ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 275 ความในใจของนิ่งจองเป่า

บทที่ 275 ความในใจของนิ่งจองเป่า

บทที่ 275 ความในใจของนิ่งจองเป่า

ภายใต้น้ำเสียงที่สงบนิ่งของหลินอิ่ง เจือไอสังหารที่คุกคามคนราวกับพลังขุนเขาที่จะล้มครืนลงและมหาสมุทรที่กำลังไหลทะลัก

มากพอที่จะทำให้คนที่เคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่โตนับไม่ถ้วนอย่างพวกนิ่งจองเป่า รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันหนาวเหน็บที่แผ่เข้ามาในเวลานี้ พลันเกิดแรงกดดันภายในใจขึ้นทันที

“ประธานหลิน คุณอาจจะเข้าใจบางอย่างผิดไป นิ่งซวนอยู่ภายในตระกูลนิ่ง ไม่มีใครสร้างความกดดันให้เขาเลยนะครับ” นิ่งจองเป่าพูดพลางฉีกยิ้มออกมา

เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสผู้มีความเป็นมาลึกลับอย่างหลินอิ่งผู้นี้ ภายในใจนิ่งจองเป่าก็รู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะออกหน้าให้นิ่งซวนด้วยตนเอง

“ไม่มี?”

หลินอิ่งมองนิ่งจองเป่าอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง นิ่งจองเป่าที่ถูกมองด้วยสายตานี้รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ คล้ายกับความคิดได้ถูกหลินอิ่งมองออกนานแล้ว

“ประธานหลิน คุณล้อเล่นแล้ว มีคุณเตือนล่วงหน้าด้วยตัวเอง อีกทั้งนิ่งซวนก็เป็นหลานของผม ผมจะพยายามไปสร้างความลำบากให้เขาได้ยังไงกัน?” นิ่งจองเป่าพูดพร้อมกับยิ้มฝืนๆ

“แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น? ลูกเขยคุณ แม้แต่นิ่งซวนดื่มชาก็ต้องหาเรื่องกันด้วย?” หลินอิ่งกล่าวเสียงเย็นชา “หากคุณไม่ได้ส่งคนมาคอยจับตาดูนิ่งซวนตลอดเวลา แล้วเดาออกได้อย่างไรว่าผมมาตี้จิง?”

“นี่……” หน้าผากนิ่งจองเป่าหลั่งเหงื่อ พลางพูดว่า “ประธานหลิน เรื่องในวันนี้เป็นการเข้าใจผิดกันทั้งนั้น จ้าวเจี้ยนหนิงเจ้าลูกเขยโง่ของผมทำเรื่องไร้สมอง และนี่ก็เป็นการทะเลาะกันระหว่างเด็กรุ่นหลังไม่รู้ความ ต่อให้วันนี้ผู้อาวุโสไม่ออกหน้า ผมเองก็ต้องยืนอยู่ข้างเดียวกับนิ่งซวนอย่างแน่นอน โดยทำการลงโทษจ้าวเจี้ยนหนิง”

“ส่วนที่บอกว่าจับตาดูนิ่งซวนนั้น ประธานหลิน นั่นคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมคิดถึงความปลอดภัยของนิ่งซวนต่างหาก เป็นห่วงว่าเขาจะเจอคนลอบทำร้าย พักนี้ในตระกูลก็ไม่รู้ว่าพวกนิ่งซวนไปล่วงเกินใครเข้าเหมือนกัน ถึงได้เกิดปัญหาขึ้นไม่น้อยจริงๆ ผมกำลังแอบสืบอยู่” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ทำท่าทางราวกับคิดเพื่อนิ่งซวนไปเสียทุกอย่าง

หลินอิ่งยิ้มเย็นไม่พูดจา คำพูดที่ออกมาจากปากนิ่งจองเป่าแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ให้รั่ว

“เรื่องของนิ่งซวน ผมไปตระกูลนิ่งด้วยตัวเองสักครั้ง ย่อมจะทราบความจริง” หลินอิ่งกล่าวเสียงราบเรียบ “แต่ว่า เรื่องของจ้าวเจี้ยนหนิงในวันนี้ คุณจะต้องมอบคำชี้แจงให้กับผม”

นิ่งจองเป่ามีท่าทางตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวว่า “เป็นเกียรติมากที่ได้ต้อนรับประธานหลินมาเป็นแขกที่ตระกูลนิ่ง ก่อนหน้านี้นายท่านก็เคยบอกว่าต้องการเชิญประธานหลินมาเป็นแขก”

“จ้าวเจี้ยนหนิง จริงๆ เลย ผมขอร้องประธานหลินช่วยเปิดตาข่ายออกสักข้างหนึ่ง นี่พวกคนรุ่นหลังไม่รู้ความ คุณต้องการตบตีเขายังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่หากต้องการฆ่าเขา นี่ นี่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก” นิ่งจองเป่าเอ่ยอย่างวิงวอน

คำพูดที่ออกมาจากปากนิ่งจองเป่าค่อนข้างนิ่มนวล แต่การกระทำที่แสดงออก กลับค่อนข้างแข็งกร้าว นิดเดียวก็ไม่หลีกให้ ดึงดันไม่ยอมมอบตัวจ้าวเจี้ยนหนิงออกมา

หลินอิ่งเองก็มองออกแล้วเช่นกัน นิ่งจองเป่าก็แค่กำลังเล่นละครตบตาตนเอง โดยแสร้งใช้วิธีอ้อมค้อม

“อีกทั้ง ประธานหลิน แม้จะบอกว่าจ้าวเจี้ยนหนิงเป็นลูกเขยผม แต่ในความเป็นจริงเขาคือคุณชายของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง” นิ่งจองเป่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากหักขาจ้าวเจี้ยนหนิงไปทั้งอย่างนี้ เกรงว่าทางฝั่งตระกูลจ้าว คงพูดจากันดีๆ ไม่ได้แล้ว”

หลินอิ่งกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “นิ่งจองเป่า หากคุณจัดการจ้าวเจี้ยนหนิงไม่ได้ งั้นผมก็จะให้บอดี้การ์ดลงมือแล้วกัน”

“ส่วนทางฝั่งตระกูลจ้าว ผมมีวิธีรับมือของผมเอง” สายตานิ่งจองเป่าเปลี่ยนเป็นคมกริบถึงขีดสุด ฝืนกลั้นความโกรธไว้

หลินอิ่งเผด็จการเกินไปแล้ว เผด็จการกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก

เขารู้ที่มาของผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง ในปีนั้นตระกูลนิ่งเกือบถูกคนยึดทรัพย์ฆ่าล้างตระกูล เพราะได้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งช่วยอีกแรง ประคับประคองตระกูลนิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่บนยอดเขาของประเทศหลง ด้วยเหตุนี้ นายท่านอยู่ในตระกูลนิ่งจึงเก็บคำสอนบรรพบุรุษไว้ แต่ผู้สืบทอดตระกูลนิ่งตั้งแต่ในปีนั้นเป็นต้นมา จะต้องเชื่อฟังโดยไร้เงื่อนไข

สำหรับนิ่งจองเป่าแล้ว ย่อมไม่ใช่เพราะคิดถึงไมตรีจิตของผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้น เลยนอบน้อมต่อหลินอิ่งอย่างแน่นอน

ที่นิ่งจองเป่านอบน้อมต่อหลินอิ่ง เป็นเพราะความหวาดกลัวภายในใจ เขาไม่รู้ว่าชายชราลึกลับท่านนั้นในปีนั้น ที่แท้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศหลงตระกูลหนึ่งได้อย่างง่ายดาย!

เขาไม่แน่ใจนักว่าเบื้องหลังของหลินอิ่งที่แท้มีพลังที่น่าหวาดกลัวอย่างไรกันแน่ ดังนั้นจึงไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ หากไม่ฆ่าจ้าวเจี้ยนหนิง วันนี้เกรงว่าคงจะผ่านด่านหลินอิ่งไปไม่ได้เสียแล้ว

“คุณยังต้องคิดอีกเหรอ?” หลินอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ดูท่า ฐานะผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง จะใช้ทำอะไรไม่ได้”

ได้ยินถ้อยคำอันน่าสะพรึงกลัวที่เปี่ยมไปด้วยแววสังหารของหลินอิ่ง แผ่นหลังของนิ่งจองเป่าก็หลั่งเหงื่อเย็นออกมา

ผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง ห้าคำนี้ราวกับภูเขาอู่จื่อซาน กดทับลงบนหน้าอกเขาอย่างหนักหน่วง แทบจะทำให้เขาหายใจไม่ออกเลยทีเดียว

นิ่งจองเป่าเคยถามนายท่านตระกูลตน ที่นิ่งไท่จี๋ให้ราคาต่อหลินอิ่ง มีเพียงห้าคำเท่านั้นนั่นคือ ห้ามล่วงเกินเป็นอันขาด!

“ไม่ได้หมายความเช่นนี้! ประธานหลิน คุณอย่าคิดมาก!”

นิ่งจองเป่ามีความคิดเด็ดขาดผุดวาบขึ้นมาในแววตา ก้มหน้ากล่าวว่า “ประธานหลิน ผมผิดไปแล้ว นิ่งจองเป่า เจ้าหมอนี่ สมควรพิการ!”

สมควรพิการ!

หลังจากที่นิ่งจองเป่าพูดสี่คำนี้ออกมาอย่างตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว สีหน้าจ้าวเจี้ยนหนิงก็เปลี่ยนไปทันที ราวกับเห็นฟ้าผ่า ตกใจจนสีหน้าซีดขาว

พ่อตานิ่งจองเป่าถึงกับก้มศีรษะยอมจำนนต่อหน้าหลินอิ่ง ทอดทิ้งเขาแล้ว?

“ไม่นะ! ไม่ได้นะ! ท่านพ่อตา คุณจะทำผมพิการไม่ได้ หากผมถูกหักขาสองข้าง ทางฝั่งลูกสาวคุณ จะว่ายังไงล่ะ!” จ้าวเจี้ยนหนิงกลายเป็นพูดจาสับสน กรีดร้องโวยวายขึ้นมา

“ไอ้ตัวขายขี้หน้า!” นิ่งจองเป่าบริภาษเสียงเย็น สะบัดฝ่ามือตบไปที่หน้าจ้าวเจี้ยนหนิงหนึ่งฉาด เอาความโกรธที่กักเก็บไว้ในใจระบายใส่จ้าวเจี้ยนหนิง

“ลากเขาออกไปเดี๋ยวนี้ หักขาสองข้างของเขา!” นิ่งจองเป่ากล่าวเสียงเย็นชา โบกมือส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดชาวตะวันตกที่อยู่ข้างกาย

บอดี้การ์ดสองคนที่ข้างกายนิ่งจองเป่า หลังได้ยินคำสั่ง ก็สบตากันและกัน สีหน้าพลันเปลี่ยนไปขนานใหญ่

“ไม่ต้องสนใจฐานะของเขา หักขาเขาให้ฉันซะ” นิ่งจองเป่าพูดเสียงขรึม

เขาตัดสินใจแล้ว สละรถรักษาคนขับ

ขาของจ้าวเจี้ยนหนิงหักได้ แต่ไม่อาจเข้าหน้าไม่ติดกับหลินอิ่งเด็ดขาด

หากในกรณีที่เข้าหน้าไม่ติด สิ่งที่เขานิ่งจองเป่าต้องเผชิญก็คือตายสถานเดียว!

“ฮือๆๆ! พ่อตา คุณปล่อยผมไปเถอะ ประธานหลิน ปล่อยผมไปเถอะ!”

จ้าวเจี้ยนหนิงถูกบอดี้การ์ดต่างชาติท่าทีเฉยชาสองคนลากตัวออกไป เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงอ้อนวอนไม่หยุด

ในเวลาอันรวดเร็ว บอดี้การ์ดในชุดสูทสองคนก็ลากจ้าวเจี้ยนหนิงมาหยุดตรงห้องข้างๆ กั้นด้วยหน้าต่างกระจก สามารถมองเห็นกระบองเหล็กในมือคนสองคนกวัดแกว่งไปมา ตีลงไปอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า

“อ๊าก! โอ๊ย!”

ภายในห้องมีเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดของจ้าวเจี้ยนหนิงดังออกมา

“ประธาน หักขาเรียบร้อยแล้วครับ”

บอดี้การ์ดฝีมือดีสองคนเดินออกมาจากห้อง ตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ส่วนจ้าวเจี้ยนหนิงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน ราวกับสุนัขตาย สีหน้าขาวซีดถึงขีดสุด

นิ่งจองเป่ามองไปทางหลินอิ่ง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ประธานหลิน จ้าวเจี้ยนหนิงไม่รู้จักที่ตาย กล้าเล่นงานคุณ ผมตีขาเขาหักแล้ว หวังว่าคุณจะไม่ถือสาเรื่องนี้อีก”

หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องนี้ พักไว้ชั่วคราว”

นิ่งจองเป่าราวกับยกภูเขาออกจากอก ลอบถอนหายใจกับตนเองอยู่ในใจ

“ประธานหลิน ผมจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่นิ่งซื่อกรุ๊ปแห่งตี้จิงไว้แล้ว คุณจะให้เกียรติไปที่นั่นหรือไม่?” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่จำเป็น” หลินอิ่งกล่าว “ผมยังมีธุระต้องจัดการ”

“นิ่งจองเป่า วันนี้หลังคุณกลับไปตระกูลนิ่ง ให้แจ้งกับเบื้องบนของตระกูลนิ่งทุกคนว่า อีกสามวันให้หลัง ผมจะไปเยี่ยมด้วยตัวเอง ให้พวกเขาเตรียมการต้อนรับไว้ให้พร้อม” หลินอิ่งกล่าวเสียงเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท