ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่91 นำอาวุธออกมา

บทที่91 นำอาวุธออกมา

บทที่91 นำอาวุธออกมา

ชุมชนสุ่ยหยวน หน้าบ้านของหลินอิ่ง

สองสามีภรรยาจางซิ่วเฟิงกำลังเจรจากับชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่ด้านล่าง

หวางจื่อเหวินสวมสูทสีแดงไวน์แสดงถึงความมั่นใจ ในมือถือช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินสวยสด

“คุณลุงคุณป้า ดูเอาเถอะ แค่ให้ฉีโม่ออกมาพบปะกันสักหน่อย เย็นนี้ผมก็จะเลี้ยงข้าวเธอ” หวางจื่อเหวินพูดยิ้มๆ

“นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆของคุณลุงคุณป้า”

พูดๆอยู่ หวางจื่อเหวินก็ยื่นกล่องของขวัญสองกล่องให้กับมือของลู่หย่าฮุ่ยกับสามี

ลู่หย่าฮุ่ยเปิดกล่องของขวัญออกเบามือก่อนจะปรายตามองเล็กน้อย ทันใดนั้นหัวใจก็พองโต ดวงตาเบิกกว้างในเสี้ยววินาที

ในกล่องนี้เต็มไปด้วยธนบัตรสีเทาหนาเป็นตั้งๆ อย่างต่ำๆก็ต้องมีสักล้านนึงได้!

ลู่หย่าฮุ่ยระริกระรี้อยู่ในใจ สมกับเป็นคุณชายใหญ่จากตระกูลหวาง อยู่เป็นอะไรขนาดนี้ เปย์ทีนึงก็อลังการซะขนาดนี้ ขนาดยังไม่ได้คบกับฉีโม่ก็ยอมลงทุนใหญ่ขนาดนี้ ดีกว่าอีตาหลินอิ่งไร้ประโยชน์นั่นตั้งไม่รู้เท่าไหร่!

“ตายแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ก็ได้ค่ะคุณชายหวาง เดี๋ยวป้าจะเรียกฉีโม่ลงมาเดี๋ยวนี้เลย ให้หนุ่มๆสาวๆเขาได้พูดคุย กินข้าวกัน หรือจะเดินซ็อปปิ้ง ดูหนังก็ว่ากันไป” ลู่หย่าฮุ่ยพูดพร้อมกับยิ้มตาหยี

“คุณชายหวางอย่าถือโทษไปเลย ฉีโม่เด็กคนนี้ ก็เขินนั่นแหละ ถึงได้นอนดูทีวีอยู่บ้าน” จางซิ่วเฟิงพูดยิ้มๆ ราวกับรู้สึกประทับใจต่อหวางจื่อเหวินเป็นอย่างมาก

“ใช่แล้วคุณชายหวาง ความคิดของผู้หญิงก็แบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าอยากจะหลบหน้าคุณชายหรอกค่ะ อย่าถือสาแกเลย ส่วนของแพงๆพวกนี้ เดี๋ยวป้าจะคุยกับฉีโม่แกให้ก็แล้วกันนะคะ!” ลู่หย่าฮุ่ยเองก็พูดไปยิ้มไป กลัวว่าคุณชายหวางจะขุ่นเคืองเรื่องนี้

มาคิดดูเจ้าลูกสาวตัวดีนี่ก็จริงๆเลย แค่ได้ยินว่าหวางจื่อเหวินมา ก็หลบอยู่ในบ้านเป็นตายก็ไม่ยอมออกมาเจอหน้า ไหนจะของกำนัลแบรนด์เนมที่หวางจื่อเหวินเอามาให้ครั้งก่อนพวกนี้อีก ก็โยนทิ้งไว้ตรงข้างล่างเนี่ย ไม่เข้าใจจริงๆว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่!

ขนาดไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งยังกล้านอกใจแบบเปิดเผย แถมเกาะผู้หญิงกินหน้าด้านๆ

ลูกสาวของพวกเขาที่เพียบพร้อมไปทุกด้านอย่างฉีโม่ ทำไมจะไม่มีสิทธิวิ่งหาความสุขให้ตัวเองบ้าง?

“ไม่เป็นไรครับคุณลุงคุณป้า ผมเข้าใจดี” หวางจื่อเหวินทำท่าอย่างคนจิตใจดีพร้อมกับพูดยิ้มๆ

“เอาล่ะ ซิ่วเฟิงคุณเองก็ไม่ต้องโทรแล้ว ขึ้นไปเรียกฉีโม่ลงมาสิ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ให้ลูกเราไปกินข้าวดีๆสักมื้อเป็นเพื่อนคุณชายหวางอุตส่าห์ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้มา ควรจะเลี้ยงข้าวสักมื้อเป็นการแสดงความขอบคุณ ไม่ใช่มาโยนของขวัญทิ้งๆขว้างๆแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”

“ได้” จางซิ่วเฟิงหมุนตัวเตรียมจะขึ้นข้างบน

หวางจื่อเหวินเผยรอยยิ้มขึ้นบนมุมปาก พ่อแม่ของจางฉีโม่นี่จัดการง่ายชะมัด

แค่ใช้เงินนิดหน่อยก็ทำให้พวกเขามาอยู่ฝั่งเดียวกับตัวเองได้ ไหนจะช่วยสร้างโอกาสกับสถานการณ์ให้อีก

ใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานจางฉีโม่ก็ต้องตกมาอยู่ในมือเขาจนได้

ไอ้สวะหลินอิ่งนั้น มันทำเขาขายหน้าตอนอยู่ที่หมิงเป่าซวน ไหนจะกล้าใช้อำนาจของหวางหงหลิงมาเหยียบย่ำเขาอีก

แค่คิด แววตาของหวางจื่อเหวินก็ปรากฏความแค้นออกมา จะต้องจัดการกับเมียของไอ้้วะนั่นให้ได้ แล้วค่อยชำระบัญชีกัน ทำให้หลินอิ่งมันเห็นว่าเมียของมัน ที่ตัวมันเองไม่มีปัญญาจะแตะต้อง แต่เขาจะย่ำยีจะเล่นๆขว้างๆยังไงก็ได้

มีแค่วิธีนี้ที่จะล้างความอัปยศของเขาได้!

“อย่าไปเรียกฉีโม่เลยครับ”

ทันใดนั้น เสียงเย็นเฉียบก็ลอยเข้ามา

หลินอิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาปรายหางตามองหวางจื่อเหวิน

“หลินอิ่ง?” ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยความสงสัย “นายมาได้ยังไง?”

หวางจื่อเหวินหันศีรษะกลับไปในทันที ชายหนุ่มจ้องหลินอิ่งตาเขม็ง ความโกรธแค้นผุดขึ้นมาทันที

“ไอ้้สวะนี่ยังกล้าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีกหรอ?” หวางจื่อเหวินโมโหขีดสุด อยากจะเข้าไปจบบ้องหูหลินอิ่งสักที

แต่ไม่นาน เขาเห็นสายตาเย็นชาของหลินอิ่ง จึงถอยกลับมาสองสามเก้าอย่างไม่ตั้งตัว

ลึกๆแล้วหวางจื่อเหวินไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับหลินอิ่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าหลินอิ่งเคยฝึกวิทยายุทธ์ ถ้าสู้กันตัวต่อตัวแน่นอนว่าเขาสู้ไม่ได้ จึงทำเพียงกลั้นโทสะ ไม่กล้าเดินเข้าไปลงไม้ลงมือ

“หลินอิ่ง แกมาที่นี่คิดจะทำอะไร?” หวางจื่อเหวินใช้เสียงเย็นพูดขึ้นมาอีกครั้ง “คิดจะมาสร้างความวุ่นวาย? หวังจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฉีโม่งั้นสิ?”

“ก่อนหน้านี้มีครั้งไหนไหมที่ไม่ใช่เพราะได้หวางหงหลิงคอยถือหางแก? ตอนนี้กล้าจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉัน” สีหน้าของหวางจื่อเหวินไม่แยแส เขาพูดพร้อมกับแสยะยิ้ม

“ถ้าแกหัดสำเหนียกตัวสักหน่อย หลบอยู่หลังกระโปรงผู้หญิงเหมือนพวกขี้ขลาดตาขาว ดูท่าทางฉันคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นแหงๆ” สีหน้าของหวางจื่อเหวินค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน แฝงไปด้วยความเสียดสีเยาะเย้ย “กล้าโผล่หน้าออกมา หาที่ตายแท้!”

ลู่หย่าฮุ่ยมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าไม่ยี่ระ ในใจลอบยิ้ม

หลินฮุ่ยไอ้หมอนี่มันไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ หลงคิดว่าตัวเองมีคุณหนูแห่งตระกูลหวางมาติดพันแล้วตัวเองจะทำอะไรก็ได้ ถึงได้เป็นฝ่ายท้าทายหวางจื่อเหวินวอนเจ็บตัวถึงขนาดนี้

หวางหงหลิงไม่ได้อยู่ข้างกายไม่ได้มาออกหน้าช่วย หมอนี่จะต่างอะไรกับคนแขนขาด้วน? ยังมาทำอวดดี

ดีเหมือนกัน ครั้งนี้ให้หวางจื่อเหวินสั่งสอนมันสักที จะได้รู้ว่าสถานะของตัวเองมันเป็นยังไง จากนั้นก็กลับมาแทบเท้าฉีโม่ ถึงเวลานั้นค่อยหาวิธีลดทอนคุณค่าของมันที่มีต่อคุณหนูตระกูลหวางซะ

“หลินอิ่ง เอาแบบนี้เถอะ ในฐานะที่แกยังเป็นลูกเขยของตระกูลเรา ฉันจะช่วยขอร้องคุณชายหวางให้ ก่อนที่มันจะไปกันใหญ่” ลู่หย่าฮุ่ยว่า “คุณชายหวาง ที่ผ่านมาหลินอิ่งทำผิดกับคุณมามาก คุณชายอยากจะให้ขอโทษหรือมอบกระเช้าก็แล้วแต่เลย เราสองคนถือวิสาสะตัดสินใจแทนหลินอิ่ง ให้เขาทำตามที่คุณชายว่าทุกอย่าง!”

หวางจื่อเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย จะทำตามที่เขาว่างั้นหรอ งั้นวันนี้เห็นทีต้องตัดมือทั้งสองข้างออกมา จากนั้นก็ให้ไอ้หมอนี่คุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้าน เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน

แต่ว่า ขนาดพ่อแม่ของจางฉีโม่เองก็เอ่ยปากมาแล้ว เห็นทีชักจะสนุกแล้วสิ ถ้าให้หลินอิ่งต้องขายหน้าต่อหน้าพ่อตาแม่ยาย ก็นับว่าไม่เลว

ยังไงซะเมื่อถึงเวลานั้น เขายังจะไล่หรือไม่ไล่บี้หลินอิ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเขาไม่ใช่หรอ?

“แฮ่มๆ คุณลุงคุณป้าครับ ผมเป็นคนทำอะไรใช้เหตุใช้ผล ในเมื่อพวกคุณเอ่ยปากมาซะขนาดนี้ ผมจะปล่อยผ่านให้ก็ได้” หวางจื่อเหวินเริ่มได้ใจ เขาทำท่าประหนึ่งคนที่ถือไพ่เหนือกว่าแล้วพูดต่อ “เอาแบบนี้แล้วกันครับคุณลุงคุณป้า ให้หลินอิ่งโค้งคำนับผม แล้วพูดคำว่าขอโทษติดกันสามครั้ง ที่สำคัญต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นแค่ไอ้้ขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถ ส่วนเรื่องที่ผ่านมาผมจะให้มันแล้วๆกันไป!”

“ดูซิ คุณชายหวางเขามีเหตุมีผลขนาดไหน แกยังมีหน้าจะหาเรื่องทำร้ายร่างกายเขาอีก?” ลู่หย่าฮุ่ยทำเสียงจิ๊จ๊ะ “หลินอิ่ง ครั้งนี้ถือว่าฉันช่วยแกสุดๆแล้วนะ? เร็วเข้า รีบโค้งตัวขอโทษซะ”

“ยังยืนบื้อทำไมอีก? กะอีแค่ยอมรับว่าตัวเองเป็นไอ้้ขี้ขลาดตาขาวมันยากมากหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

ไอ้หมอนี่มันยังทำท่าเหมือนกลัวเสียหน้าอีกหรอ? คนเขารู้กันทั่วว่ามันเกาะผู้หญิงกิน แถมเกาะผู้หญิงตั้งสองตระกูล

หลินอิ่งแค่นหัวเราะ เขาไม่แม้แต่จะเสียน้ำลายพูดกับลู่หย่าฮุ่ยแม้แต่นิดเดียว

“บอร์ดี้การ์ดของคุณชายหวางอยู่ตรงนั้น ถ้าแกไม่ทำตาม อีกเดี๋ยวตอนจบหน้าแกจะไม่เหลือแม้แต่นิ้วเดียว! ฉันหวังดีกับแกหรอกนะรู้ไหม?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเสียงเย็นชา

หลินอิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หวังดีกับเขา?

“ฉันจะให้โอกาสแค่หนึ่งนาที หลินอิ่ง ถ้าไม่เห็นแก่หน้าคุณลุงคุณป้า ฉันจะเรียกบอร์ดี้การ์ดเข้ามาตอนนี้แล้วเล่นจนแกต้องลงไปนั่งคุกเข่าให้ฉัน เข้าใจหรือยัง?” หวางจื่อเหวินพูดอย่างคนได้ใจสุดๆ

“ก็ลองเรียกบอร์ดี้การ์ดแกเข้ามาดูสิ” หลินอิ่งหันไปมองหวางจื่อเหวิน แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าท้าทาย

หวางจื่อเหวินจ้องหลินอิ่ง ไอ้สวะนี่ท่าทางมันจะตัวพองใหญ่แล้ว รอบนี้หวางหงหลิงไม่ได้อยู่ด้วย มันยังมีอะไรมาอวดดีอีก?

“ไปเอาเด็กๆบนรถมา!” หวางจื่อเหวินแสยะยิ้ม เขากดโทรออกด้วยความโอหัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท