ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 255 ถังฮุยสิบคนก็ช่วยอะไรไม่ได้

บทที่ 255 ถังฮุยสิบคนก็ช่วยอะไรไม่ได้

บทที่ 255 ถังฮุยสิบคนก็ช่วยอะไรไม่ได้

“ทำสุดความสามารถ เหอะ ยังถือว่ารู้เรื่อง” คุณชายสวีหัวเราะเย็นชา ท่าทางยโสโอหัง

เขากวาดสายตามอง มองหลินอิ่งกับจางฉีโม่อย่างละเอียด จากนั้นสายตาก็จ้องบนตัวจางฉีโม่ ด้วยสายตาเจ้าชู้ สีหน้าเลวร้าย เหมือนมีความคิดชั่วร้าย

“ไม่เลว สวีเหอ เรื่องที่พูดก่อนหน้านี้ พี่ช่วยนายจัดการเอง” คุณชายสวีตบไหล่สวีเหอ พูดตาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ซงช่วยออกหน้าด้วย” สวีเหอท่าทางได้ใจ ยิ้มหน้าบาน

“ไม่ว่ายังไง นายสวีเหอก็เป็นคนของตระกูลสวี ตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ มีคนกล้าหักหน้านายในพื้นที่ของตี้จิง แบบนี้ฉันก็ต้องออกหน้าอยู่แล้ว” คุณชายสวีพูดเหมือนมีเหตุมีผล มองหลิวเป่ากับหลินอิ่งสายตาเย็นชา

“ว้าว ที่แท้ก็คุณชายสวีนั่นเอง คิดไม่ถึงว่าคุณชายสวีก็มาร่วมงานเครื่องประดับครั้งนี้ด้วย”

“ดีมากเลย ขนาดคุณชายสวียังมา ชื่อเสียงเขาใครๆก็รู้”

จากที่คุณชายพาบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งเข้ามาในงาน ก็ทำให้ภายในงานครึกครื้นทันที แขกที่มาร่วมงานหลายคนก็เข้ามาดู พูดคุยซุบซิบกันขึ้นมา

หลิวเป่าสีหน้าหวาดกลัว รู้สึกว่าเรื่องไม่ค่อยดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าช่วยหยูจื๋อเฉิงเรื่องแค่นี้ กระชับความสัมพันธ์เท่านั้น กลับไปมีเรื่องกับคุณชายตี้จิงคนนี้ได้ คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว

คุณชายสวีตรงหน้านี้ เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลสวี เป็นหลายชายสุดรักของนายท่านตระกูลสวี ผู้สืบทอดคนหนึ่งของตระกูลสวี ไม่ใช่ลูกหลานห่างๆอย่างสวีเหอจะเทียบได้

สวีชิงซง มีอำนาจพอสมควร ในแวดวงมหาเศรษฐีแห่งตี้จิงถูกเรียกว่าคุณชายหนึ่งในสี่แห่งตี้จิง อำนาจใหญ่โตแบบคาดไม่ถึง อยู่ในเขตเหยียนหวงแห่งตี้จิงแล้วเดินไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง

ต้องรู้ว่า ครอบครัวนักธุรกิจในตี้จิง และห้าตระกูลมหาเศรษฐีประเทศหลุง ลูกหลานมากมาย มหาเศรษฐีรุ่นสอง และสวีชิงซงถูกเรียกว่าคุณชายทั้งสี่แห่งตี้จิง มีอำนาจมากแค่ไหน

“คุณชายสวี ผมทำงานตามหลักการทั้งนั้น หากมีตรงไหนทำให้ไม่พอใจ ต้องขออภัยด้วย” หลิวเป่าก้มหัวขอโทษ ท่าทางอ่อนน้อมเคารพ

สวีชิงซงท่าทางโอหัง ดูน่าเกรงขาม คุณชายคนนี้โมโหขึ้นมา มีไม่กี่คนที่จะรับไหว

ถึงแม้ว่าเขาหลิวเป่าจะเป็นคนมีอำนาจในวงการเครื่องประดับแห่งตี้จิง แต่ต่อหน้าสวีชิงซงแล้ว กลับไม่ใช่อะไรเลย มันห่างกันไกลมาก

“ทำตามหลักการ?” สวีชิงซงมองไปที่หลิวเป่า พูดด้วยสีหน้าเฉื่อยชา “คุณทำตามหลักการ ก็คือให้น้องชายผมขายหน้าต่อหน้าผู้คน?”

“ไม่ คุณชายสวี ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หลิวเป่าพูดอย่างหวาดกลัว

เพี๊ยะ

เพิ่งพูดจบ สวีชิงซงก็ตบเข้าที่หน้าของหลิวเป่า ฝ่ามือเดียวตบจนหน้าเขาแดงก่ำ

หลิวเป่าโมโหแต่ไม่กล้าออกเสียง ทำได้เพียงก้มหน้า เขาตบหน้าตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมาย ในงานที่เขาเป็นคนจัดขึ้นเอง แม้แต่สีหน้าแสดงอาการโกรธยังไม่กล้า

“ไอ้แก่อย่างแกยังกล้ามาวางมาด?” สวีชิงซงพูดอย่างยโสโอหัง แล้วตบไปที่หน้าหลิวเป่าอีกสองครั้ง “ฉันตบหน้าแก แกมีอะไรไม่พอใจไหม?”

“ผม……” หลิวเป่าสีหน้าขมขื่น กัดฟันพูด “คุณชายสวี ผมพอใจ คุณทำถูกแล้ว”

ชื่อเสียงสวีชิงซงด้านลบโด่งดังในตี้จิง เป็นคนเหมือนไวรัส ยโสโอหังอวดดี ทำอะไรตามใจ

พอไม่พอใจใครก็จะทำร้ายร่างกายคนเพื่อระบายอารมณ์ ทำจนครอบครัวคนอื่นหายนะ พอเห็นผู้หญิงที่ถูกใจก็จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อได้มา ผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้วก็ถูกเขาทำลายจนครอบครัวแตกแยก โดดตึกฆ่าตัวตายก็มากมาย ในแวดวงผู้ดีตี้จิงไม่ใช่ความลับอะไร

ทำเรื่องเลวร้ายมากมายขนาดนี้ แต่เขาสวีชิงซงก็ยังใช้ชีวิตสนุกเสเพลไปวันๆ คนชั่วแบบนี้ มีใครกล้าไปมีเรื่องด้วย?

“พอใจก็ดี” สวีชิงซงพูดอย่างใจเย็น “ได้ยินว่าแกยังจะช่วยใครอะไรนั่น หลินอิ่งกับจางฉีโม่ทำธุรกิจเครื่องประดับที่ตี้จิง แกช่างมีความสามารถนะ? ตอนนี้ฉันไม่อนุญาต แกว่าไง?”

“ผม……” หลิวเป่าสีหน้าหนักใจ ทางด้านหลินอิ่งก็เป็นเพื่อนของหยูจื๋อเฉิง ถึงแม้ว่าหยูจื๋อเฉิงก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่ว่าสวีชิงซงคนอยู่ตรงหน้า ยิ่งไม่กล้าขัดใจ

“คุณชายสวี ทำตามที่คุณพูด ผมยกเลิกการร่วมงานทุกอย่างกับจางฉีโม่เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ให้พวกเขาทำธุรกิจ เดี๋ยวผมสั่งให้บริษัทเครื่องประดับปิดกั้นธุรกิจของพวกเขาทันที” หลิวเป่าก้มหน้าพูด อยู่ใต้อำนาจเขาเลือกที่จะก้มหัวให้สวีชิงซง

“ฮาฮาฮา” สวีชิงซงหัวเราะได้ใจ “ไอ้แก่อย่างแกยังถือว่ารู้ตัว ไปคุกเข่าทางโน้นไป ฉันให้แกลุกขึ้นเมื่อไหร่ค่อยลุก”

“อาจารย์หลิว นี่มัน การร่วมงานที่เพิ่งคุยกันไปก็เปลี่ยนคำพูด นี่มันเรื่องเด็กเล่นเกินไปไหมคะ?” จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี รู้สึกคุณชายสวีอะไรคนนี้ รังแกคนชัดๆ พฤติกรรมเกินไปแล้ว

“อีกอย่าง พวกเราคุยเรื่องร่วมงานกัน เกี่ยวอะไรกับคุณ? ฉันไม่รู้จักคุณ” จางฉีโม่สีหน้าโมโหหันไปมองสวีชิงซง

“ออ คุณจางฉีโม่ คุณไม่รู้จักผมไม่เป็นไร ตอนนี้รู้จักแล้ว” สวีชิงซงพูดจาสีหน้าหยอกล้อ “ความจริงคุณอยากทำธุรกิจเครื่องประดับที่ตี้จิง ง่ายมาก หาผมก็ได้ แค่คุณเชื่อฟังผม ผมสามารถเปลี่ยนงานเครื่องประดับครั้งนี้เป็นงานแสดงเครื่องประดับเฉพาะคุณ สำหรับผมเป็นใครนั้น คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก สวีชิงซง คุณไปถามที่ไหนก็ได้ในตี้จิง”

“ออ ใช่แล้ว” สวีชิงซงคิดขึ้นมาได้ สายตาก็มองไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา “แกชื่อหลินอิ่งใช่ไหม? ได้ข่าวว่ารู้จักถังฮุยของเขตจงเทียน ก็เลยกล้าอวดดี? ใช่ไหม?”

หลินอิ่งสายตาเรียบเฉย พูดว่า “ใช่หรือไม่ เกี่ยวอะไรกับนาย?”

“โอ้โห กล้ามากนะ กล้ามาตอกปาก ตอกคำ?” สวีชิงซงรู้สึกตลกหัวเราะขึ้นมา แววตาส่อแววชั่วร้าย

ไอ้บ้านนอกที่มาจากไหนไม่รู้ กล้ามาท้าทายเขา? มีตาหามีแววไม่? ไม่เห็นหรือว่าหลิวเป่ายังไปคุกเข่าอย่างเชื่อฟัง? หลินอิ่งคนนี้ยังไม่รีบไปคุกเข่าอีก?

จากคำพูดของหลินอิ่งแล้ว หลิวเป่าที่คุกเข่าอยู่ก็จ้องหลินอิ่งด้วยสีหน้าตกใจ อยากพูดแต่ไม่กล้าพูด อยากบอกให้หลินอิ่งรีบก้มหัว

“โอ้โห คนคนนี้กล้ามีเรื่องกับคุณชายสวี? เขาบ้าไปแล้วใช่ไหม?”

“ในตี้จิงมีใครไม่รู้นิสัยคุณชายสวี? อารมณ์ไม่ดี ไม่พอใจขึ้นมาโดนทำร้ายจนพิการได้ ยังกล้าตอบกลับอีก? รนหาที่ตายชัดๆ”

คนที่มามุงดูต่างก็พูดคุยกันด้วยสีหน้าหวาดกลัว มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเห็นใจ

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว หลินอิ่งคนนี้จบแน่ คืนนี้คงได้เป็นศพลอยอยู่บนแม่น้ำตี้แน่นอน

มีใครไม่รู้จักนิสัยโมโหร้ายของคุณชายสวีบ้าง? คนที่กล้ามีเรื่องกับเขาเท่าที่รู้ก็ตายหมดแล้ว คนคนนี้มีอะไรไม่พอใจก็ต้องแก้แค้น เพราะเบื้องหลังมีตระกูลสวี ทำอะไรตามใจตัวเองในตี้จิง ผู้คนที่ได้ยินต่างหวาดกลัว

“ต้องสั่งสอนแกดีๆ แล้วฉันขอบอกแก กล้ามีปัญหากับฉัน ถังฮุยสิบคนก็ช่วยอะไรแกไม่ได้”

สวีชิงซงจ้องหลินอิ่งสีหน้าโมโห ยกมือขึ้นก็ตบไปที่หน้าหลินอิ่งอย่างแรง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท