดังสะท้านประเทศหลุง

พี่ชายบอกว่าช่วงนี้เมืองเกาหยางไม่ค่อยสงบ ความหมายที่อยู่ในนั้นต้องมีความไม่ปกติแน่

“อืม”

หลินอิ่งวางสายลง ไม่ได้พูดอะไรอีก

หลังจากมอบหมายงานทั้งหมดเสร็จ คืนนั้นหลินอิ่งก็นอนหลับอยู่ที่เกาะเทียม

วันที่สอง พอเช้าตรู่ หลินอิ่งก็ให้ฮาเดสขับรถ รีบไปยังสนามบินนานาชาติเมืองชิงหยูน

การไปตี้จิงครั้งนี้ เขาคิดจะพาฮาเดสไปเป็นบอดี้การ์ดข้างกายเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นที่เหลือไม่ได้พาไป

เสินซานกับคริสก็มอบหมายงานชัดเจนแล้ว ให้พวกเขาในระยะนี้ทำงานตามขั้นตอนไป

หลินอิ่งให้เสินซานปรับอิทธิพลใต้ดินเมื่อก่อนของคริส ส่วนเจียงฉียังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โครงการเมืองโลกก็ให้คริสดำเนินการจัดการ อย่างไรเสียก็เป็นโปรเจ็คขนาดใหญ่ ต้องการคนที่มีความสามารถมารับผิดชอบ

ตอนมาถึงสนามบินนานาชาติ จางฉีโม่มารออยู่แล้ว

ทั้งสองคนขึ้นเครื่องไปพร้อมกัน ฮาเดสตามติดข้างกายหลินอิ่ง ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด ส่วนจางฉีโม่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายกับฮาเดสคนต่างชาติแปลกหน้าผู้นี้ สำหรับเธอแล้ว หลินอิ่งพาบอดี้การ์ดเดินทางไปด้วยก็เป็นเรื่องปกติ

หลินอิ่งนั่งลงที่นั่งบนเครื่องบิน หลังจากหลับตาพักผ่อนไม่กี่ชั่วโมง ก็มาถึงตี้จิง

เพิ่งจะลงจากเครื่อง จางฉีโม่ก็ได้รับโทรศัพท์

“หลินอิ่ง เมื่อครู่หัวหน้าสมาคมจูโทรหาฉัน บอกว่ามีการกินเลี้ยง ให้ฉันไปกินเลี้ยงที่โรงแรมจงเทียนที่เขตจงเทียน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าฉงน “เห็นหัวหน้าจูบอกว่า มีคนดังในงานมาก อยากแนะนำให้รู้จัก งานเครื่องประดับตี้จิงยังไม่เริ่ม จะไปกินข้าวกันก่อนไหม?”

หลินอิ่งคิดสักพักก็ตอบว่า “ไปด้วยกันเถอะ”

เดิมทีเขาคิดจะให้หยูจื๋อเฉิงจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับ ทว่าในเมื่อฉีโม่มีกินเลี้ยง ก็ทำตามที่เธอต้องการก็แล้วกัน

และหัวหน้าสมาคมจูของสมาคมเครื่องประดับเมืองตุงไห่ ก็ได้ยินฉีโม่พูดถึงบนเครื่องบิน

หัวหน้าสมาคมจูเดิมชื่อว่าจูฟาง ถือว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในวงการเครื่องประดับตุงไห่ เกิดที่เมืองชิงหยูน ได้ข่าวว่าแต่งเข้าตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองตี้จิง ทำธุรกิจเครื่องประดับใหญ่มาก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ตี้จิง ไม่เพียงมีน้ำหนักในเมืองตุงไห่ ยังมีเส้นสายไม่น้อยในเมืองตี้จิงด้วย

ฉีโม่กับหัวหน้าจูผู้นี้ รู้จักกันในงานเลี้ยงธุรกิจ ความสัมพันธ์เป็นเพียงอยากได้อะไรของให้บอก

หลินอิ่งดักรถแท็กซี่ข้างทาง ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็มาถึงเขตจงเทียนที่เจริญรุ่งเรือง

โรงแรมจงเทียน ตั้งอยู่กลางศูนย์การค้า เป็นโรงแรมระดับเจ็ดดาวที่มีชื่อเสียงของเขตจงเทียน ตกแต่งอย่างหรูหรา ภายในตัวอาคารเป็นร้านอาหารสถานบันเทิงกว่าสิบชั้น

ใต้โรงแรม เต็มไปด้วยรถแข่งหรูหราจอดเต็มไปหมด ดูก็รู้ว่าคนที่มาไม่ใช่บุคคลธรรมดา ค่าใช้จ่ายของที่นี่ก็นับว่าแพงหูฉี่

“ฉีโม่ มาแล้วเหรอ อุ๊ยตาย ฉันมารอเธอใต้อาคารโดยเฉพาะเลยนะ กลัวเธอจะหาที่ตั้งไม่เจอ”

หลินอิ่งกับจางฉีโม่เพิ่งจะมาถึงประตูทางเข้าโรงแรม ก็มีหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายเครื่องประดับ สวมเครื่องประดับเต็มตัว สวมชุดราตรีสีดำยาว หน้ายิ้มเดินเข้ามา กวักมือมาทางจางฉีโม่

“พี่จู รบกวนพี่แล้ว” จางฉีโม่พูดด้วยความเกรงใจ

“แค่นี้เรื่องเล็ก” จูฟางโบกไม้โบกมือ “ที่สำคัญน่ะ งานกินเลี้ยงคืนนี้เธอต้องแสดงออกให้ดี ดื่มกับคนใหญ่คนโตพวกนั้น เรื่องโปรโมทบริษัทของเธอ ก็จะเป็นแค่เรื่องเล็ก”

“ฉีโม่จ๊ะ ตี้จิงไม่ได้ดีไปกว่าเมืองชิงหยูน กิจการเครื่องประดับของเธอที่เมืองชิงหยูนชื่อเสียงไม่เบา แต่กำลังทรัพย์สินเพียงแค่นั้น ในวงการของที่นี่ถือว่ากระจอกมาก จำไว้ทำตัวลดต่ำให้ไว้” สีหน้าท่าทางจูฟางยะโส พูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน “ตามฉันมาสิ จะพาเธอเปิดโลกทัศน์”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท