ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 253 คุณไม่ได้มีหน้าตาในสังคม

บทที่ 253 คุณไม่ได้มีหน้าตาในสังคม

บทที่ 253 คุณไม่ได้มีหน้าตาในสังคม

จางฉีโม่สีหน้าไม่ค่อยดี ดูด้วยความโมโห “หัวหน้าสมาคมจู ปัดเรื่องอื่นออกไม่คุย ครั้งนี้ที่ฉันมาร่วมงานแสดงเครื่องประดับตี้จิง ความสัมพันธ์ทุกด้าน ค่าใช้จ่ายเงินทอง ไม่เคยน้อย? คุณไม่ได้รับเงินสองล้านของฉันเหรอ? นี่หมายถึงคุณช่วยฉันเหรอ?”

เธอฟังคำพูดของจูฟางแล้ว คำพูดที่ไม่น่าฟัง ความรู้สึกโมโหก็ขึ้นมาทันที กลับพูดว่าตัวเองไปขอร้องเธอถึงได้เขามาในงาน?

ตอนหน้านี้ที่เมืองตุงไห่ ได้ตกลงเรื่องนี้กับจูฟางเรียบร้อยแล้ว ได้โอนเงินสองล้านเข้าบัญชีจูฟางแล้ว เซ็นสัญญาเรียบร้อย นี่เป็นการทำธุรกิจปกติ

ตัวเองออกเงิน จูฟางรับเงิน และนี่ ใครกันแน่ที่พึ่งอีกฝั่ง?

“เหอะๆ ปากดีนะ?” จูฟางหัวเราะและพูดเย็นชา ไม่พอใจพฤติกรรมของจางฉีโม่ คนที่มีบริษัทเครื่องประดับเล็กๆแบบนี้ อยู่ต่อหน้าเธอต้องเชื่อฟังถึงจะถูก

“เธอคงไม่คิดว่าสามีไร้น้ำยาของเธอ เป็นสุนัขรับใช้ให้คนอื่น แค่รู้จักผู้จัดการใหญ่ถังคนเดียว นึกว่าเก่งมากเหรอ?”

“ฉันจะบอกเธอนะ ในด้านธุรกิจเครื่องประดับ เธอยังอีกไกล เธออยากหากินที่เมืองตุงไห่ ฉันไม่พยักหน้า เธอไม่มีวันได้เค้กก้อนนี้ไปกินแน่” จูฟางพูดอย่างอวดดี “อีกอย่าง เธอมาร่วมงานแสดงเครื่องประดับนี้จะมีประโยชน์อะไร? สวีเหอแค่พูดคำเดียว ก็สามารถทำให้ธุรกิจของพวกเธอทำต่อไปไม่ได้ มาสูญเปล่าไม่ว่า ไม่แน่ บริษัทเธออาจถูกวงการเครื่องประดับดึงเข้าบัญชีดำก็ได้”

สวีเหออยู่ตรงหน้า จูฟางตั้งใจจะประจบคุณชายสวีคนนี้ โจมตีเยาะเย้ยจางฉีโม่กับหลินอิ่งอย่างไม่ไว้หน้า

“พี่จู พี่ไปแจ้งคนของผู้จัดงานหน่อย ไปทักทาย บอกว่าผมเป็นคนสั่ง ยกเลิกสิทธิ์การเข้างานของจางฉีโม่ อีกอย่าง ดึงบริษัทเครื่องประดับของเขาเข้าบัญชีดำ วงการเครื่องประดับตี้จิงไม่อนุญาตให้บริษัทเข้ามาทำธุรกิจที่นี่” สวีเหอพูดอย่างได้ใจ

“ได้ค่ะ คุณชายสวี ฉันไปติดต่อเดี๋ยวนี้ค่ะ” จูฟางยิ้มตอบ

จางฉีโม่หน้าดำเคร่งเครียด พูดว่า “พวกคุณอย่าดูถูกคนเกินไป”

“ดูถูก? เหอะๆ” สวีเหอหัวเราะ “ไม่ใช่ผมดูถูกรังเกียจพวกคุณ แต่พวกคุณอวดดีเอง นึกว่าตัวเองเป็นใคร จางฉีโม่ เมื่อวานผมให้โอกาสคุณแล้ว อยากช่วยคุณ แต่พวกคุณไม่รับไว้เอง นึกว่าประจบถังฮุยคนเดียวก็ทำอะไรตามใจได้เหรอ?”

หลินอิ่งรู้จักถังฮุยแล้วไง? ถังฮุยจะช่วยเขาได้ทุกอย่างหรือไง? นั่นเป็นแค่ผู้มีอำนาจเขตจงเทียน แต่ที่นี่คือเขตเหยียนหวง อีกอย่างนี่เป็นเรื่องธุรกิจเครื่องประดับ เรื่องนี้ ถังฮุยไม่ได้มีอำนาจและผลกระทบในด้านนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลินอิ่งคงเป็นเพียงสุนัขรับใช้คนเดียวเท่านั้น

ไม่นาน ชายในชุดสูทก็เดินมา แขวนป้ายสีแดงพนักงานดูผู้เข้างาน เดินมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“คุณชายสวี สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรครับ?” พนักงานทักทายสวีเหออย่างมารยาท

“คือแบบนี้ คุณไปจัดพนักงานรักษาความปลอดภัยมา เชิญสองคนนี้ออกไปจากงาน แล้วก็ยกเลิกสิทธิ์การเข้างานของพวกเขา” สวีเหอพูดอย่างใจเย็น

“ได้ครับ คุณชายสวี” ชายชุดสูทพยักหน้าอย่างเคารพ จากนั้นก็มองจางฉีโม่กับจางฉีโม่อย่างไม่เป็นมิตร

“ทั้งสอง ออกจากอาคารเหยียนหวงเดี๋ยวนี้ พวกคุณไม่มีสิทธิ์อยู่ในงาน” ชายชุดสูทพูดอย่างเด็ดขาด

“ไม่ใช่ มีสิทธิ์อะไร?” จางฉีโม่พูดอย่างโมโห รู้สึกคนพวกนี้รังแกคนเกินไป

“พวกคุณเจียมตัวหน่อย อย่าให้ผมไปเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะเหมือนหมาเร่ร่อน ออกไปอย่างโทรมซาน” ชายชุดสูทพูดอย่างไม่เกรงใจ

สวีเหอ คุณชายสวีเป็นถึงรองประธานบริษัทเครื่องประดับสวีซื่อ อำนาจในวงการเครื่องประดับไม่พูดก็รู้ ส่วนสองคนตรงหน้า ไปถามมาแล้ว เป็นแค่คนบ้านนอกมาจากต่างจังหวัดเท่านั้น เขาก็ต้องประจบสวีเหออย่างไม่ต้องลังเล “ไล่ไอ้บ้านนอกสองคนนี้ออกไป”

“เหอะ ถูกต้อง ยังหน้าด้านอยู่ต่ออีก เดี๋ยวพวกแกจะถูกไล่ออกไปอย่างหมาเร่ร่อน” สวีเหอพูดด้วยสีหน้าได้ใจ ดีใจกับสถานการณ์ตอนนี้มาก

หลินอิ่งมองสวีเหอสีหน้าเย็นชา แล้วมองชายชุดสูท จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชา

“คุณหลิน สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วย ผมติดธุระ เลยมาช้า”

เวลาเดียวกัน ก็มีเสียงแหบคนหนึ่งดังขึ้น

ชายสูงอายุประมาณอายุ50ปี ในชุดจีนสีเหลือง เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ข้างกายมีพนักงานชุดสูทสองคน

“คุณหลิน ผมชื่อหลิวเป่า ฮาฮา ได้ยินประธานหยูพูดแล้วว่าคุณจะมา วางใจได้ เรื่องนี้ผมจัดการเอง” หลิวเป่าหัวเราะฮาฮา ทักทายอย่างเกรงใจ

“อย่างนี้ต้องรบกวนคุณหลิวแล้ว” หลินอิ่งพยักหน้าพูด

“ฮา ไม่ต้องเกรงใจ ผมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับประธานหยู เรื่องเล็กครับ” หลิวเป่าพูดอย่างเกรงใจ

ถึงแม้เขาจะไม่รู้สถานะของหลินอิ่ง แต่มันไม่สำคัญ

เพราะเช้านี้ ผู้ใหญ่มีอำนาจในตี้จิง หยูจื๋อเฉิงโทรมาด้วยตัวเอง ทักทายเขาอย่างจริงจัง ให้เขาต้อนรับเพื่อนของเขาอย่างดี หลินอิ่งและภรรยา ช่วยเหลือสองคนนี้ขยายธุรกิจเครื่องประดับในตี้จิง

สำหรับหยูจื๋อเฉิงแล้ว เขาไม่กล้าปฏิเสธ

นี่เป็นแค่การช่วยเหลือเล็กน้อย สามารถช่วยคนใหญ่โตอย่างหยูจื๋อเฉิง ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

“หัวหน้าสมาคมหลิว ท่าน ท่านมาได้ยังไง” พนักงานที่ต่อว่าหลินอิ่งพูดด้วยเหงื่อท่วมหัว เห็นหัวหน้าใหญ่ของตัวเองทักทายหลินอิ่งยิ้มแย้ม ในใจรู้สึกหวาดกลัว เมื่อกี้ยังไปเยาะเย้ยหลินอิ่ง? ทีนี้เรื่องใหญ่แล้ว

“ฉันมาได้ยังไง?” หลิวเป่าหัวเราะเย็นชา มองไปสายตาเย็นชา “ฉันไม่มา ยังไม่รู้ว่านายกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ คุณหลินกับคุณนายหลินเป็นแขกที่ฉันเชิญมา แกกล้าไล่พวกเขาออกไป ใครให้สิทธิ์แก?”

“ผม ผม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม…..” พนักงานเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก พูดจาอ้ำๆอึ้งๆ

“นี่ คือ อาจารย์หลิว”

“ไอ้ไร้น้ำยานี้รู้จักอาจารย์หลิวได้ยังไง?”

หลิวเป่าออกมา พวกจูฟาง ต่างก็สีหน้าตกใจ คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งจะรู้จักคนใหญ่คนโตในวงการเครื่องประดับตี้จิงอย่างหลิวเป่า”

ต้องรู้ว่า หลิวเป่าเป็นหัวหน้าสมาคมเครื่องประดับตี้จิง ยังเป็นผู้รับผิดชอบงานแสดงเครื่องประดับครั้งนี้ด้วย เป็นคนที่สโมสรและบริษัทต่างๆในวงการเครื่องประดับเลือกมา เห็นได้ว่าคนคนนี้มีอำนาจใหญ่โตขนาดไหนในวงการเครื่องประดับตี้จิง

หลิวเป่ายังมีบริษัทเครื่องประดับในตลาดหลักทรัพย์ ฐานะอำนาจเงินทองไม่ธรรมดา ในแวดวงสมาคมผู้มีฐานะในตี้จิง เป็นคนไม่ธรรมดาคนหนึ่ง

“อาจารย์หลิว สวัสดีครับ ผมชื่อสวีเหอ เรื่องนี้ผมเป็นคนจัดการเอง” สวีเหอพูด “อาจารย์หลิว หลินอิ่งคนนี้เคยมีเรื่องกับผม อีกอย่าง ไม่หวังว่าพวกเขาจะทำธุรกิจเครื่องประดับในตี้จิง ท่านไว้หน้าผมได้ไหม? อย่ายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้?”

หลิวเป่ามองสวีเหอ พูดอย่างเชื่องช้า “สวีเหอ ผมรู้จักคุณ”

“ฮา อาจารย์หลิวรู้จักผมเหรอ ดีเลยครับ ผมเป็นรองประธานบริษัทเครื่องประดับสวีซื่อ” สวีเหอพูดอย่างยิ้มแย้ม “ผมเชื่อว่าท่านรู้ว่าควรจัดการยังไง”

“คุณไม่อยากให้คุณหลินกับภรรยาทำธุรกิจเครื่องประดับที่ตี้จิง คุณคิดว่าคุณเป็นตัวอะไร?” หลิวเป่ายิ้มอย่างเยาะเย้ย พูดว่า “สวีเหอ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โตอะไรในวงการเครื่องประดับ ต่อหน้าผม คุณไม่ใช่อะไรเลย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท