ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 261 จัดงานเลี้ยงหงเหมิน?

บทที่ 261 จัดงานเลี้ยงหงเหมิน?

บทที่ 261 จัดงานเลี้ยงหงเหมิน?

“น้องฮุยสุง คุณยังคงจัดการเรื่องได้ดี เข้าใจดำขาวผิดถูกชัดเจน หลินอิ่งที่อยู่ใต้มือคุณ ก็คือคนโง่เขลาไม่รู้จักที่ตาย ไร้เหตุผลเอาแต่ก่อเรื่องคนหนึ่ง คุณเก็บคนอย่างนี้ไว้ข้างกาย ช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่” เหยียนหลงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ครั้งนี้ เขาเจตนาหาเรื่อง ต่อยหลานชายผมไปทีหนึ่ง ผมเองก็จะไม่สร้างความลำบากใจให้คุณ ผมจะออกหน้าช่วยคุณชำระสะสางเอง!”

พูดจบ เหยียนหลงก็ชี้ไปที่แก้วเหล้าบนโต๊ะ “ชิงซง ดื่มเหล้ากับผู้จัดการใหญ่ถังหน่อย ขอบคุณที่ผู้จัดการใหญ่ถังช่วยเหลือ”

สวีชิงซงมองหลินอิ่งแวบหนึ่งด้วยท่าทางลำพองใจ รีบยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มให้ถังฮุย

หลินอิ่งคิดกับตนเองว่าประจบถังฮุยไปได้ประโยชน์อะไร?

ตนเองใช้เส้นสายตามอำเภอใจ ยังไม่ใช่เพราะต้องการให้ถังฮุยทำตัวซื่อตรง พาหลินอิ่งมาที่นี่เพื่อให้ตนเองโขกสับได้ตามใจชอบ! แค่ต้องการดื่มเหล้าแล้วไปจากที่นี่เท่านั้น!

“เดี๋ยวก่อน ถังฮุยพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม ยกมือปฏิเสธแก้วเหล้าที่สวีชิงซงส่งมาให้ “เหล้าแก้วนี้ ผมไม่ดื่มแล้ว”

“นี่?” สวีชิงซงที่ลุกขึ้นยืนท่าทางแข็งค้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเดือดดาลอย่างหนัก

แม่เจ้า ถังฮุยผู้นี้ไว้หน้าแล้วแต่กลับไม่ต้องการ คิดจะเหยียบหน้าคุณชายรองตระกูลสวีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา อยู่ที่นี่ มารินเหล้าส่งเหล้าให้ เขาถึงกับกล้าปฏิเสธเชียวหรือ?

“เหยียนหลง ที่ผมมาวันนี้ ไม่ใช่เพื่อมอบคนให้คุณ” ถึงฮุยกล่าวเสียงต่ำ

“ฮุยสุง นี่คุณหมายความว่ายังไง?” เหยียนหลงพลันจ้องมองถังฮุย สายตาเปลี่ยนเป็นดุดันราวกับคมมีด

“ไม่ได้มาที่นี่เพื่อมอบคน อย่างนั้นมาทำอะไร? คุณเห็นผมเหยียนหลงเป็นตัวตลกหรือ?” เหยียนหลงกล่าวเสียงเย็น กลิ่นอายเต็มไปด้วยแรงกดดัน

“เห็นคำพูดผมเป็นคำพูดล้อเล่นหรือ?” เหยียนหลงกล่าวเสียงเย็น พ่นควันบุหรี่กลิ่นฉุนออกมาทีหนึ่ง หน้าตาดูชั่วร้าย จ้องหลินอิ่งกับถังฮุยอย่างเอาเป็นเอาตาย

เขารู้สึกว่าตนเองถูกถังฮุยเหยียบหน้า แต่ถังฮุยดูราวกับไม่คิดว่าเขาจะเอาเรื่องจริงๆ จำเป็นต้องลงมือจริงสักหน่อยถึงจะดี

“ที่ผมมาที่นี่ มาเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างคุณหลินกับสวีชิงซง” ถังฮุยกล่าวเนิบช้า “แต่ ทำไมถึงบอกว่าเป็นความผิดของคุณหลิน ต้องการให้คุณหลินได้รับการลงโทษจากพวกคุณ? ทำไมไม่เรียกสวีชิงซงออกมา ให้ผมพาไปลงโทษที่เขตจงเทียนล่ะ?”

เหยียนหลงถึงกับยังกล้าพูดว่าจะจัดการท่านอิ่ง ช่างไม่รู้ว่าฟ้าสูงเพียงใดจริงๆ

ท่านอิ่งเป็นใครกัน? ฉีหยิ่นสองคำนี้อยู่ตี้จิงราวกับเทพนิยายที่กำลังเล่าขานเสียด้วยซ้ำ

“ฮ่าๆๆ” เหยียนหลงหัวเราะด้วยความโกรธจัด แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบหาใดเปรียบ “ฮุยสุง คุณกำลังล้อเล่นกับผมอยู่หรือ? กำลังหาเรื่องผมในถิ่นผมอยู่ใช่ไหม?”

“วันนี้ คุณจะยอมมอบคนก็ดี ไม่ยอมมอบคนก็ช่าง” เหยียนหลงลุกขึ้นอย่างช้าๆ กล่าวอย่างทรงพลังยิ่งว่า “วันนี้คนแซ่หลินจะออกจากเขตเหยียนหวงไปไม่ได้ ฉันเห็นแก่หน้าหยูจื๋อเฉิง จึงให้ทางรอดแก่คุณฮุยสุง คนที่พาคุณมา ไสหัวออกไปจากเขตเหยียนหวง ผมสามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้”

เขารู้สึกว่าฮุยสุงมาหาเรื่อง และไม่รู้ว่าสมองเน่าไปแล้วใช่หรือไม่ อาศัยแค่ฮุยสุง มีความสามารถมาหาเรื่องกับตัวเขา? ยังอยู่ในถิ่นเขาบอกว่าจะลงโทษสวีชิงซง? ฮ่าๆ เห็นทีคนอย่างฮุยสุงกับหยูจื๋อเฉิงที่ตามหลังเรือใหญ่อย่างตระกูลฉี จิตใจช่างโลภมากจริงๆ!

“ยังกล้าบอกให้ฉันมอบตัวหลานชายชิงซงออกมา ช่างน่าขันเหลือเกิน” เหยียนหลงเยาะหยัน

“หากผมยืนกรานจะให้คุณมอบตัวสวีชิงซงออกมา แล้วอย่างไรล่ะ?” หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ

พอได้ยิน เหยียนหลงมองไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา ตวาดว่า” แกนับเป็นตัวอะไรกัน? ตรงนี้มีที่ให้แกพูดด้วยเหรอ?”

“แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าเอะอะโวยวายต่อหน้าฉัน?” เหยียนหลงทำสีหน้าเหยียดหยาม จากนั้นก็มองไปทางถังฮุย “ฉันหมดความอดทนแล้ว ฮุยสุง ไว้หน้าแล้วแต่นายก็ไม่ต้องการ ตอนนี้ นายไสหัวออกไปจากเขตเหยียนหวงซะ ทางด้านหยูจื๋อเฉิงลูกพี่นาย ฉันจะไปทักทายด้วยตัวเอง!”

พูดจบ เหยียนหลงก็ดีดนิ้วด้วยท่าทางมีสง่าราศีเสียเต็มประดา

โครม เวลานี้ ประตูใหญ่แต่ละบานได้ถูกเปิดออกจากทุกทิศทุกทาง ชายในชุดสูทท่าทางเฉยชาพากันบุกเข้ามาทันที บอดี้การ์ดยอดเยี่ยมฝีมือไม่ธรรมดามีประมาณร้อยคน

อีกทั้ง ชุดสูทแต่ละคนต่างเปิดออก มือของพวกเขาทั้งหมดวางอยู่ตรงกระเป๋าข้างของชุดสูท ท่าทางพร้อมชักปืนออกมายิงได้ทุกเมื่อ เหตุการณ์ดูค่อนข้างน่าตกใจ

“นี่……” ถังฮุยเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าเหยียนหลงจะบอกว่าเป็นศัตรูก็เป็นศัตรู ถึงกับเตรียมมือปืนมาที่งานเลี้ยงมากขนาดนี้ พร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ

หลินอิ่งสีหน้าเป็นปกติ มองไปทางเหยียนหลง กล่าวอย่างไม่แส “ทำไม? นี่เป็นงานเลี้ยงหงเหมินเหรอ?”

“แม่แกสิ ไอ้บ้านนอกที่มาจากชนบทลูกเขยที่เกาะเมียกินคนหนึ่ง จนป่านนี้ ยังมาทำเสแสร้งกับฉันอีกเหรอ?” สวีชิงซงสีหน้ามืดครึ้ม ยกมือชี้นิ้วด่าหลินอิ่ง “ฉันกลับนับถือความกล้าของแกนะ ในสถานการณ์แบบนี้ยังแสร้งพูดจาสงบได้อีก แกเชื่อไหม ฉันให้คนจับแกโยนลงแม่น้ำตี้เจียงก่อนที่แกจะได้สติเดี๋ยวนี้เลยก็ได้?”

สวีชิงซงท่าทางราวกับกุมชัยชนะไว้ในกำมือ มองสำรวจหลินอิ่งอย่างเบิกบานใจ

ในใจเขาเริ่มวาดแผนการไว้แล้ว ว่าควรจะเฆี่ยนตีไอ้โง่อย่างหลินอิ่งอย่างไรดี

“พาตัวฮุยสุงออกไปให้ฉัน จากนั้น เอานำไอ้คนแซ่หลินที่ไม่รู้จักที่ตายคนนี้ ไปหักขาทั้งสองข้างก่อนค่อยว่ากัน” เหยียนหลงพูดเสียงเย็น ออกคำสั่งกับลูกน้องที่บุกเข้ามาในห้องอาหาร

โครม พวกเขาล้อมเข้ามาจากสี่ทิศแปดทาง ในเวลาอันรวดเร็ว

“เหยียนหลง นี่คุณคิดจะทำอะไร คิดจะไม่สนกฎเกณฑ์เลยหรือ? ผมจะบอกคุณให้นะ คุณหลินเป็นเพื่อนคนสำคัญของลูกพี่หยู! คุณรับความโกรธของลูกพี่หยูไหวเหรอ?” ถังฮุยลุกขึ้นยืน พูดเสียงเย็น หน้าผากเองก็มีเหงื่อผุดออกมาเช่นกัน

หาวันนี้ท่านอิ่งเป็นอะไรไปอยู่ที่เขตเหยียนหวง ความผิดของเขาก็ใหญ่หลวงนัก ตายหมื่นครั้งก็ยังไม่สาสม!

“ฮ่าๆ ลูกพี่หยู?” เหยียนหลงเยาะหยัน แววตาเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย “ตอนที่ฉันเหยียนหลงตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในเส้นทางสายนักเลง หยูจื๋อเฉิงยังเป็นแค่เด็กในแก๊งคนหนึ่งในเขตจงเทียน ตอนนี้โชคดีได้ปะปนอยู่กับเสาหลักใหญ่ ก็กล้าคิดว่าฉันจะไม่เอาเรื่องแล้วเหรอ?”

พูดจบ เหยียนหลงก็โบกมือหนา กล่าวว่า “ลงมือ!”

ถ้อยคำเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาทันที เป้าหมายทั้งหมดอยู่ที่หลินอิ่ง ยื่นมือต้องการคว้าตัวเขาให้ได้

หลินอิ่งหน้าไม่เปลี่ยนสี ยกชาที่ข้างโต๊ะขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง นั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ไม่แยแสลูกสมุนแต่ละคนที่บุกเข้ามาโดยสิ้นเชิง

พลั่ก!

ฮาเดสที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินอิ่ง พลันหมุนกายหนาทีหนึ่ง สะบัดมือเป็นสองหมัดเผชิญหน้ากับการปะทะ ล้มบอดี้การ์ดสองคนที่พุ่งเข้ามาคว่ำลงไปที่พื้น หัวแตกเลือดไหลนอง

จากนั้น ฮาเดสก็วาดเท้าต่อเนื่องกันอย่างว่องไว ทั้งรุนแรงและรวดเร็ว เกิดเสียงขาหักกระดูกแตกดังตามมา ทำเอาบอดี้การ์ดกลุ่มนี้ล้มลงอย่างรวดเร็ว

“อ๊ากก!”

“เจ็บมาก!”

ไม่ถึงหนึ่งนาที พวกบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาคิดจะจับตัวหลินอิ่ง ก็ถูกฮาเดสตีจนล้มคว่ำลงไปนอนกับพื้นเกลื่อนกลาด ร้องโอดโอย แต่ละคนหัวแตกเลือดไหลอาบ ร่างกายไร้เรี่ยวแรง

“สารเลว ยังกล้าลงมืออีก?” สวีชิงซงมองหลินอิ่งอย่างเยาะหยัน “แกมันไอ้สวะ คิดว่ามีบอดี้การ์ดที่สู้อยู่ข้างกายแก แล้วจะทำตัวลำพองใจได้จริงๆ น่ะหรือ?”

“ยิง ยิงบอดี้การ์ดที่ไม่รู้จักที่ตายคนนี้ให้พิการให้ฉัน” เหยียนหลงพูดอย่างโหดเหี้ยม ไม่ได้ถูกฝีมืออันแข็งแกร่งของอาเดสทำให้ตกใจกลัว

เพียงพริบตาเดียวนี้ ปืนสิบกว่ากระบอกก็เล็งมาที่ฮาเดสพร้อมกั

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท